px

เรื่อง : Seoul Station’s Necromancer จบแล้วอ่านฟรี!!!
บทที่ 133 - Bloody Reunion (3)


เมื่อดันเจี้ยนใหม่ที่เชื่อมต่อมายังโลกได้ถูกจัดตั้ง หินย้อนกลับจะถูกสร้างขึ้น กระบวนการเชื่อมต่อจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อระยะเวลาผ่านไป120วัน อย่างไรก็ตามกองกำลังทหารที่อยู่ในพื้นที่สามารถเข้าร่วมการรบได้ทันที

“กี๊ กิ กิ กิ เตรียมตัวให้พร้อม"

ผู้ปกครองมิติ ชาล็อต รูปร่างของเธอเป็นแมงมุมแม่ม่ายดำตัวใหญ่ ลีซางโกลเริ่มลดอาการตึงเครียดลงหลังจากที่ได้ฟังคำสั่งเธอ

'ในที่สุดฉันก็ได้กลับโลก'

ลีซางโกลรู้สึกซึมเศร้าเมื่อเขาผ่านการตายแล้วเกิดใหม่ เขาเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นในตอนที่เขาได้รู้ว่าเขาสามารถกลับบ้าน ที่อยู่บนโลกได้อีกครั้ง

ไม่นานหลังจากคำสั่งชาล็อต ประตูมิติสีแดงปรากฏขึ้น เมื่อข้ามประตูมิติไป พบชายคนหนึ่งที่มีลักษณะกังวลใจยืนอยู่ตรงหน้า

เขาเริ่มระมัดระวังตัวเมื่อพบมอนสเตอร์ เมื่อเขารู้สึกตัวเขาเริ่มหยิบหินย้อนกลับออกมาเตรียมพร้อม เขาเริ่มสำรวจไปรอบๆ เมื่อเห็นมอนสเตอร์จำนวนมากเขาตัดสินใจใช้สิ่งที่อยู่ในมือทันที

"ผู้เชื่อมต่อ อยู่ที่นี่"

กองทัพของชาล็อตไม่ได้จู่โจมชายคนนั้น ชายคนนั้นใช้หินย้อนกลับหายตัวไปก่อน

“กี๊กิกิกิ พร้อมจะฆ่าล้างพันธุ์กันรึยัง "

เธอมีประสบการณ์มากในการตั้งรกรากบนดาวเคราะห์ดวงใหม่ อาจมีการเสียสละมอนสเตอร์ที่เข้ามาตัวแรก แต่การสูญเสียแค่นั้นนั้นสามารถยอมรับได้ เพราะมนุษย์บนโลกที่เป็นผู้เชื่อมต่ออาจจะป้องกันตัวเองเมื่อเห็นมอนสเตอร์

เรื่องแค่นั้นมันไม่มีผลอะไรมาก ส่วนที่โชคร้ายที่สุดคือการเชื่อมต่อล้มเหลว

<คุณกำลังเข้าสู่ ดาวโลก ความสามารถที่ใช้ได้คือ74%>

นี่คือข้อเสียของการบังคับเชื่อมต่อกับดันเจี้ยน ผู้ปกครองมิติและมอนสเตอร์ในปกครองจะถูกลดค่าความสามารถในการต่อสู้ลงเหลือเท่าอัตราในความเข้ากันได้ของดันเจี้ยน

แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอ120วันเพื่อให้การเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์

ด้วยความช่วยเหลือของผู้เชื่อมต่อ บาเรียที่กั้นดันเจี้ยนถูกสลายไป มอนสเตอร์ทั้งหมดแห่กันออกมาบนถนน ลีซางโกลเดินออกมาพร้อมพวกมอนสเตอร์ก่อนที่เขาจะแอบหนีไป

***

สถานีออกอากาศกระจายเสียง MBS

โดแจมินได้ขอตั๋วที่นั่งนี้มาจากกิลด์ เขานั่งกำตั๋วไว้แน่นบนที่นั่งตามหมายเลขตั๋ว

พี่สาวของเขาไปงานเลี้ยงรุ่น ส่วนวูชิน, ซังกู และทุกคนที่เขารู้จักก็ออกไปไล่เคลียดันเจี้ยน

เขามีเวลาหนึ่งวันก่อนที่เขาจะต้องกลับไปทำสงครามชิงมิติ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้มาสถานีกระจายเสียงเพื่อฆ่าเวลา

"แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ซูจีจะได้เปิดตัวครั้งแรก แล้ว"

เข้ามีคนที่เฝ้าฝันและอยากพบมาตลอดเวลา

เธอเป็นรักครั้งแรกของเขาแต่เขาไม่อาจเคียงข้างเธอได้ ความฝันของเธอได้สมหวังเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

เขากำลังรอดูการเปิดตัวครั้งแรกของ กลุ่มไอดอล "Hot Girls"

พวกเธอเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่จะเปิดตัววันนี้ 'Hot Girls' เขามาฟังเพลงสดครั้งแรกของวงนี้

เขาอยากจะเห็นซูจีแม้จะต้องมองจากที่ไกลๆเขาก็ยอม เขาเลยมาที่นี่วันนี้

“พะ ... พี่ชาย พี่มาเพื่อเชียร์วง Lexor ใช่ป่าวคะ "

"ครับ?"

หญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่นั่งข้างๆแจมิน ได้รวบรวมความกล้าออกมาก่อนจะถามเขา แจมินมองไปที่เธอพร้อมแสดงความสงสัยเล็กน้อย

วัยรุ่นหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรผิวสีขาวออกไปทางซีดกำลังจ้องหน้าเธอ แก้มของเธอแดงขึ้นแล้วก็รีบหันหลังกลับทันที เธอไม่สามารถสบตากับเขาได้ เดเมจความหล่อมันมากเกินไป

"นะ ... นี่เป็นส่วนกองเชยร์ของวง Lexor ค่ะพี่ ... "

“...... .”

แจมินหันไปมองรอบตัวปรากฏว่าโซนที่เขานั่งอยู่ นี้ทุกคนต่างถือลูกโป่งป้ายไฟ สีเดียวกันทั้งหมดแล้วก็มีชื่อวงที่ชอบอยู่

“เปล่าครับ ผมเป็นแฟนคลับวง Hot Girls "

"Hot Girl? วงไรอ่า"

พวกเธอพึ่งเดบิวต์ไปหนึ่งสัปดาห์ก่อนจึงยังไม่ค่อยมีชื่อเสียง พวกเธอยังไม่ได้เป็นคนดังอะไร ทำให้ยังไม่มีคนรู้จักพวกเธอมากนัก

"อ่า..เมื่อ Hot Girls ออกมาพวกคุณช่วยส่งเสียงเชียร์ให้บ้างนะ"

“ค่า ได้เลยพี่ชาย "

หญิงสาวเหล่านี้เสี่ยงที่จะเข้าโซลมา เพื่อที่จะมาเชียร์วงของที่พวกเธอชื่นชอบ แต่สาวๆ ก็เห็นด้วยกับคำขอของแจมิน ไม่อะไรหรอกเพราะว่าเขาหล่อมาก

ความหล่อของแจมินทำให้เหล่าสาวน้อยรอบๆ หวั่นไหว

แจมินเริ่มหายใจถี่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางเหล่าสาวๆ

'ฉันไม่สามารถทนได้'

ถ้าเขายังฝืนอยู่ที่นี่รับรองได้เลยต้องมีคอของใครสักคนถูกเขากัดแน่ๆ

"เอาล่ะ ... พวกเธอต้องช่วยเชียร์วง Hot Girls ตกลงนะ? "

"ได้เลยค่ะพี่ชายสุดหล่อ "

"ดีมากๆ"

แจมินรีบลุกออกไป เมื่อเขาออกไปสาวๆเริ่มเมาท์มอยกันอย่างออกรส

“กรี๊ดดดดด! เธอได้ถ่ายภาพเขาไว้ป่าวอ๊ะ? "

"โอ๊ยยยยย โคตรหล่อเลยอ่ะ หลอโฮกกกกกกก อปป้าาาา ขาาา!”

"เค้าเป็นดาราเปล่าอ่ะแก? หรือเขาเป็นคนของวง Hot Girls กันนะ ? หรือเขาทำงานที่นี่กันน้า? "

"บางทีเค้าอาจจะมาเชียร์ คนรู้จักก็ได้นะเธอ"

เมื่อแจมินกลายเป็นแวมไพร์สีผิวของเขาขาวขึ้นจนออกจะซีดและหน้าตาเขาก็หล่อขึ้นมาก จนสาวๆคิดว่าเขาเป็นดาราหรือนักร้อง

“โอ๊ยยยย ถ้าพี่ชายสุดหล่อ มะกี้มาเดบิวต์นะแก ฉันจะกระโดดลงไปหาเลย"

"มะกี๊ชั้นได้จับมือเค้าด้วยอ่ะ ฮ๊าาา กลิ่นเค้ายังหอมติดมืออยู่เลยอ่าาา "

แจมินดึงออกมาจากกลุ่มสาวๆ และตรงไปยังขอบเวทีด้านหลัง

แจมินถอยออกมาสุดขอบเวที ถึงมันจะไกลเกินกว่าจะมองเห็นหน้าคนบนเวที แต่ตอนนี้แจมินไม่ได้เป็นมนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป

ความสามารถทุกอย่างทางกายภาพของเขาพัฒนาไปไกลกว่ามนุษย์ธรรมดามาก

หลังจากที่หลายๆกลุ่มได้ขึ้นไปแสดง ในที่สุดก็ถึงคิวของ Hot Girl ในวงมีอยู่3คนแต่แจมินไม่ได้สนใจคนอื่น สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซูจีเพียงคนเดียว

"เธอดูผอมลงไปเยอะเลย"

เธอเป็นคนร่างบางอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะไดเอ็ทเพิ่มไปอีก เขารู้สึกกังวลนิดหน่อย แต่เมื่อมองเธอร้องเพลงแล้วก็เต้นด้วยชุดสวยๆของเธอความกังวลก็หายไป

"อ่า ... ซูจี"

จะเป็นยังไงนะถ้าเขาไปหาเธอ? เธอจะไปเดทกับเขาไหม?

ไม่ ตอนนี้เธอได้ทำในสิ่งที่เธอฝันแล้ว การไปหาเธอจะฉุดรั้งเธอไว้

เป็นแบบนี้ ดีแล้ว...

'ตอนนี้ฉันไม่ต่างอะไรจากมอนสเตอร์ มีสิทธิแค่เฝ้าดูคุณไกลๆ ซูจี ….

แจมินมองซูจีด้วยสายตาโหยหา ไม่นานวง Hot Girl ก็จบการแสดง ก่อนที่พวกเธอจะลงจากเวที

เขาแค่มาดูซูจี และเขาไม่ต้องการที่จะดูคนอื่นๆอีก เลยตัดสินใจกลับ เขาเดินออกมาที่ทางออก

"นะ...นี่มันบ้าอะไรกัน?"

ฮู่มมมมมมมมมม!

มีมอนสเตอร์อยู่เต็มถนน

"มีดันเจียนแตกออกใกล้ๆรึเปล่า?"

แจมิน ใช้เวลาอยู่ในพื้นที่มิติอแลนดัลของวูชินค่อนข้างมาก เขาไม่ได้แปลกใจกับการปรากฏตัวของมอนสเตอร์ แต่เขาไม่ค่อยได้ใช้เวลาในการฝึกการต่อสู้สักเท่าไร ทักษะการต่อสู้ของเขาไม่ได้สูงมาก

"ฉันต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด"

ก๊าซซซซซซซซซซซซซ!

เสียงมอนสเตอร์คำรามขึ้นในสถานี เขาหันกลับไปมองตามเสียง พบมอนสเตอร์อยู่บนเพดานจำนวนมากนอกจากนี้ยังมีมอนสเตอร์ที่พยายามจะเข้ามาทางหน้าต่าง

“ซะ... ซูจี!”

แจมินเป็นห่วงซูจีมากเขารีบวิ่งกลับเข้าไปในสถานีอีกครั้ง

***

“เฮ้ ดูซิใครเอ่ย! "

"ฮ่า ดีใจจังที่ได้เจอนายอีก นานแค่ไหนแล้วเนี่ย?"

งานเลี้ยงรุ่นเริ่มขึ้นแล้ว สำหรับบางคนการได้เจอเพื่อนเก่าๆเหมือนได้ระลึกความหลังครั้งที่มีความสุข สำหรับบางคนใช้งานนี้เพื่อติดต่อกับศิษย์เก่า

พวกเขาใช้เงินไปเยอะมากเพื่อทำการจองห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม ในงานมีคนมาร่วมเกินกว่า200คน นับได้ว่าเกือบ90%ของศิษย์เก่าเลยทีเดียว

พวกเขาต่างแยกย้ายกันไปทำงานตามทางของแต่ละคน เวลาที่ได้เจอกันก็มีน้อยลง แต่คราวนี้เมื่อคิดว่าอาจได้พบคังวูชิน พวกเขาเลยพยายามมาร่วมงานกัน

แม้พวกเขาจะทักทายสนทนากันอย่างร่าเริงแต่พวกเขาก็ยังคอยมองหาวูชินอยู่ตลอด

"เฮ้ จีวอน วันนี้ วูชินเขาไม่ได้มาด้วยหรอ? "

"อื้อ คิดว่าเขาคงมาไม่ได้อ่า"

จีวอนตอบคำถามของอดีตประธานนักเรียนนัมจียุง หลังที่จีวอนตอบได้แป๊บเดียว ซินดี้ที่ยังคงใส่แว่นดำก็เดินเข้ามาถามคำถามต่อ

"ทำไมเขาถึงมาไม่ได้หรอ?"

"เขาค่อนข้างจะยุ่งมาก"

“อืม คงงั้นล่ะนะ? "

เมื่อคังวูชินไม่มา เธอก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอยู่ที่นี่ต่อ? ซินดี้ตัดสินใจจะเดินออกไป

'บ้าจริงๆ ตารางงานเลื่อนไปอย่างเสียเปล่า'

เธอสละงานบางส่วนเพื่อให้ตารางเวลาเธอว่างพอที่จะมาร่วมงานเลี้ยง ปัจจุบันความนิยมในตัวเธอค่อนข้างสูง เวลาจึงเป็นเงินเป็นทองสำหรับเธอ

"เฮ้ ซินดี้ ไม่ใช่เพราะคนสวยอย่างคุณเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะจัดงานนี้หรอกหรอ? ”

"ก็นะ ฉันไม่ได้มางานแบบนี้นานแล้วนี่นา"

ซินดี้ขยับแว่นตาดำของเธอเล็กน้อยขณะฟังคำกล่าวเยินยอของอดีตประธานนัมจียุง

"ก็ดีนะที่ได้เจอคุณอีก"

"อื้อ อ้าว? คุณจะกลับแล้วหรอ? "

"อื้อ ตารางงานของฉันแน่นมาก"

“อื้อไม่เป็นไรหรอก น่าเสียดายจัง"

หัวใจของนัมจียุงสั่นไหว เขาพยายามซ่อนความรู้สึกของเขา

เขาก็แค่ชายคนนึงที่อายุยี่สิบสี่ปี

พวกเขาเคยเป็นเพื่อนห้องกันหนึ่งครั้ง เป็นเวลากว่า5ปีแล้วที่เขาได้แต่เฝ้ามองเธอจากโทรทัศน์ เข้าได้แต่แอบหลงไหลเธอและไม่มีความกล้าพอที่จะเชิญหน้ากับดารา

"ขอให้สนุกนะ"

“อื้อ ผมจะเดินไปส่งคุณ "

"เอาสิ"

ซินดี้ไม่ได้ปฏิเสธเขา เธอเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง นัมจียุงเดินตามออกมาเพื่อส่งเธอกลับ ส่วนโดจีวอนที่ยืนอยู่คนเดียว ก็รู้สึกเหงาๆ

"ถ้าวูชินมาได้ก็คงจะดีนะ เฮ่ออ"

จีวอนรู้ว่าวูชินมีหน้าที่ที่ต้องทำหนักขนาดไหน

เธอแค่อยากให้เขาได้ฟื้นฟูความทรงจำเก่าๆบ้าง อยากให้เขาได้เจอเพื่อนเก่าในสมัยที่ยังเรียนด้วยกัน เขาคงรู้สึกดีหากเขาจำเพื่อนเก่าๆของเขาได้ ...มั้งนะ?

เขายุ่งอยู่กับการเคลียดันเจี้ยน เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกขอบคุณ และก็เสียใจในเวลาเดียวกัน

“หื้ม?”

ดวงตาจีวอนเบิกกว้างขึ้นเมื่อมองไปที่ทางเข้า

ซินดี้และจียุงที่พึ่งออกไปไม่นาน วิ่งกลับมาอย่างเร่งรีบท่าทางของทั้งคู่ดูเสียขวัญและหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นจีวอนก็สังเกตเห็นฝูงแมงมุมที่ไล่ตามทั้งคู่มา เธอกรีดร้องเสียงดังลั่น

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!”

แมงมุมนับร้อยๆตัว พวกมันกรูกันมาที่ทางเข้า ขนาดของพวกมันไม่ได้เล็กไปกว่าหัวมนุษย์สักเท่าไร

“กี๊กิกิกิ ที่นี่มีมนุษย์อยู่รวมกันเยอะดี"

แมงมุมแม่ม่ายดำชาล็อต โผล่ออกมาพร้อมพูดด้วยเสียงมนุษย์

เธอยิ้มเมื่อเห็นเหล่ามนุษย์ตกอยู่ในความหวาดกลัว

***

ตูมมมม ตึงงง ตึงงงง

ถนนเต็มไปด้วยรถถัง และรถขนส่งทหาร

กี๊ซซซซซซซซซซ!

มอนสเตอร์ที่รูปร่างคล้ายค้างคาวบินว่อนเต็มท้องฟ้า พวกมันปล่อยคลื่นเสียงออกมาจู่โจม เฮลิคอปเตอร์จู่โจมทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย

พวกมันเคลื่อนที่ว่องไวไปมาระหว่างอาคารทำให้การเล็งเป้าพวกมันทำได้ยากมาก กองกำลังที่อยู่บนพื้นดินใช้อาวุธต่อต้านอากาศยาน เข้าจู่โจม แต่ไม่สามารถลดจำนวนพวกมันลงได้เท่าที่ควร

ปัญหาคือไม่ได้มีแค่มอนสเตอร์ค้างคาวที่บินอยู่เท่านั้น

ฮู่มมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

เวียงคำรามดังกึกก้อง มอนสเตอร์ที่รูปร่างคล้ายหมีขนาดใหญ่พุ่งเข้าจู่โจมรถถัง ในขณะที่รถถังใช้ปืนหลักระดมยิงใส่มัน

ตูม ตูม ตูมมม!

แรงระเบิดจากการปะทะและกระสุนนัดที่พลาด โดนตึกที่อยู่รอบๆ พังลงมา

หมีพิฆาตกระโจนออกมาจากเศษซากปรักหักพัง แขนมันขาดเสมอไหล่ไปข้างนึง มีเเผลเต็มตัว ถึงมันจะเลือดท่วมตัวแต่มันก็ยังไม่ตาย

ฮู่มมมมมมมมมมมม!

ตูมมมมม!

หมีพิฆาตขนาดตัวเท่าตึกสองชั้นตะปบอุ้งมือมันไปที่ปืนใหญ่รถถัง เพียงครั้งเดียวเท่านั้นปืนใหญ่ก็กระเด็นหลุดออกไป เมื่อมันทำลายสิ่งที่สร้างความเสียหายได้แล้ว มันใช้อุ้งเท้าของมันงัดรถถังขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะง้างสุดแขนแล้วตบไปด้วยความรุนแรง รถถังปลิวหมุนติ้วไปในอากาศ

ปังงงง ปังงงงง ตูมมมมม ตูมมมมม!!!

กระสุนอีกสองนัดของรถถังอีกคันด้านข้าง ยิงเข้าเป้าไปที่หัวของมันจนระเบิดกระจุยล้มลงตายอยู่ตรงนั้น กว่าจะฆ่ามันได้พวกเขาลำบากมาก และปัญหาใหญ่คือมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว

"บ้าเอ๊ย! มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ? "

ร้อยเอก ฮานซังพิล หัวหน้าหน่วยยานเกราะสบถออกมาเมื่อต้องมารับมือกับสถานการณ์แบบนี้

ดันเจี้ยนแตกออกความเสียหายมีน้อยมาก เพราะพวกเขาได้เตรียมตัวไว้ก่อน

หากรู้เวลาพวกเขาจะทำการอพยพผู้คน เคลียพื้นที่ และตั้งแนวปิดกั้น จัดกำลังอาวุธเพื่อป้องกันได้อย่างเหมาะสม

แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้รับคำเตือนอะไรทั้งสิ้น และประชาชนก็ยังไม่ได้รับการอพยพ มันยากที่จะเปิดฉากโจมตีอย่างเต็มรูปแบบ นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ทหารและกองกำลังป้องกันที่กระจายอยู่รอบโซลไม่สามารถจัดการกับมอนสเตอร์ได้ง่ายๆ

“แม่งเอ๊ย! ไอพวกกิลด์ห่าเหวอะไรพวกนั้น มันหายหัวไปไหนกันหมดวะ? "

เป็นไปไม่ได้ที่กำลังทหารและอาวุธปืนจะสามารถจัดการมอนสเตอร์ทั้งหมดได้ แล้วยังมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ติดอยู่ในอาคารกำลังรอการอพยพอีก นอกจากนี้มอนสเตอร์ที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยปืนใหญ่ ก็ต้องพึ่งเหล่าผู้มีพลังในการรับมือ

จากนั้นไม่นาน ก็เกิดการแตกออกของดันเจี้ยน ใน แดกู, ควางจู, ปูซาน,โซล และสถานที่อื่นๆในเกาหลี ... ไม่สิ ดันเจี้ยนแทบทั้งโลกกำลังแตกออกในเวลาเดียวกัน และตอนนี้พวกเขาขาดแคลนกำลังสนับสนุนแนวรบอย่างมาก

กำลังรบของผู้มีพลังระดับE อาจไม่สามารถเทียบกับทหารอาวุธครบมือได้ ต้องอย่างน้อยระดับDขึ้นไปถึงจะเริ่มเหนือกว่าทหารธรรมดา แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสงสัยที่สุด คือการแตกออกพร้อมกันของดันเจี้ยนแทบจะทั้งโลก

เนื่องจากพวกเขามีจำนวนน้อยกว่าทำให้ต้องใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงและมากขึ้น ตอนนี้การมีเหล่าผู้มีพลังระดับสูงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก

บางประเทศกำลังตัดสินใจที่จะใช้อาวุธนิวเคลีย เพราะพวกเขาไม่มีผู้มีพลังระดับสูง

"เขายังไม่กลับมางั้นหรอ?"

ถนนและอาคารเต็มไปด้วยมอนสเตอร์

เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นทำให้เขานึกถึงดันเจียนที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นเมื่อ5ปีที่แล้ว

โลกกำลังจะเผชิญวิกฤตแบบนั้นอีกครั้ง

“ผะ..ผู้กอง! ดูนั่นเร็ว! "

"ห่าอะไรอีกวะ?"

เสนาธิการของเขาตะโกนออกมา ฮานซังพิลคว้ากล้องส่องทางไกลมา และมองไปยังทิศทางนั้น เขากลืนน้ำลายเมื่อมองไปยังสิ่งนั้น

“แม่งเอ๊ยยยยยย”

มังกรขนาดมหึมากำลังนั่งอยู่บนยอดของหอ นัมซาน มันเอากรงเล็บยึดกับหอคอยไว้ เหมือนว่ามันกำลังมองไปรอบๆโซล ภาพที่เห็นแทบไม่ต่างอะไรกับในหนังเรื่องคิงคอง

"นะ ... นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นมอนสเตอร์ขนาดใหญ่แบบนี้"

ประสบการณ์ครั้งแรกนี้ของฮานซังพิลมันช่างร้ายแรงมากเกินกว่าเขาจะรับได้ ในไม่ช้าหน่วยจู่โจมทางอากาศก็มาถึง เครื่องบินรบทั้งหน่วยระดมยิงมิซไซล์ไปยังสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่อยู่บนยอดหอคอยนัมซาน โดยพร้อมเพรียงกัน

ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!

เกิดระเบิดขนาดใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วโซล ลมจากการระเบิดแทบทำให้ฮานซังพิลกระเด็นถอยหลัง อย่างไรก็ตามมังกรตัวนั้นแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย บาเรียโปร่งแสงขนาดใหญ่กว่าตัวมันครอบมันไว้ เหมือนมันอยู่ในฟองอากาศขนาดยักษ์

นี่ถ้ามันเป็นภาพยนตร์ไม่รู้เลยว่าจะมีรายได้ถล่มทลายขนาดไหน?

โซลกำลังจะล่มสลายเพราะหายนะขนาดมหึมาตัวนี้หรือไม่..... โปรดติดตามตอนต่อไป

รีวิวผู้อ่าน