px

เรื่อง : หมอผีแม่ลูกติด
บทที่ 16 ลงจากหลังม้า (แสดงอำนาจให้เห็น)


บทที่ 16

ลงจากหลังม้า (แสดงอำนาจให้เห็น)

 

“ท่านแม่ขอรับ ทำไมป้าจิ่งถึงยังไม่กลับมาอีกล่ะขอรับ? ข้าแสบท้องไปหมดแล้วนะขอรับ” เทียนเอ๋อที่นั่งรออยู่ที่ม้านั่งเล็กๆแล้วแกว่งขาสั้นๆของเขาอย่างหดหู่

 

แล้วหลินซีเหยียนก็ดูเหมือนจะคิดอะไรออกได้ แล้วใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที นางลุกขึ้นยืนแล้วมองมาที่    เทียนเอ๋อ “เดี๋ยวแม่จะไปดูป้าจิ่งหน่อยนะ เจ้ารอแม่อยู่ที่นี่เข้าใจไหม?”

 

แล้วเทียนเอ๋อก็ทำปากจู๋แล้วพูดอย่างเซ็งๆ “ขอรับ”

 

ด้วยความทรงจำที่เลือนรางของนาง หลินซีเหยียนก็นึกถึงเรื่องของโรงครัวขึ้นมา แล้วนางก็ได้เบ้ปากขึ้นมาและโทษตัวเองที่ดันลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้เสียสนิท

 

5 ปีก่อน จิ่งชุนและตัวนางนั้นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน และทุกครั้งที่จิ่งชุนกลับมาจากการมาเอาอาหาร ก็จะมีบาดแผลแปลกๆบนใบหน้าของนางกลับมาด้วยเสมอ แล้วเมื่อนางถาม   จิ่งชุนก็จะตอบว่าเดินชนโดยบังเอิญเสมอ แต่มีครั้งหนึ่งที่นางพบว่าบาดแผลเหล่านี้นั้นไม่ได้มาจากการอุบัติเหตุแต่มาจากการถูกทำร้าย

 

แล้วในเวลานี้ไม่มีใครคอยช่วยนาง นางจึงเกรงว่าจิ่งชุนคงถูกทำร้ายหนักกว่าเดิมแน่!

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้นางจึงรีบเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ก็สายไปเสียแล้ว ที่หน้าโรงครัวจิ่งชุนนั้นถืออาหารไว้ในอ้อมแขนของนาง ราวกับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง

 

“จิ่งชุน ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้นะ ต่อให้นังนั่นมันกลับมาแล้ว ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอก” สาวรับใช้ในชุดเขียวกำลังพูดและเตะจิ่งชุนอยู่

 

หลินซีเหยียนหรี่สายตาของนาง นางจำได้ว่าสาวใช้คนนั้นนางชื่อว่าปี้ฉุ่ย นางเป็นหญิงรับใช้ส่วนตัวของ                        หลินเสวี่ยเหยียน ซึ่งแม่ของหลินเสวี่ยเหยียนนั้นคือเมียน้อยคนที่สามของมหาเสนาบดี นางนั้นเคยเป็นบุตรีคนที่สองของตระกูลมีฐานะตระกูลหนึ่ง นางนั้นหมกมุ่นอยู่กับมหาเสนาบดีมาก ถึงขนาดที่นางยอมแต่งกับเขาในฐานะเมียน้อยก็ตามที

 

ปี้ฉุ่ยมองไปที่ใบหน้าของจิ่งชุนแล้วหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ นานมาแล้วนางนั้นอิจฉาในใบหน้าของจิ่งชุนที่สวยมากกว่า ทำให้มีคนมากมายในจวนนี้ชอบนาง แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าแล้ว เพราะว่านางนั้นได้ถูกแนะนำโดยฮูหยินอวี้ให้ไปแต่งงานกับหลานชายเสียสติที่เป็นบ้านของยายจาง

 

ยายจางคือนางกำนัลของฮูหยินอวี้ นางนั้นเป็นที่เชื่อใจอย่างมากของฮูหยินอวี้ ซึ่งนางนั้นมีหลานชายชื่อว่าซุนต้าจ้วง ที่ดันไปมีสัมพันธ์ชู้สาวกับเมียน้อยของขุนนางคนหนึ่งเข้าจึงถูกทุบตีจนเป็นบ้าไป

 

ในเวลานี้อายุก็ปาเข้าไป 25 แล้วแต่ยังไม่มีเมียเลย         ฮูหยินอวี้จึงได้ไปเป่าหูยายจาง แล้วยายจางจึงได้มาสู่ขอจิ่งชุนให้ไปเป็นหลานสะใภ้นาง

 

เมื่อคิดเรื่องนี้แล้วอารมณ์ของปี้ฉุ่ยก็มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ นางมองไปที่ใบหน้าที่อมทุกข์ของจิ่งชุนแล้ว นางก็ได้พูดล้อเลียนต่อ “อีกไม่นานเจ้าก็จะกลายเป็นหลานสะใภ้ของยายจางแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังต้องทำให้ตัวเองต้องอับอายอย่างการรับใช้นังโง่นั่นด้วยเล่า?”

 

จิ่งชุนกัดปากซีดๆของนางแน่นและไม่พูดอะไรออกมา ต่อให้นางถูกบังคับให้แต่งงานกับซุนต้าจ้วง แต่นางก็ยังจะดูแลคุณหนูของนางต่อ

 

เหล่าสาวใช้รอบๆต่างก็พากันมาแสดงความยินดีอย่างไม่จริงใจ แค่ได้ฟังก็รู้แล้วว่าพูดอย่างประชดประชัน

 

“ยินดีด้วยนะที่ได้แต่กับหลานชายเสียสติของยายจาง”

 

“นั่นสินะ คนบ้าอย่างนั้นจะรักภรรยาของเขาได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แต่ในกรณีของจิ่งชุนแล้วก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเฝ้าห้องเปล่าๆอย่างเดียวดายล่ะนะ ถ้าอย่างนั้น......”

 

“หุบปาก” มีเสียงของหญิงสาวดังขัดขึ้นมาก่อนที่นางจะพูดจบ

 

ผู้คนจึงได้หันหน้าไปมองที่มาของเสียง แล้วพบหญิงสาวที่งดงามเหนือธรรมดายืนอยู่ที่หน้าระเบียง สีหน้าที่เย็นชาและทรงอำนาจของนางทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงไปพักหนึ่ง

 

ปี้ฉุ่ยที่รู้สึกตัวก่อนใครก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย “ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน ที่นี่คือโรงครัวนะ ไม่ใช่ที่คนนอกจะเข้ามาได้ ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”

 

เมื่อเห็นคนที่นางเคารพรักมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่และถูกขับไล่ออกไปเช่นนี้ จิ่งชุนจึงไม่อาจนิ่งทนต่อไปได้วางสำรับอาหารไว้ด้านข้างแล้วลุกขึ้นยืนและรีบเดินไปหาหลินซีเหยียน แล้วมองด้วยสายตาที่ระแวดระวังราวกับนกที่เป็นกำลังปกป้องลูกน้อย

 

“คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ?” คำพูดที่เป็นกังวลของ   จิ่งชุนนั้น ทำให้ปี้ฉุ่ยเข้าใจได้อย่างชัดแจ้ง

 

แล้วนางก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยแววตาที่ดูถูก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก “อ้อ ที่แท้ก็เป็นคุณหนูรองที่หนีตามผู้ชายไปถึง 5 ปีนี่เอง! จนป่านนี้แล้วจะกลับมาทำไมอีก?”

 

คำพูดของปี้ฉุ่ยนั้นไม่ให้ความเคารพอย่างใด นางรู้สึกได้ว่าไม่ว่าจะหายไปนานเท่าไร คุณหนูรองที่อ่อนแอและโง่เขลาก็ยังเป็นคนที่นางสามารถรังแกได้อยู่ดี

 

เมื่อหลินซีเหยียนได้ยินก็ได้ปรากฏแววตาที่แหลมคมในดวงตาของนางทันที นอกจากปี้ฉุ่ยที่ยังอยู่ในโลกของตัวเองนั้น ทุกคนต่างก็กลัวจนพากันถอยหนี

 

“เพียะ, เพียะ, เพียะ”

 

มีเสียงตบฉาดดังขึ้นมา แล้วปี้ฉุ่ยก็ได้เอามือบังหน้าของตัวเองแล้วมองไปที่คุณหนูรองที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่เชื่อ ที่กล้าตบหน้านางต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “นังโง่แกกล้าตบหน้าข้างั้นเหรอ วันนี้ข้าจะจัดการเจ้าเองลงโทษเจ้าแทนเจ้านาย”

 

ด้วยเสียงที่หนาวเย็นทำให้เหล่าข้ารับใช้ต้องพากันหดหัว “หึ เจ้าคิดที่จะสั่งสอนข้าแทนมหาเสนาบดีหลินงั้นเหรอ? เจ้ามีความสามารถพออย่างนั้นเหรอ?”

 

“ข้า....” ปี้ฉุ่ยตกใจกับคำพูดของหลินซีเหยียน ซึ่งแทบจะต่างไปจากคนละคนในอดีตโดยที่นางบอกไม่ได้ว่าทำไม?

 

แล้วจากนั้นก็ตามมาด้วยการตบหน้าอย่างต่อเนื่อง “ข้า หลินซีเหยียน จะบอกให้เจ้าได้รู้ไว้ว่า คนที่จะสามารถทำร้าย      จิ่งชุนได้มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น ถ้าเจ้าหรือพวกเจ้าทุกคนยังกล้าแตะต้องนางอีก ข้าจะทำให้พวกเจ้ากินอะไรไม่ได้อีกเลย”

 

แล้วสายตาเคียดแค้นก็ปรากฏขึ้นมาในดวงตาของปี้ฉุ่ย แต่นางก็รู้ดีว่านางนั้นย่อมจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนี้ นางจึงได้แต่อดทนและรอคอยว่าเมื่อไรนางกลับไปนางจะกลับไปเล่าให้นายหญิงของนางฟังและมาชำระแค้นให้นางทีหลัง

 

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ดวงตาที่กลับกลอกของปี้ฉุ่ยแล้ว นางก็รู้ว่าปี้ฉุ่ยนั้นคิดไม่ซื่อกับนางแน่นอน แต่นางเองก็หาได้กลัวไม่เพราะทุกปัญหามีทางแก้เสมอ นางค่อยจัดการเมื่อถึงเวลานั้น

 

“พวกเจ้าเข้าใจไหม?” เมื่อนางเห็นว่าทุกคนผงกหัวกันอย่างขยันขันแข็งแล้ว สีหน้าของนางก็ได้อ่อนโยนลงมา

 

นางจึงได้เดินกลับไปหาจิ่งชุน จากนั้นก็ก้มลงปัดฝุ่นที่ตัวของนาง จิ่งชุนจึงได้รีบถอย “คุณหนูเจ้าคะ จิ่งชุนทำเองได้เจ้าค่ะ”

 

เมื่อรู้ว่านางนั้นวางตัวในฐานะเจ้านายกับข้ารับใช้อย่างฝังรากลึกในใจของนางแล้วนั้น หลินซีเหยียนจึงไม่อยากไปบังคับฝืนใจอะไร แต่นางก็ได้เดินไปที่ที่นางวางสำรับอาหารเมื่อสักครู่ จิ่งชุนนั้นคอยปกป้องสำรับนี้อย่างดี แต่ก็กลับทำให้หลินซีเหยียนโกรธจัดมากขึ้น

 

สิ่งที่จิ่งชุนพยายามปกป้องเอาไว้ กลับมีแค่ข้าวต้ม 1 ถ้วยกับจานผักดอง.....

 

นางจึงได้ลุกขึ้นยืน ไม่เพียงแต่จะกวาดสายตาที่ดำมืดของนางไปยังทุกคนแล้ว ริมฝีปากแดงของนางก็ได้ยิ้มขึ้นมาด้วย ถึงแม้ว่ามันจะดูสวยงามน่าประทับใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความน่ากลัว

 

“นี่คือสำหรับอาหารที่มีไว้ให้เจ้านายทานอย่างนั้นเหรอ? นี่ผ่านไปตั้ง 5 ปีแล้วข้าไม่นึกเลยว่าพวกเจ้าจะยังไม่รู้จักโตกันอีก!” เสียงที่สวยงามและเย็นชาราวกับเสียงระฆังเตือน ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นกลัว

 

แม่ครัวที่ทำหน้าที่ดูแลโรงครัวก็ได้รีบออกมาแล้วพูดอย่างประจบประแจง “คุณหนูเจ้าคะ อาหารทั้งหมดอยู่ด้านใน เชิญเลือกตักไปได้ตามต้องการเลยเจ้าค่ะ”

 

หลินซีเหยียนก็ได้พึงพอใจกับท่าทีของนาง แล้วจากนั้นก็มองไปที่จิ่งชุนเป็นการบอกให้นางเข้าไปข้างในพร้อมกับนาง

 

ที่โรงครัวนั้นมีทั้งโจ๊กพุทราแดงใส่เห็ดหูหนูขาว แล้วยังมีเป็ดแปดขุม, หมูกระทะ, ปลาตุ๋นน้ำแดงและอาหารที่น่าอร่อยอีกหลายอย่าง

 

จิ่งชุนเองก็ไม่เคยเห็นอาหารที่น่าทานมากมายเช่นนี้มาก่อน ทำเอาท้องของนางร้องขึ้นมา

 

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ร่างกายเล็กๆของนาง แล้วจากนั้นก็ตักเอาโจ๊กพุทราแดงใส่เห็ดหูหนูขาวไป พร้อมกับ กับข้าวบางอย่างนิดๆหน่อยๆ

 

แล้วปี้ฉุ่ยก็ได้เข้ามาขวาง “คุณหนูเจ้าคะ โจ๊กพุทราแดงใส่เห็ดหูหนูขาวนั้นเป็นของที่สั่งทำพิเศษโดยคุณหนู 4 นะเจ้าคะ”

 

มีหรือที่หลินซีเหยียนจะปล่อยไปง่ายๆ? หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่โจ๊กพุทราแดงใส่เห็ดหูหนูขาวอย่างนึกสนุกแล้วกล่าว “เจ้าอยากให้ข้าไปพบหน้ากับหลินเสวี่ยเหยียนหน่อยไหม?”

 

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน