ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอ, ชุยเสี่ยวซินก็คงจะไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
เด็กไม่เอาไหนเปลี่ยนเป็นอัจฉริยะแค่เพียงไม่กี่วัน?
ถ้าพฤติกรรมของเขาในอดีตที่ผ่านมาคือเรื่องจริง งั้นทักษะการเรียนรู้ของเขาก็น่าตกใจมากๆ. ขนาดอัจฉริยะที่มีความทรงจำราวกับการถ่ายภาพยังจำได้เพียงแค่สิ่งที่เขาเห็น ไม่มีอะไรนอกเหนือกว่านั้น. พวกเขาจะพบว่ามันเป็นการยากที่อนุมานวิธีแก้อื่นเพิ่มขึ้นมาจากหนึ่งวิธีที่มี.
ถ้าทุกๆ อย่างที่เขาทำก่อนหน้านี้เป็นเพียงหน้ากากภายนอก เป็นเพียงการปกปิดตัวตน แล้วเขาทำมันไปเพื่ออะไรกัน?
ผิวดำทึบของหลี่มู่หยางเป็นเหมือนหุบเหวมืดที่ใช้ปกปิดความลับภายใน ดึงดูดให้ผู้คนที่ไม่สามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นให้สำรวจลึกลงไปกว่าเดิม.
ชุยเสี่ยวซินรู้สึกหงุดหงิดลึกๆ ภายใน เธอมองหลี่มู่หยางด้วยใบหน้าสวยๆ ของเธอด้วยสายตาที่ผ่อนคลายและถามด้วยความสงสัยว่า:
“นายแก้โจทย์ด้วยตัวเองจริงเหรอ? หรือเคยเห็นโจทย์แบบนี้มาก่อนแล้ว?”
“ฉันคิดออกด้วยตัวเองจริงๆ นะ” หลี่มู่หยางพูดเสียงดัง.
เขาครุ่นคริดครู่นึง, แล้วส่ายหัวและพูด: “มันคล้ายกับว่าฉันเคยเห็นมาก่อนจากบางแห่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าที่ไหน แม้ฉันจะคิดว่ามันแปลก แต่ฉันแก้ปัญหาพวกนั้นได้อย่างไรล่ะ? ไม่ใช่เพียงแค่นั้นแต่ฉันยังพบวิธีหลายๆ วิธีมาใช้ในการแก้โจทย์อีก”
“คำถามที่ฉันถามไปเป็นปัญหาปริศนา. ฉันรู้จักนักคณิตศาสตร์คนนึงที่ดังมากๆ ในราชอาณาจักร เขาชื่อว่าศาสตราจารย์ ลี่เค่อเหยียน เขารู้วิธีแก้โจทย์นั้นเจ็ดวิธี, หนึ่งในผู้อาวุโสของฉันที่ศึกษาเรื่องนี้เป็นปีๆ เขารู้เก้าวิธี. แต่สิบเอ็ดวิธีที่นายคิดออกนั่นฉันเองก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนไปถึงจุดนั้นมาก่อน. แม้แต่ฉันเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าวิธีไหนถูกหรือวิธีไหนผิด การแก้ปัญหาพวกนั้นเหมือนจะมาจากประเทศอื่น, น่าจะจากราชอาณาจักรไกลๆ ที่ชื่อว่า สีซื่อ . หลี่มู่หยาง นี่นายเคยไปต่างประเทศมาก่อนหรือเปล่า? หรือนายเคยอ่านตำราลับเชิงวิชาการที่ไม่มีใครเคยเห็นหรือเปล่า?”
“ก็ไม่นะ” หลี่มู่หยางส่ายหัวอีกรอบและพูด: “ฉันไม่เคยไปต่างประเทศ ไม่เคยอ่านตำราลับ. ถ้าฉันเป็นคนฉลาดจริงๆ มีหรือที่เธอจะไม่รู้ ฉันโดนดูถูกว่าเป็น ‘ขยะ’ เป็นเวลาปลายปีเลยนะ” หลี่มู่หยางยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีผู้ชายคนไหนจงใจยอมให้คนอื่นชี้หน้าแล้วเรียกว่า ‘ไอหมูโสโครก’ อยู่บนโลกนี้หรอก.”
“นั่นแหละที่ฉันคิดว่าแปลก” ชุยเสี่ยวซินพูด “ถ้านายยังรักษาความเร็วในการเรียนรู้นี้ไว้ได้ แม้เวลาจะมีน้อยแต่บางทีนายอาจจะสอบติดมหาวิทยาลัยดีๆ ก็ได้นะ”
ดวงตาของหลี่มู่หยางส่องแสงเป็นประกาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวัง
เขามองชุยเสี่ยวซินแล้วถามว่า: “จริงเหรอ? ฉันจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้จริงเหรอ?”
“แน่นอน” ชุยเสี่ยวซินพูด. มีคำบางคำที่เธอไม่ได้พูดออกไป: นี่นายไม่รู้ตัวเลยสินะว่าตอนนี้นายน่าประทับใจแค่ไหน? ถ้ามีนักคณิตศาสตร์รู้ว่าสิ่งที่เค้าศึกษามาตลอดชีวิตถูกแก้ง่ายๆ โดยเด็กมัธยมปลายคนนึง เขาคงผูกคอตายหนีความอับอายไปชั่วชีวิต.
หลี่มู่หยางรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาพูดว่า: “ถ้ามีหวังสำหรับฉันจริงๆ งั้นฉันก็จะพยายามให้มากขึ้นแล้วจากนั้นฉันก็จะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยเวสวินด์กับเธอ และเราก็จะได้ดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลสาบเว่ยหมิงด้วยกัน.
นี่คือคำขอร้อง อีกทั้งยังเป็นคำสัญญาอีกด้วย.
การได้เห็นการแสดงออกผ่านตาของหลี่มู่หยาง ทำให้ชุยเสี่ยวซินตริตรองอยู่ครู่นึง, เธอพยักหน้าแล้วพูด: “เจอกันที่ทะเลสาบเว่ยหมิง”
“เยี่ยมไปเลยย” หลี่มู่หยางไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นของเขาเอาไว้ได้. นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เขาเห็นแสงสว่าง เห็นความหวัง มันเป็นความตื้นตันที่ทำให้หัวใจละลาย. “มันยังเร็วไป เราสามารถเรียนเพิ่มได้อีก. เอาโจทย์มาเพิ่มเพื่อทดสอบฉันอีกสิ มันคงจะเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ ถ้าเธอโฟกัสที่หัวข้อการสอบ”
ชุยเสี่ยวซินเข้าใจความคิดของหลี่มู่หยางดี “ตอนที่ฉันว่าง ฉันชอบไปค้นพวกข้อสอบเก่าๆ ที่มีอายุเกินกว่าสิบปี, ฉันจะเลือกคำถามที่มักจะพบบ่อยๆ มาให้นายละกัน”
“เร็วเข้า เร็วเข้า เอามาให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้เลยย” ในเวลานี้ เด็กขี้แพ้อย่างหลี่มู่หยางกระหายที่จะเรียนรู้มาก.
ชุยเสี่ยวซินเหลือบมองหลี่มู่หยาง, เธอรวบผมที่บังหน้าผากเธอขึ้นและเริ่มเขียนคำถามลงไปอีกครั้ง.
ตัวหนังสือที่สง่างามและอ่อนช้อยค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนกระดาษ ลายมือของเธอดูผ่อนคลาย.
เนื่องจากพวกเขาอยู่ด้วยกันบ่อย ชุยเสี่ยวซินและหลี่มู่หยางก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น. แล้วยิ่งมีหลี่ชือเหนียนคอยสาดน้ำมันใส่ กองไฟความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ยิ่งลุกโชน.
และชุยเสี่ยวซินก็ยังได้เจอครอบครัวหลี่มู่หยางที่แสนจะอบอุ่น, แม่ของหลี่มู่หยางเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แม้จะมีสาวสวยมากมายอยู่ในเมืองเจียงนาน แต่แม่ของหลี่มู่หยางนั้นก็ยังคงเตะตาถ้าได้มองอยู่ดี
ถ้าหลี่มู่หยางได้ยีนส์เด่นจากครอบครัวของเขามาบ้าง เขาก็คงจะเป็นผู้ชายหน้าตาดีที่จะโผล่มาให้เห็นหนึ่งในหมื่นคนเลยเชียวล่ะ.
ช่างเถอะ มิตรภาพนั้นขึ้นอยู่กับความจริงใจล้วนๆ เราไม่ควรตัดสินคนจากภายนอก.
หลี่ชือเหนียนกลับจากโรงเรียนและมองไปที่หลี่มู่หยางกับชุยเสี่ยวซินที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ด้วยรอยยิ้มแบบคลุมเครือ.
เธอเดินเข้าไปยืนตรงหน้าชุยเสี่ยวซินแล้วพูดอย่างอ่อนหวานว่า: “พี่เสี่ยวซิน, วันนี้พี่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทำไมไม่หยุดพักบ้างล่ะ? พี่หิวมั้ย ไปหาอะไรกินกันเปล่า?”
ชุยเสี่ยวซินมองไปที่ท้องฟ้าสีดำข้างนอก เธอวางดินสอแล้วพูดว่า: “ดึกแล้วนี่นา ครอบครัวของฉันกำลังรอให้ฉันกลับไปกินมื้อค่ำอยู่”
ชุยเสี่ยวซินมองหลี่มู่หยางแล้วพูด: “ตอนที่ฉันมาที่นี่ ฉันได้คุยกับหมอ. หมอบอกว่าอาการของนายดีขึ้นแล้ว นายสามารถออกจากโรงพยาบาลได้พรุ่งนี้เลย. นายอยากจะอยู่อีกซักสองสามวันเพื่อดูอาการต่อไหม?”
“ดูอะไรเหรอ? นี่พวกเขาติดตามฉันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เหรอ?” หลี่มู่หยางรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก, เขาต้องการที่จะคว้าดวงดาว. “มีเวลาแค่เดือนเดียวก่อนจะถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย, ฉันต้องไม่สูญเสียเวลาที่มีค่าแม้แต่วินาทีเดียว. นอกจากนั้น ในโรงพยาบาลฉันเรียนได้อย่างเดียว มันคงจะดีกว่าถ้าฉันออกจากโรงพยาบาลแล้วหาที่สงบๆ เพื่อเรียนต่อ. ฉันจะได้ไม่ต้องมานั่งดมกลิ่นยาพวกนี้ด้วย อีกทั้งเธอเองก็ยังต้องมาหาฉันที่นี่ทุกวันเพื่อติวให้ฉัน คงจะลำบากน่าดู. ฉันต้องการจะออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้เลย.
ชุยเสี่ยวซินคิดครู่นึงแล้วพูด : “ถ้างั้น พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันมารับเธอแล้วเราไปโรงเรียนพร้อมกันดีมั้ย?”
“เยี่ยมม” หลี่มู่หยางตอบอย่างมีความสุข.
ชุยเสี่ยวซินเดินออกมาจากโรงพยาบาล จากนั้นก็มีรถสีดำมาจอดข้างหลังเธออย่างเงียบๆ
ชายหนุ่มชุดดำปรากฎตัวออกมาแล้วเปิดประตูรถ. ชุยเสี่ยวซินขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังแล้วพักสายตาลง.
เธอยุ่งเกี่ยวกับการติวหนังสือทั้งวัน บรรยายอย่างต่อเนื่อง อธิบาย ทบทวนความจำ เดาและเลือกข้อสอบที่เคยออกสอบเมื่อสิบปีที่แล้วในราชอาณาจักร. เธอยังต้องรับมือกับคำถามทุกคำถามที่หลี่มู่หยางถามเธอ บางข้อหลี่มู่หยางก็ถามง่ายๆ แบบหนังสือความรู้ทั่วไป. แต่บางคำถามก็ยากเกินระดับการศึกษาที่กำลังเรียนอยู่.
ชุยเสี่ยวซินเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยเล็กน้อย.
ในระหว่างการเรียน ชุยเสี่ยวซินก็สังเกตเห็นทักษาการเรียนรู้อันหน้าเหลือเชื่อของหลี่มู่หยางอีกครั้ง.
เขาคนเดิมเป็นเหมือนหลุมเล็กๆ ในเขื่อนที่ถูกเจาะโดยมด, หลุมนั่นค่อยๆ ปล่อยน้ำออกมาข้างนอกทีละเล็กละน้อย. เร็วๆ นี้ หลุมจิ๋วๆ นี่จะขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นเมื่อน้ำเพิ่มขึ้น, ปริมาณน้ำที่ทะลักออกมาก็มากขึ้น. จากหลุมเล็กๆ เปลี่ยนเป็นสปริงฉีดน้ำ และจากสปริงฉีดน้ำเปลี่ยนเป็นประตูกั้นเขื่อนขนาดใหญ่. แล้วความเร็วในการปลดปล่อยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่หยุดพัก แล้วในโลกนี้จะมีใครหยุดเขาได้?.
“ลุงหนิง” ชุยเสี่ยวซินลืมตาแล้วถาม: “ลุงคิดว่ามีอะไรในโลกนี้ที่เป็นอัจฉริยะหรือเปล่า?”
“มีสิ ผู้หญิงยังไงล่ะ”
ชุยเสี่ยวซินหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง, แล้วพูดพร้อมหัวเราะ: “ถึงแม้ว่าฉันจะถูกฉีกหน้ามาวันนี้อะนะ”
“ว่าไงนะ?” ชายชุดดำผงะ. “นั่นเป็นไปไม่ได้. พวกเราต่างก็ทราบถึงความฉลาดของคุณหนูดี, ในเมืองเทียนดู ทั้งซ่านหมิงยือแห่งเทียนดู, หลิวฉีจี้แห่งตระกูลหลิว,
ซ่องเฉินซื่อแห่งตระกูลซ่อง, และตัวคุณหนูเองจากตระกูลของเรา. บุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนผู้นำของคนรุ่นใหม่ซึ่งถูกขนานนามให้เป็นถึงเหล่าจันทราของราชอาณาจักร
มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนที่สามารถลูบคมคุณหนูได้ ลุงว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ.
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, มันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว” ชุยเสี่ยวซินมองไปที่ต้นซากุระข้างนอก. ต้นซากุระห้อมล้อมกันเป็นเหมือนกำแพงที่มีสีสัน เป็นเหมืองดั่งจ้องมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวส่องแสงสว่าง.
“หลังจากการสอบเข้าผ่านไป คุณหนูต้องกลับมาที่เมืองเทียนดู” ชายชุดดำพูดด้วยเสียงต่ำ: “เมื่อเวลามานั้นมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่เหล่าจันทราต้องมาเผชิญหน้ากัน”
ชุยเสี่ยวซินกัดริมฝีปากเมื่อนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับเด็กหน้าทึบ.
“แล้วเจอกันที่ทะเลสาบเว่ยหมิง”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
: บักฉีจี้นี่ชื่อคุ้นๆ นาา (' ')
ปล. การปูพื้นและการดำเนินเนื้อเรื่องของนิยายนี้ค่อนข้างช้า อดทนอ่านออร์เดิร์ฟกันไปก่อนนะครับ จิบิ.