บทที่ 10
บุตรีคนที่สองของมหาเสนาบดีที่น่าสงสาร
“เจ้ากับข้ามันต่างกัน” คำพูดของหลินซีเหยียนนั้นเป็นเหมือนมีดที่แหลมคม และแทงเข้าไปในใจของหลินหัวเยว่อย่างดุดัน
นับแต่โบราณกาลมา ตระกูลขุนนางนั้นคือตัวตนที่ดูสูงส่งและน่านับถือ ให้ความเคารพกับผู้ที่ได้สืบทอดสายตรง และดูแคลนผู้ที่ต้อยต่ำกว่า คำพูดของหลินซีเหยียนนั้นได้ย้ำเตือนทุกคนว่าหลินซีเหยียนนั้นคือลูกเมียหลวง ในขณะที่หลินหัวเยว่เป็นลูกเมียน้อย
หลินหัวเยว่ที่มีฐานะเป็นแค่สามัญชน แต่กลับพูดถึงเรื่องเสื่อมเสียในตระกูลของตัวเอง และไหนจะเรื่องไม่เคารพขุนนางอีก ถ้าเป็นกฎหมายในประเทศใหญ่ๆที่ให้ความสำคัญเรื่องของระดับชนชั้นแล้วล่ะก็คงได้ถูกจับไปแล้ว
หลินหัวเยว่เองก็เป็นคนที่ฉลาด นางย่อมรู้อยู่ถึงสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังคิดอยู่ แต่นางก็ไม่คิดว่าหลินซีเหยียนที่เป็นคนโง่เง่าจะใช้เรื่องนี้มากดดันตัวนาง
หวนนึกถึงในอดีตที่นางพยายามอย่างมากในการชักชวนหลินซีเหยียนและแกล้งทำเป็นพี่สาวที่ดีต่อหน้าคนอื่นๆ เพื่อให้ผู้คนลืมไปว่าตัวนางนั้นเป็นเพียงแค่สามัญชน
หลังจากที่ผ่านไปเนิ่นนาน ไม่เพียงแต่คนอื่นๆจะลืมแต่ตัวนางเองก็ลืมด้วย
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่นาง และไม่ลืมที่จะทำท่าตื่นตระหนกและมีสายตาที่อิจฉาในแววตาของนาง
“นี่เหยียนเอ๋อ ข้าได้ทำผิดพลาดไปเพราะข้าเป็นห่วงเจ้ามากเกินไปน่ะ เจ้าไม่ได้โกรธข้าจริงๆหรอกใช่ไหม?” หลินหัวเยว่พูดด้วยสีหน้าที่มืดสลัว ราวกับว่านางกำลังอดกลั้นความโศกเศร้าของนางอยู่
หงเอ๋อ สาวใช้ที่คอยติดตามหลินหัวเยว่ก็ได้อดทนต่อไปไม่ไหวก็ได้ “คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านลืมไปแล้วเหรอว่าคุณหนูนั้นคอยดูแลช่วยเหลือท่านอย่างไรบ้าง?”
หลินซีเหยียนคิ้วขมวดและมองไปที่หญิงสาวที่พูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เมื่อเห็นหลินซีเหยียนเงียบไป หงเอ๋อจึงได้คิดว่า หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกตัวว่าตัวเองผิดจึงได้ไม่กล้าพูดออกมา
หงเอ๋อจึงได้พูดต่อด้วยความภาคภูมิใจ “คุณหนูรองควรจะรู้จักความเป็นคนบ้างนะเจ้าคะ ในตอนที่ท่านหิวจนเกือบตายหรือตอนที่ท่านหนาวเกือบตายก็ได้คุณหนูใหญ่คอยช่วยเหลือท่านนะเจ้าคะ”
ผู้คนรอบๆจึงได้พากันสาปแช่งหลินซีเหยียนที่เป็นสายเลือดโดยตรง ว่าพฤติกรรมของนางนั้นแย่มากและไม่รู้จักบุญคุณคน
ซางกวนจิ่นได้ฟังที่หงเอ๋อพูดแล้วก็ได้มองไปที่ หลินซีเหยียน แต่ไม่ใช่สายตาเกลียดชังแต่เป็นสงสาร
เทียนเอ๋อที่หลบอยู่ด้านหลังหลินซีเหยียนได้ยินเข้า ใบหน้าเล็กๆของเขาก็แดงขึ้นมาแล้วออกมายืนด้านหน้าแล้วมองไปที่หลินหัวเยว่และหงเอ๋อ แล้วพูดอย่างโมโห “ถึงแม้ท่านแม่ข้าจะไร้เหตุผลและชอบทุบตีข้าบ่อยๆ แต่ข้าก็ไม่ยอมให้คนอื่นมากลั่นแกล้งท่านแม่ของข้าแน่”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ร่างน้อยๆที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง แล้วหรี่สายตาของนางลงแม้จะรู้สึกดีขึ้นมาที่ลูกชายออกมาปกป้องนาง แต่จะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่พูดประโยคแรกออกมา
หลินซีเหยียนยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มของนางนั้นเป็นดังเวทมนตร์ที่น่าอัศจรรย์ที่ทำให้ซางกวนจิ่นนั้นรู้สึกตะลึงไปชั่วขณะ
เมื่อเขาตั้งสติกลับมาได้ก็ได้พูดขึ้นมา “ถ้าข้าไม่ได้ยินจากคนในพูดเช่นนี้ ข้าก็คงไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่ว่าลูกสาวของภรรยาหลวงท่านมหาเสนาบดีนั้นใช้ชีวิตอย่างน่าอดสูเช่นนี้”
“คุณชายได้โปรดฟังข้าอธิบายก่อน เป็นเพราะนายหญิงใหญ่นั้นเสียชีวิตเร็วเกินไป และท่านป้าเองก็ปล่อยปละละเลยทำให้คนรับใช้ฉวยโอกาสใช้ช่องว่างนั้น ทำให้ซีเหยียนถูกดูแลอย่างโหดร้าย” หลินหัวเยว่มองไปที่สายตาที่รุนแรงของซางกวนจิ่นจึงได้อธิบายอย่างเศร้าโศก
ในช่วงเวลานี้เหล่าผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างก็ไม่รู้จะเชื่อใครกันแน่
ในขณะที่ทั้งสองด้านกำลังปะทะกันอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้พูดขึ้นมา “ข้าก็ไม่ควรจะโทษเจ้าจริงๆนั่นแหละ”
คำพูดของหลินซีเหยียนนั้นทำให้หลินหัวเยว่รู้สึกยินดี แล้วจากนั้นนางก็ได้แอบด่าในใจ นังนี่ช่างโง่จริงๆ ที่ยังเชื่อคนอื่นพูดง่ายๆอยู่ “ซีเหยียน เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษ.......”
แต่ก่อนที่หลินหัวเยว่จะได้พูดจบ หลินซีเหยียนก็ได้พูดขึ้นมาก่อน “ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากจริงๆที่อุตส่าห์เหลือของที่เจ้ากินหรือใช้แล้วให้แก่ข้า”
คำพูดของหลินซีเหยียนนั้นทำให้ผู้คนเข้าใจในความลำบากของนางได้ทันที และผู้คนต่างก็พากันสงสารนาง
“ข้านั้นไม่เคยเรียนมารยาทมาก่อน ทำให้ข้าโดนดุทุกครั้งที่ออกมาข้างนอก แม้แต่เฮอเหวินจางที่เป็นคู่หมั้นของข้าก็ยังดุด่าว่าข้าหยาบคายเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นผมสักเส้นของท่านพี่”
ผู้คนพากันมองไปที่หลินหัวเยว่ แล้วรู้สึกได้ว่านางนั้นไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหญิงงามอันดับสองของเมืองหลวงเสียแล้ว
“ซีเหยียน ที่เจ้าว่าข้าเพราะเรื่องของคุณชายเฮออย่างนั้นเหรอ?” หลินหัวเยว่เดินเข้าไปหาหลินซีเหยียน แล้วเข้าไปคว้ามือของหลินซีเหยียน แต่นางก็หลบออกมาเสียก่อน
ความดุดันปรากฏขึ้นมาในดวงตาของหลินหัวเยว่ นางสาบานไว้ว่าจะต้องทำให้นังโง่นี่ไม่ตายดีแน่ แล้วนางก็ได้พูดด้วยสีหน้ายินดี “นี่ ข้าก็เคยเกลี้ยกล่อมคุณชายเฮอแล้วนะ แต่คุณชายเฮอกลับบอกว่าเขาเห็นเจ้าเป็นเหมือนแค่น้องสาวของเขาเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเข้าหลินซีเหยียนก็ได้พูดอย่างดูถูก “หลินหัวเยว่เจ้าอย่าพูดไร้สาระ ข้าไม่เคยชอบเฮอเหวินจางเลยสักนิด กลับกันข้าคิดว่าเจ้าทั้งคู่เหมาะสมกันดีด้วยซ้ำ”
“ซีเหยียน เจ้ากำลังพูดด้วยความโกรธอยู่เหรอ?” สายตาของหลินหัวเยว่เบิกกว้าง ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“คนเรามันเปลี่ยนกันได้” หลินซีเหยียนไม่อยากที่พูดกับนางอีก และดึงเทียนเอ๋อเดินจากไป
หลินหัวเยว่จะปล่อยให้หลินซีเหยียนจากไปหลังจากที่ทำลายชื่อเสียงของนางไปแล้วได้อย่างไร?
แต่พอนางจะก้าวเท้าก็ได้ยินเสียงที่หนาวเย็นของ หลินซีเหยียนก็ดังเข้ามาในหูของนาง “วันนี้ข้าจะใจดีปล่อยเจ้าไปก่อน ข้าหวังให้เจ้ามีความสุขกับชีวิตในอนาคตนะ”
หลินหัวเยว่ตัวแข็งทื่ออยู่กับทันที และสีหน้าที่เกลียดชังของนางก็ปรากฏออกมา
“คนงามรอข้าด้วย” ซางกวนจิ่นก็ได้ตะโกนขึ้นมาแล้วรีบวิ่งไล่ตามไปทันที
ผู้คนก็พากันหายไปเมื่อไม่มีเรื่องตื่นเต้นแล้ว ในบรรดานั้นมีผู้หญิงบางคนที่สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นที่ได้รู้ความลับเข้า ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองให้ทุกคนได้รู้ในไม่ช้า
ซางกวนจิ่นนั้นไล่ตามหลินซีเหยียนไปไม่ทัน เขามองหารอบๆก็ไม่พบจึงรู้สึกเสียใจมาก ที่ในที่สุดก็พบคนที่เขาสนใจ แต่สุดท้ายก็หายไป สุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับทางเดิม
ณ พราะราชวังรัตติกาล เจียงหวายเย่ก็ได้ฟังรายงานจากอันซาน เจียวหวายเย่ก็ได้รู้ว่าหลินซีเหยียนนั้นได้ไปยั่วซางกวนจิ่นเข้าให้แล้ว ทำให้สีหน้าของเขาก็ได้มืดดำขึ้นมา “ผู้หญิงคนนี้ทำให้กังวลได้ไม่หยุดหย่อนจริงๆ”
ทันทีที่รายงานจบ ก็ได้ยินเสียงเดินที่ข้างนอกห้อง อันซานก็ได้ซ่อนเร้นไปในความมืดทันที
“องค์ชายเย่เจ้าคะ?” เสียงหลินซีเหยียนดังขึ้นมาอย่างอ่อนโยนจากตรงประตูห้อง
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าว “เข้ามาได้”
เมื่อเข้ามาให้ห้องทำงาน เทียนเอ๋อก็ได้โผล่หัวออกมาจากด้านหลังของหลินซีเหยียน เมื่อมองเข้าไปในห้องทำงานนี้แล้วเขาก็ไม่พบใครอื่นนอกจากเจียงหวายเย่ “ท่านแม่บอกว่าท่านจะรับข้าเป็นศิษย์อย่างนั้นเหรอขอรับ?”
“เทียนเอ๋อมานี่สิ” เจียงหวายเย่มองไปที่เทียนเอ๋อแล้ว กล่าว
เจ้าลูกชิ้นก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียน และหลังจากที่แม่ของเขาผงกหัว เขาก็ได้เดินเข้าไปหาอ้อมแขนของเจียงหวายเย่อย่างยินดี “ท่านลุงเย่ ท่านคือท่านอาจารย์ที่แม่ของข้าหาให้จริงๆเหรอขอรับ?”
“ใช่แล้ว” เจียงหวายเย่ยักคิ้วของเขาแล้วพูดกับเจ้าลูกชิ้นที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
เจ้าลูกชิ้นก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อมองไปที่สายตาแปลกๆของเจียวหวายเย่แล้ว แล้วคิ้วเล็กๆบนใบหน้าของเขาก็ได้ขมวดเข้าหากันแล้วถาม “ท่านลุงเย่ ท่านแม่ของข้าเป็นคนโลภในเงินมาก ไม่ใช่ว่าท่านแม่ขายข้าให้ไปเป็นคนคุ้มกันของท่านหรอกเหรอ?”
มุมปากของหลินซีเหยียนก็กระตุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันหน้าหลบราวกับว่านางไม่รู้เรื่องนี้
แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋ออย่างสนใจ และถามด้วยเสียงอ่อนโยน
“เทียนเอ๋อเจ้าต่อสู้เก่งมากไหม?”
เมื่อคำถามนี้ได้เข้าหูของเจ้าลูกชิ้น เขาก็ได้กระโดดลงจากอ้อมแขนของเจียงหวายเย่ แล้วก็ทำท่าทางที่ดูองอาจถ้าไม่ติดเรื่องแขนที่เล็กและขาที่สั้นแต่ก็ดูน่ารักดี แล้วเขาก็พูดขึ้นมา “ข้าหลินเทียนชื่อ ถึงจะไร้ประสบการณ์แต่เป็นอัจฉริยะเรื่องการต่อสู้”