ตอนที่ 50 : หนึ่งเดือนต่อมา
สำหรับผู้บ่มเพาะแล้ว เวลา 1 เดือนนี้สั้นอย่างมาก ระหว่าง 1 เดือนนี้ หลังจากที่เถาเถาฝึกฝนให้อย่างเคร่งคลัด ความแข็งแกร่งของหยางเฉินก็พัฒนาขึ้นมาอย่างมาก แน่นอนว่าหลักๆแล้วเพราะเขาบ่มเพาะวรยุทธ์อีกสองอย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย
ตอนที่หยางเฉินบ่มเพาะนั้น กั้วติงที่ไม่ได้สติมานานก็เคลื่อนไหว ร่างของเขามีคลื่นอากาศกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
“ กั้วติง ตื่นแล้ว !” หยางเฉินหันกลับไปมองกั้วติงและเผยสีหน้าดีใจออกมา
“ คลื่นพลังแกร่งดี” เถาเถาในพู่กันรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังที่กั้วติงแผ่ออกมา มันอ่อนแอกว่าตอนที่หยางเฉินทะลวงผ่านถึงขั้น 9 แต่ก็ถือว่าแกร่งอย่างมากแล้ว ตามที่เถาเถาคาดการณ์แล้วความแข็งแกร่งของกั้วติงตอนนี้สามารถทำลายหินเพชรได้อย่างน้อย 16 ก้อน นี่แค่ประมาณเท่านั้น
ตอนที่หยางเฉินและเถาเถาคาดหวังกับการตื่นขึ้นมาของกั้วติงนั้น ผิวของกั้วติงที่เพิ่งกลับมาปกติก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังนี้ อุณหภูมิในชั้นใต้ดินก็กลับเพิ่มขึ้นอีก
“ นี่...เกิดอะไรขึ้นกัน ?” หยางเฉินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาพูดขึ้นมาด้วยความกังวล “ เถาเถา เกิดอะไรขึ้นกัน ? เจ้าบอกว่ากั้วติงจะไม่เป็นอะไรไม่ใช่รึ ?”
เถาเถาพุ่งออกมาจากพู่กันและมองไปที่กั้วติงที่ตัวแดงก่ำ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน “ เกิดอะไรขึ้น ? พลังของแก่นมังกรนั้นอ่อนโยนและไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายผู้ใช้ซึ่ง...” เขามั่นใจอย่างมาก เมื่อเห็นผิวของกั้วติงที่แดงก่ำ เถาเถาก็อดไม่ได้ที่จะใจสั่นตาม กั้วติงไม่อาจจะดูดซับแก่นมังกรได้รึ ?
ในตอนนั้นหยางเฉินก็ตะโกนออกมา “ เถาเถา รีบช่วยกั้วติงเร็วเข้า ผิวของเขาเหมือนจะไหม้แล้ว !”
เถาเถามองไปที่กั้วติง ผิวของกั้วติงมีไอร้อนพ่นออกมา จึงทำให้ความชื้นในอากาศระเหยไปด้วย ตอนนี้มันมีหมอกครอบคลุมไปทั่วชั้นใต้ดิน
“ มีแต่ต้องสูบพลังออกจากตัว” ในตอนนั้นเถาเถาก็ได้พุ่งเข้าไปจับกั้วติง แต่ตอนที่มือกำลังจะแตะตัวของกั้วติงอยู่นั้น ร่างของกั้วติงกลับมีไฟครอบคลุมเอาไว้ ไฟนี้เป็นสีม่วงและแผ่ความร้อนอันน่ากลัวออกมา
“ กั้วติง !” สีหน้าของหยางเฉินเปลี่ยนไป เขาไม่คิดอะไรและพุ่งไปหากั้วติง เขาไม่รู้ว่าจะช่วยกั้วติงอย่างไร แต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้ ถึงเขาจะต้องใช้มือเปล่าแต่ก็ต้องดับไฟนี่ให้ได้ !
“ อย่าเข้าไป มันไม่ต่างจากวิ่งเข้าหาความตายเลย !” เถาเถาโผล่มาที่ด้านหลังของหยางเฉินและกดหยางเฉินเอาไว้
“ ปล่อยข้า !” หยางเฉินเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ใบหน้าของเขาแสดงความบ้าคลั่งออกมา ตาเริ่มแดงก่ำ
แต่ตอนนั้นกั้วติงกลับพูดขึ้นมา “ หัวหน้า ข้าไม่...เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของกั้วติง หยางเฉินกับเถาเถาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังกั้วติงที่มีไฟสีม่วงห่อหุ้มไปทั้งตัว แต่สิ่งที่แปลกไปกว่านั้นคือกั้วติงในเปลวไฟนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย
“ ไฟอินทนิล ไม่ใช่ว่า ...” เถาเถาสีหน้าเปลี่ยนไปและนึกถึงบางอย่าง
“ กั้วติง เจ้าเป็นอะไรไป ? เกิดอะไรขึ้นกัน ?” หยางเฉินมองไปที่กั้วติงแล้วถามขึ้นมาด้วยความกังวล
ก่อนที่เขาจะพูดจบไฟบนตัวของกั้วติงก็ค่อยๆหายไป มันใช้เวลาไม่นานก็หายไปใต้ผิวของกั้วติง
แทบจะพร้อมกันนั้นที่คิ้วของกั้วติงก็มีไฟสีม่วงแผ่ออกมา ลูกปัดสีม่วงลอยออกมา ลูกปัดนี้มีขนาดเท่ากับนิ้วโป้งและลอยอยู่ในอากาศ แผ่แสงครอบคลุมทั่วทั้งชั้นใต้ดิน
กั้วติงหลับตาลงเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า
“ นั่นมันอะไร ?” หยางเฉินมองไปที่ลูกปัดสีม่วงด้วยความตกใจ
“ เด็กนี่เป็นใครกัน เขาถึงกับมีลูกปัดเขตแดนในตัว” เถาเถาเผยสีหน้าตะลึงออกมา “ ใช่สิ ไฟสีม่วง เขาเป็นสมาชิกของกองกำลังนั้นรึ มีแค่พวกนั้นที่มีความสามารถเช่นนี้”
หยางเฉินไม่ได้ยินที่เถาเถาพูดมา เขายังมองไปที่ลูกปัดที่ลอยอยู่ในอากาศ จากนั้นเขาก็เห็นแสงสีม่วงส่องประกายออกมาจากลูกปัด ตัวหนังสือสีม่วงได้ลอยเข้าไปในหว่างคิ้วของกั้วติงทันที
เมื่อเห็นแบบนั้น หยางเฉินก็ตกใจอีกครั้ง ตอนที่เขากำลังจะเข้าไปหยุดนั้น เถาเถาก็ได้พูดขึ้น “ อย่ารบกวนเขา เขากำลังรับการสืบทอดอยู่ หากเจ้าหยุดเขาตอนนี้ มันมีแต่จะส่งผลเสียต่อเขา”
“ รับการสืบทอดรึ ? เถาเถา ลูกปัดนี่มันอะไรกัน ?” หยางเฉินสับสน เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ มันเรียกว่าลูกปัดเขตแดน การทำงานของมันคล้ายกับแหวนมิติ มันหลอมรวมเข้ากับเลือดของคนได้” เถาเถาอธิบาย
กั้วติงมีของแบบนี้อยู่กับตัวได้อย่างไร
ตอนที่หยางเฉินสงสัยอยู่นั้น ตัวหนังสือที่พุ่งเข้าไปในหว่างคิ้วของกั้วติงก็ค่อยๆหายไป จากนั้นลูกปัดเขตแดนก็พุ่งเข้าไปที่หว่างคิ้วของกั้วติง ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง สุดท้ายกั้วติงก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
ตอนที่กั้วติงลืมตาขึ้นมานั้น เถาเถาก็รีบกลับเข้าไปในพู่กัน กั้วติงไม่อาจจะรับรู้ตัวตนของเถาเถาได้
ในตอนนั้นที่กั้วติงกำลังตื่นขึ้นมา จู่ๆก็มีคนสองคนพุ่งเข้ามาที่ชั้นใต้ดิน คนที่มานี้คือเว่ยหยานหลานและซงเทียนเอ๋อ
หยางเฉินได้บอกพวกนางเรื่องกั้วติงไปแล้ว ดังนั้นพวกนางจึงไม่กล้าที่ฝ่าเข้ามา แต่เมื่อพวกนางเข้ามาเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกนางต้องมีเรื่องเร่งด่วน
“ พี่เฉิน วันนี้คือวันคัดเลือก หากเราไม่ไป ข้ากลัวว่าคงจะสายเกินไป” น้ำเสียงของเว่ยหยานหลานดูร้อนใจอย่างมาก
หยางเฉินกำลังจะพูดออกมา แต่เมื่อพบว่ากั้วติงยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เขาก็รีบเดินไปบังตัวกั้วติงเอาไว้แล้วยิ้มออกมา “ แม้ว่าข้าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่พวกเจ้าก็ต้องรอให้กั้วติงใส่เสื้อผ้าก่อน”
เว่ยหยานหลานและซงเทียนเอ๋อหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที พวกนางรีบโคจรปราณแล้ววิ่งออกมาจากชั้นใต้ดินโดยเร็ว กั้วติงไม่ได้หน้าด้านเหมือนกับหยางเฉิน เขาเองก็หน้าแดงเช่นกัน
...
ไม่นานหลังจากนั้น หยางเฉินและกั้วติงก็ออกมาจากชั้นใต้ดินและพุ่งไปที่โถงวรยุทธ์พร้อมกับเว่ยหยานหลานและซงเทียนเอ๋อ แม้ว่าหยางเฉินอยากจะถามกั้วติงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ได้แต่กดความสงสัยเอาไว้ในใจเพราะการคัดเลือกนั้นมีแค่ปีละครั้งเท่านั้น
การคัดเลือกนี้จัดขึ้นในที่แตกต่างกันไป ปีที่แล้วจัดขึ้นในเมืองลั่วเซีย ปีนี้จัดขึ้นในเมืองซูเซียน คนของจักรวรรดิฮั่น, จักรวรรดิแดวูและจักรวรรดิดาฮันจะมารวมตัวกันที่นี่
เพื่อความยุติธรรมแล้ว ทั้งสามกองกำลังได้ตกลงกันก่อนว่าต้องทดสอบพรสวรรค์ซึ่งคือการดูว่าจะทำลายหินได้กี่ก้อน ขั้นต่ำคือ 9 ก้อน ดังนั้นหากอยากจะเข้าร่วมการทดสอบที่สองแล้วก็ต้องอยู่อย่างน้อยขอบเขตกำลังภายในขั้น 9
สำหรับการทดสอบที่สอง คือการทดสอบวรยุทธ์
ตอนที่หยางเฉินและคนอื่นๆมาถึงโถงวรยุทธ์ โถงแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คน แต่คนของสามกองกำลังใหญ่ยังมาไม่ถึง ผู้คนโดยรอบต่างก็พากันมองไปที่หยางเฉินและกั้วติงด้วยสายตาแบบเดิม ในความเห็นของพวกเขาแล้ว หยางเฉินและกั้วติงต่างก็เป็นขยะที่ไม่มีทางถูกเลือก
ครั้งที่แล้วนักล่าอสูรก็ได้เลือกหยางเฉินไป ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนไม่อาจจะยอมรับได้ แต่โชคดีที่หยางเฉินไม่ได้ถูกรับเป็นศิษย์ของพวกนั้น ไม่งั้นแล้วก็เท่ากับการฆ่าพวกเขาทั้งเป็น
ตอนที่หยางเฉินมาถึง เขาก็รู้สึกว่ามีคนมองมาที่เขา เมื่อหันไปก็เป็นโมโก
เมื่อเห็นสายตาที่เหมือนจะฆ่าคนได้ของโมโก หยางเฉินก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะรึร้องไห้ดี ‘ ข้าไม่เคยหาเรื่องเจ้า ทำไมเจ้าต้องมองข้าเช่นนี้ ? ’
“ หลังจากนี้ไปขยะอย่างเจ้าก็ไม่อาจจะอยู่กับนางได้อีก” โมโกมองไปที่เว่ยหยานหลาน เรื่องที่เขาชอบพอเว่ยหยานหลานนั้นคนแทบทั้งเมืองต่างก็รู้ดี แต่เว่ยหยานหลานกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
“ เสี่ยวหยาง เด็กนั่นด่าว่าเจ้าเป็นขยะ เจ้าควรหาโอกาสสั่งสอนบทเรียนให้เขาซะหน่อย” เถาเถาในพ่กันได้ยินคำพูดของโมโก ก็ส่งข้อความบอกกับหยางเฉิน
“ หากไม่มีใครหาเรื่องข้า ข้าก็ไม่คิดจะหาเรืองคนอื่น ไม่งั้นแล้ว...” หยางเฉินเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เขาไม่ใช่คนดี และถือว่าเป็นคนเลวคนหนึ่ง และเขาก็ไม่เคยเห็นใจคนที่ดูถูกพวกของเขา
ตอนนั้นหยางเฉินก็ได้เห็นชายกำยำเดินเข้ามาในห้องโถง ชายคนนี้ดูคล้ายกับถูเชิน อันที่จริงนี่คือลูกของถูเชิน ชื่อถูซาน ว่ากันว่าเขาแข็งแกร่งอย่างมาก ทุกครั้งที่เขารับการทดสอบ เขาไม่ได้เอาจริงแม้แต่น้อย
หลังจากที่ถูซานเข้ามาในห้องโถง เขาก็ไม่แม้แต่จะมองที่หยางเฉินแม้แต่น้อย ในสายตาของเขามีแค่โมโกเท่านั้น แต่หยางเฉินก็มักจะโดนคนอื่นๆมองข้ามมาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอนที่ถูซานเข้ามาในห้องโถง ก็มีชายหนุ่มอีกคนโผล่เข้ามา ชายหนุ่มคนนี้ดูสง่า ใบหน้าของเขาขาวซีดราวกับคนป่วย แต่หากดูถูกเขาแล้วคงเป็นฝ่ายเจ็บตัวเสียเอง เพราะเขาคือลูกของหนึ่งในสี่คนที่แกร่งที่สุดในเมือง เขาคือเหอเฟิง ลูกชายของเหอเจีย ความแข็งแกร่งของเขานั้นไร้เทียมทานก็ว่าได้ แต่เขาไม่เคยแสดงพลังทั้งหมดออกมา
เหอเฟิงเดินไปยังจุดที่หยางเฉินและคนอื่นๆอยู่ ก่อนจะมองไปที่ซงเทียนเอ๋อ เขาเองก็ไม่ได้สนใจหยางเฉินเช่นกัน
“ ตัวปัญหามาอีกคนแล้ว” หยางเฉินยิ้มออกมา เขาพบว่าการคัดเลือกครั้งนี้น่าสนใจอย่างมาก มันมีทั้งถูซาน, เหอเฟิง, โมโก, และเชินเจียนเซียว....คนเหล่านี้หากอยู่ในฐานะคู่ต่อสู้แล้ว มันดูน่าสนุกไม่น้อย
“ เทียนเอ๋อ พ่อข้าให้ยาสลายมา มันจะช่วยเร่งความเร็วในการบ่มเพาะ ข้าหวังว่าเจ้าจะรับคำแนะนำนี้ไว้” เหอเฟิงมองไปที่ซงเทียนเอ๋อแล้วพลิกฝ่ามือพร้อมกับห่อยาที่ปรากฏขึ้นมาในมือ
ซงเทียนเอ๋อยักคิ้ว นางคิดจะปฏิเสธแต่หยางเฉินกลับหัวเราะออกมา “ เทียนเอ๋อ เมื่อมีคนให้มันมา เจ้าจะปฏิเสธไปทำไม รีบรับไว้สิ”
หยางเฉินไม่รอให้ซงเทียนเอ๋อตอบกลับก็พูดขึ้นต่อ “ นางขี้อาย เฮ้อ ข้าในฐานะที่เป็นพี่ของนางแล้ว จะรับไว้แทนเอง” เขาพูดจบก็ยื่นมือไปหยิบยาในมือของเหอเฟิงมาทันที
มุมปากของเหอเฟิงกระตุก เขารีบควบคุมสติและยิ้มออกมา “ ใช่ ของนี่ไม่ได้มีประโยชน์กับเทียนเอ๋อมากนัก เมื่อเจ้าไม่อาจจะบ่มเพาะได้ ข้าจะให้เจ้าก็แล้วกัน”
ในตอนนั้นเสียงของถูเชินก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งห้องโถง “ เงียบ คนของสำนักชีจีมาถึงแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของถูเชิน ทุกคนก็พากันมองไปที่ประตูและไม่กล้าพูดอะไรออกมา แต่หยางเฉินยังคงแสดงท่าทีเฉยเมยราวกับไม่สนใจว่าใครจะมาบ้าง