บทที่ 43
ข่าวร้าย
จักรวรรดิหยุนฉิน พระราชวัง ในห้องประชุมของราชสำนัก
ภายในพระราชวังสูงตระหง่าน ขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย แม่ทัพอยู่ทางขวา ทำความเคารพจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิองค์ปัจจุบัน ฉินหยงจุน
หลังจากพิธีเสร็จสิ้นชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะก็ออกจากแถวและกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท ทหารชายแดนนำข่าวมารายงาน กองทัพของเผ่ากระทิงเถื่อน 200,000 นายได้ลงใต้แล้ว พวกเขามุ่งตรงไปยังแคว้นซีเฮอ โดยตรง ฝ่าบาทได้โปรดตัดสินใจด้วย”
ฉินหยงจุน ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มองลงมายังขุนนางทั้งบุ๋นทั้งบู๊แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้เผาทุ่งหญ้าบุกเข้ามาทางทิศใต้ แล้วพวกเจ้ามีสิ่งใดเสนอหรือไม่?”
เพียงหนึ่งลมหายใจก็มีขุนนางคนหนึ่งออกมาจากแถวและเริ่มรายงาน “ฝ่าบาท กองทัพทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด กระหม่อมคิดว่าควรจะส่งทูตไปที่เมืองกวงหมิงทันที เพื่อให้หัวหน้าเผ่าเอลฟ์ออกหน้าไกล่เกลี่ยภัยพิบัตินี้”
แม่ทัพวัยกลางคนยิ้มเยาะ “เมืองกวงหมิงอยู่ไกลมาก การเดินทางไปกลับเร็วที่สุดต้องใช้เวลาถึง 2 เดือน เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าแคว้นซีเฮอจะล่มสลายไปเสียก่อน!”
ทันใดนั้นขุนนางก็ตอบโต้ว่า “เช่นนั้นก็ส่งทูตเข้าไปยังทุ่งหญ้าก่อน แล้วมอบทรัพย์สินบางอย่างให้พวกเขา เพื่อให้เผ่าคนเถื่อนเหล่านั้นหยุดการโจมตี!”
“เจ้าต้องการที่จะส่งเงินและเครื่องบรรณาการให้พวกมันอย่างนั้นหรือ ในรอบ 10 ปีจักรวรรดิได้ส่งมอบเงินจำนวนเท่าไหร่ให้กับเผ่าคนเถื่อนกลุ่มนั้นแต่พวกนั้นก็ยังแข็งข้อและคิดที่จะบุกทะลวงเข้ามายังดินแดนของเราอยู่ดี!”
แม่ทัพคนหนึ่งโต้กลับ
“การส่งเงินนั้นประหยัดกว่าการเกิดสงครามเสียอีก เมื่อเกิดสงครามขึ้นจักรวรรดิจะต้องจ่ายราคาเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันในพระราชสำนัก
นี่เป็นประเพณีหลังจากการเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิหยุนฉินเหล่าขุนนางสามารถพูดคุยได้อย่างอิสระในราชสำนัก การทะเลาะวิวาทด้วยวาจาไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างไรก็ถือว่าเป็นการพูดคุยปรึกษากันในที่ประชุม
ฉินหยงจุน จ้องมองไปที่ขุนนางที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ด้านล่างๆดวงตาพยัคฆ์คู่ของเขาบางครั้งก็มองออกไปนอกตำหนักราวกับว่ากำลังรอข่าวบางอย่างอยู่
หลังจากนั้นก็มีรายงานเข้ามา
“รายงาน…”
“สายลับรายงานมาว่าเมื่อ 20 วันก่อน เผ่าเอลฟ์และเผาราตรีได้ต่อสู้กันบนชายฝั่งตะวันออกโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งสองฝ่ายต่างมีกำลังทหารนับแสนคนและกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด!”
ทุกคนในราชสำนักต่างตกตะลึง
“เผ่าพันธุ์ระดับลึกลับ 2 เผ่าพันธุ์เริ่มต่อสู้กันแล้วงั้นหรือ?”
ก่อนที่ทุกคนจะได้ทันตั้งตัวทหารอีกคนก็วิ่งเข้ามา
“รายงาน เผ่าหมาป่าโลหิตทางตอนใต้บุกเข้ามารุกรานเมืองทั้ง 6 แห่งติดต่อกัน แม่ทัพหยินไม่อาจต่อกรได้ ตอนนี้กองทัพที่พ่ายแพ้ถอยกลับมายังเมืองทางใต้แล้ว!”
ฉินหยงจุน กล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “มีผู้เสียชีวิตเท่าไหร่?”
ทหารที่มารายงานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิทำสีหน้าเย็นชาเขาจึงไม่กล้าปิดบังและพูดขึ้นอย่างสั่นเทาว่า “กองทัพ 100,000 นายถูกกวาดล้างจนสิ้น ประชาชน 400,000 คนถูกล้างด้วยเลือด!”
“อะไรนะ!”
เมื่อเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีเครายาวได้ยินข่าวร้ายเขาก็หมดสติไปทันที
ทั่วทั้งราชสำนักเงียบสงัด
“รายงาน..”
ทหารส่งของวิ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ
“รายงาน พ่ะย่ะค่ะ! กองกำลังแนวหน้าของเผ่ากระทิงเถื่อนได้บุกเข้าโจมตีชายแดนของแคว้นซีเฮอเมื่อวานนี้และคน 500,000 คน ไม่สามารถหลบหนีได้และถูกสังหาร!”
ข่าวร้าย มีแต่ข่าวร้าย!
ในเวลาเพียงไม่กี่วันมนุษย์เกือบล้านคนถูกล้างด้วยเลือด
ฉินหยงจุน ค่อยๆลุกขึ้นจากบัลลังก์และมองไปที่ขุนนางและแม่ทัพในตำหนักอย่างเย็นชา
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “จักรวรรดิหยุนฉินของข้า ไม่เคยมีสงครามครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปีถึงเวลาแล้วที่จะต้องขยับกล้ามเนื้อและกระดูกสักหน่อย”
“ฟังราชโองการจากข้า ให้องค์ชายรองนำทัพขึ้นเหนือ 500,000 คน และเข้าร่วมกับแคว้นซีเฮอ ส่วนเมืองสุริยันจันทราและเมืองซาผิง ส่งคนไปสกัดกั้นเผากระทิงเถื่อนที่บุกมาทางใต้!”
“ให้แม่ทัพฝานออกจากภูเขา! และให้กองทัพ 2,003,000 นาย ลงใต้เพื่อกวาดล้างเผ่าหมาป่าโลหิต! ทุกที่ที่ผ่านไป ฆ่าให้หมด!”
เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันและตอบรับพร้อมกันว่า
“รับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!”
………………
ค่ายยามเช้าตรู่ดูคึกคักมาก ชาวบ้านตื่นนอนกันแล้วภายใต้การจัดเตรียมของหัวหน้าพวกเขาทุกคนก็เริ่มงานของวันนี้
หวังผิงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเสมียนโดยแม่ทัพหญิง หลังจากอ่านหนังสือมาหลายปีตอนนี้เขารับผิดชอบเรื่องการจัดการเรื่องคลังสินค้าและรายการต่างๆ
นี่ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญมาก เขาดูแลคลังเก็บเงินและสิ่งของต่างๆทุกอย่างต้องผ่านมือของเขา ไม่รู้ว่ามีกี่คนในค่ายที่อิจฉางานของเขา
“แม่ทัพจาง ท่านมาแล้วหรือ วันนี้ท่านมารับเสบียงอาหาร 300 คนใช่หรือไม่?”
จางเถี่ย หัวเราะและพูดว่า “ เสี่ยวหวัง วันนี้ไม่ใช่จำนวนนี้แล้ว เมื่อวานนายน้อยได้มอบเชลยให้กับข้าอีก 100 คน เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเพิ่มหมั่นโถวไส้เนื้อแห้งอีก 50 ชิ้น”
หวังผิงขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างลังเล “ท่านแม่ทัพ ท่านได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากนายน้อยหรือแม่ทัพฟานหรือไม่?”
“คำสั่งงั้นหรอ?”
จางเถี่ย เกาหัว แล้วกล่าวว่า “ไม่มี เมื่อไหร่กันที่ข้าจะต้องเข้าไปรับคำสั่งก่อน?”
“เรียนท่านแม่ทัพ เมื่อวานข้าน้อยได้รับแจ้งว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากต้องการเบิกสิ่งของจะต้องได้รับคำสั่งจากนายน้อยหรือไม่ก็แม่ทัพฟานก่อน ท่านดูนี่สิ..”
จางเถี่ย รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“เจ้าเอามาให้ข้าก่อนเดี๋ยวข้าให้คนไปแจ้งข่าวแก่ในนายน้อย”
“เอิ่ม…”
“แม่ทัพจาง ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย ถ้าท่านแม่ทัพฟานตำหนิข้า ข้าน้อยคงรับโทษไม่ไหว”
จางเถี่ย มองไปที่บัณฑิตที่อ่อนแอตรงหน้าเขาด้วยใบหน้ามืดมน
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ
“ได้ๆ เดิมทีข้าเองก็เป็นคนมีเหตุผล ข้าจะไปพบ เสี่ยวฟานเพื่อขอคำสั่งก่อน!”
พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
หวังผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นแผ่นหลังของจางเถี่ยกำลังลับสายตาไป
ได้ยินมาว่าทหารกลุ่มนี้ติดตามนายน้อยมาตลอดทาง ต่อสู้ด้วยเลือดเนื้ออย่างยากลำบาก
พริบตาเดียวก็ผ่านมามากกว่า 20 วันแล้ว เรียกได้ว่าช่วงที่ปนไปด้วยความสุขและความทุกข์
จากอาการตื่นเต้นในวันแรกจนถึงทุกวันนี้เขาปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในค่ายและสภาพจิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
แต่ก่อนเขาเคยทำงานเหนื่อยมากแต่ก็ใช่ว่าจะได้กินข้าวอิ่ม เขาเองก็เป็นนักปราชญ์ ในใจมีความใฝ่ฝันแต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายดูเหมือนว่าความทะเยอทะยานของเขาจะไปไม่ถึง
แต่หลังจากขึ้นเขาเขาก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่รังโจรธรรมดาแต่เป็นรังโจรที่มีชีวิตชีวา….
แม้ว่าทุกวันจะลำบากแต่อาหารก็กินอิ่ม ช่วงก่อนยังส่งชุดฤดูหนาวให้กับทุกคนอีกด้วยนี่เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตไว้ในฤดูหนาว
เขาเข้าใจดีว่าทุกคนอาจมีการบ่นบ้างแต่พวกเขาก็ยอมรับนายน้อยหนุ่มผู้นี้ และยิ่งเขาทำเช่นนี้ด้วยความไว้วางใจของผู้นำทุกคนเมื่อได้รับงานสำคัญเช่นนี้เขายิ่งรู้สึกถึงความรับผิดชอบอย่างรุนแรง