บทที่ 31
ฝุ่น
อาเฉียง ปักง้าวบนไหล่ของเขาลงกับพื้นและนั่งหอบหายใจบนก้อนหินใหญ่ แม้บนพื้นจะเป็นหินลายครามก็ไม่สามารถปิดกั้นคมง้าวที่แหลมคมได้
หลี่มู่ฟาน ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาหันกลับไปมองหมอกหนาทึบด้านหลังและรู้สึกโชคดีมาก
หากไม่ใช่เพราะเขาบังเอิญรู้จักอักษรจีน และหากไม่ใช่เพราะเขาบังเอิญอ่านหนังสือเรื่องนี้มาพอดี วันนี้พวกเขา 3 คนคงไม่มีทางที่จะออกมาจากดินแดนแห่งนั้นได้!
มีแต่ในใจของเขายังคงสับสน ค่ายกล8 ทิศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่ามันจะดูอันตรายแต่หากเข้าใจเพียงเล็กน้อยก็สามารถพลิกสถานการณ์อันตรายนี้ได้
นอกจากนี้ทำไมถึงมีอักษรจีนโบราณปรากฏอยู่บนทวีปเทียนเหิงที่ห่างไกลเช่นนี้?
ในเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด เขามองไปที่เส้นทางบนภูเขานี้และถามว่า “ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
ชุ่ยฮัว มองบนท้องฟ้าและกล่าวว่า “นายท่านตอนนี้ประมาณ ตีสองของเวลาบนโลก”
“เหนื่อยแล้ว พักก่อนเถอะ”
เขารับชิ้นส่วนเนื้อแห้งมาจาก อาเฉียง และดื่มน้ำสะอาดเล็กน้อยมองไปบนเส้นทางบนภูเขาที่เงียบสงบและหมอกที่อยู่ข้างหลังเขา หลังจากเงียบไปนานเขาก็พูดขึ้นว่า
“ไปกันเถอะ ไปดูกัน!”
ตลอดทางเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงแมลง ชุ่ยฮัว ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆในอากาศ อาเฉียง ที่มีสายตาแหลมคมมาตลอดก็เห็นอาวุธที่ชำรุดถูกฝังอยู่ในป่าสองข้างทาง
คราวนี้เขาได้ให้ข้อเสนอแนะกับ หลี่มู่ฟาน พวกเขาไม่ควรที่จะเก็บขยะเหล่านี้หากเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาออกไปจากเส้นทางนี้แล้วเจอเรื่องแปลกๆมันอาจจะไม่คุ้มสำหรับอาวุธชำรุดเพียงไม่กี่เล่ม
ด้านหลังยังคงมีหมอกตลอดไม่มีหนทางให้ถอย และปริศนาในใจของเขาก็ยังคงต้องการคำตอบเช่นกัน
ตลอดทางลมสงบเงียบแม้แต่เงาของทหารผีก็ไม่เห็น ทั้งสองคนมาถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว เป็นถ้ำที่ถูกบดบังด้วยเถาวัลย์หนาทึบ
ที่ด้านหน้าของถ้ำ มีอักษรจีนโบราณเพียงครึ่งตัวที่เหลืออยู่บนแผ่นหินที่แตกหัก ตัวอักษรขาดสะบั้นและเลือนราง หลี่มู่ฟาน ไม่รู้ว่าตัวอักษรนี้คือตัวอักษรไหนกันแน่
อาเฉียง ถามอย่างลังเลว่า “นายน้อยพวกเราจะเข้าไปไหม?”
“เข้าสิ! ไม่มีทางถอยอีกแล้ว พวกเจ้าทิ้งอาวุธที่หยิบขึ้นมาก่อนหน้านี้เอาไว้นอกถ้ำ จะได้ไม่เสี่ยง หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น!”
“รับทราบ”
หลี่มู่ฟาน เอื้อมมือออกไปแล้วปัดม่านเถาวัลย์สีเขียวออก ราวกับว่าเขานั้นกำลังปัดเป่าประวัติศาสตร์ที่ปิดมานานนับสิบล้านปี ด้วยเหตุผลบางอย่างหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น และยากที่จะสังเกต
เขาเดินอยู่ในถ้ำที่ปูด้วยหินสีเขียว ด้านหน้ามีแสงสีแดงจางๆกำลังสั่นไหวทำให้ถ้ำมืดสนิทสว่างไสว
บนผนังหินทั้งสองด้านของถ้ำเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังมนุษย์โบราณที่บอกเล่าเรื่องราวที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างเงียบๆ
หลี่มู่ฟาน พาทั้งสองคนเดินอย่างเงียบๆผ่านแสงสีแดงเล็กน้อยเขาค่อยๆมองดูภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้อย่างช้าๆ
นี่เหมือนจะเป็นประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์ ตั้งแต่การดื่มเลือด และนำหนังของสัตว์มาเป็นเครื่องนุ่งห่ม ไปจนถึงการเรียนรู้เครื่องมือในการสร้าง หลังจากนั้นเผ่าก็ค่อยๆเติบโตและก่อตัวเป็นเชื้อชาติ เหตุการณ์ต่อสู้กับสัตว์ป่าและเผ่าพันธุ์ต่างๆ
ภาพหนึ่งที่น่าสนใจ
หลี่มู่ฟาน ดูเหมือนจะย้อนเวลากลับไปในสมัยโบราณ มนุษย์และนักสู้แห่งสวรรค์ต่อสู้กับโลก ต่อสู้กับเผ่าพันธุ์นับหมื่นไม่เคยยอมแพ้และต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
เลือดร้อนพลุ่งพล่านในทรวงอกของเขา ความศรัทธาที่ไม่ย่อท้อแผ่ออกมา!
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาดึงสติกลับมาและสะท้อนให้เห็นฉากที่อยู่ในสายตาของเขาทำให้เขาไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต