บทที่ 49
ข้าต้องการมันทั้งหมด
หัวหน้ามารปฐพีโบกมือและกล่าวว่า “เอาล่ะทุกคน เผ่ามนุษย์คนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นสหายร่วมอุดมการณ์เช่นกัน ใครก็ได้ไปลากเก้าอี้มา 1 ตัวซิ”
ทันใดนั้นพวกเขาก็นำเก้าอี้มาเสริม มันเป็นเพียงเก้าอี้ไม้เล็กๆตัดกับเก้าอี้ขนสัตว์ของเหล่าผู้นำ เมื่อผู้นำต่างเผ่าเห็นดังนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง
หัวหน้ามารปฐพีกล่าวหยอกล้อ ว่า “เจ้าต้องการที่จะแบ่งกำไรอย่างไร?”
หลี่มู่ฟาน ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าต้องการทั้งหมด!”
“หา?”
แกนนำต่างเผ่าพันธุ์ต่างเบิกตากว้าง ผ่านไปครู่ใหญ่ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่ตลกที่สุด เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ ไอ้มนุษย์คนนี้มันสติดีอยู่หรือเปล่า กล้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร!”
หัวหน้ามารปฐพีหัวเราะจนแทบขาดใจและกล่าวว่า “ต้องการทั้งหมดอย่างนั้นหรอ?มนุษย์ เจ้ากินยาผิดมาหรือเปล่า?วันนี้ข้าอารมณ์ดีและจะปล่อยเจ้ากลับไปคิดให้ดีแล้วค่อยมาใหม่!”
หลี่มู่ฟาน ยังคงมีสีหน้าเฉยเมย เห็นเพียงรอยยิ้มจางๆ
“ทุกคนในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองแล้วล่ะ ไม่ว่าพวกเจ้าจะลงมือเมื่อใดข้าเองก็ได้เตรียมการเอาไว้แล้ว”
หัวหน้ามารปฐพีหุบยิ้ม และกล่าวอย่างเย็นชา “งั้นหรอก็ได้ข้าจะบอกเจ้าว่าพรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทาง ทางที่ดีเจ้าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีกมิฉะนั้นเรื่องจะไม่จบเพียงแค่นี้!”
“หัวหน้า เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้หล่อเหลา ไม่สู้จับมันไปขายคงได้ราคาดีแน่นอน!”
หัวหน้ามารปฐพีหัวเราะคิกคัก และกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนข้าบอกว่าข้าอารมณ์ดี ปล่อยพวกมันไปซะ แล้วไสหัวไปจากที่นี่”
หลี่มู่ฟาน มองดูเผ่าพันธุ์ต่างแดนอย่างเย็นชาก่อนที่จะหันหลังจากไป เสียงหัวเราะแสบแก้วหูดังมาจากด้านหลัง
ระหว่างทางกลับค่าย ฟานชิงเยว่ที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ นายน้อยทำไมเมื่อครู่ไม่ลงมือ?แต่กลับถอยออกมา”
เมื่อมองไปที่แม่ทัพหญิงที่กำลังโกรธเคือง หลี่มู่ฟาน ยิ้มและกล่าวว่า “มันไร้ประโยชน์ที่จะฆ่าพวกเขา ถ้าหัวหน้าใหญ่ตายก็จะมีหัวหน้ารองขึ้นมาอีก”
“นายน้อยหมายความว่าอย่างไร?”
“ค่ายของพวกต่างเผ่าพันธุ์นั้นถูกซ่อนเอาไว้ และค่ายวายุทมิฬก็ใช้เป็นที่ประชุม พวกเขาจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนวันกว่าจะกลับมาที่เผ่าได้ซึ่งมันต้องใช้เวลานาน”
ดวงตาของเขาเปล่งประกาย
“ขอเพียงรู้ว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะออกไปปล้นก็พอ..”
วันที่ 2
เมื่อเผชิญกับแสงอรุณยามรุ่งเช้า บนที่ราบจินหลันมีจุดด่างดำนับไม่ถ้วนกำลังปรากฏขึ้น หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าเป็นผู้ลี้ภัยเผ่ามนุษย์ที่หลบหนีมา
เมื่อมองออกไปอย่างน้อยมี 30,000 ถึง 40,000 คน
ในฝูงชนมีหญิงสาวคนหนึ่งแบกเด็กชายอายุประมาณ 10 ปีเดินอย่างอดทน
ทั้งสองมีผิวสีเหลืองและผอม กางเกงของเด็กชายถูกย้อมไปด้วยเลือดราวกับว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บ
“พี่สาวพวกเรามาถึงแล้วหรือ?ข้าหิวมาก”
หญิงสาวยิ้มและกล่าวว่า “เสี่ยวหยู อดทนไว้เราจะหาที่ปักหลักได้ในไม่ช้า”
เสียงของเด็กน้อยฟังดูอ่อนแอมาก “ข้าคิดถึงท่านพ่อและท่านแม่”
เมื่อเด็กสาวได้ยินดังนั้นดวงตาของนางก็แดงก่ำ นางปลอบโยนเด็กชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวหยูเป็นเด็กดี ท่านพ่อกับท่านแม่กำลังรอเราอยู่ข้างหน้า เจ้าห้ามนอนหลับนะ!”
แต่ข้างหน้าจะมีพ่อแม่รอพวกเขาอยู่จริงหรือ?
หรืออาจจะเป็นโจรที่โหดร้าย!
ทันใดนั้นขบวนด้านหน้าก็วุ่นวาย หญิงสาวได้ยินเสียงตะโกนที่หมดแรง
“เผ่าพันธุ์ต่างแดนกําลังมา!หนีเร็วเข้า!”
นางตกใจมาก ไม่ใช่ว่าดินแดนของเผ่าเอลฟ์ไม่มีสงครามหรอกหรือทำไมที่นี่ถึงเป็นเช่นนี้?
นางเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ เมื่อทุกคนพากันวิ่งหนีไปนางก็พยายามมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหน้า แต่ภาพที่เห็นกับตาทำให้นางตกใจจนร้องอุทานออกมา!
บนท้องฟ้า มีฝนลูกศรพุ่งเข้ามา และนี่คือสัญลักษณ์ของความตาย!