บทที่ 19
เรื่องตลกครั้งใหญ่
หลังจากนั้นสักพักก็เหลือเพียงหลินซีเหยียนกับองค์ชายเย่อยู่ในห้องนั้น องค์ชายเย่ก็ได้นั่งลงและพูดด้วยดวงตาสีเข้ม “ในเมื่อแม่นางหลินตกลงที่จะรักษาเปิ่นหวางแล้ว แล้วทำไมเจ้าถึงต้องยืมมือคนอื่นด้วยเล่า?”
น้ำเสียงขององค์ชายเย่นั้นดูเหมือนจะโกรธขึ้นมา หลินซีเหยียนจึงได้ยักคิ้วขึ้นมาอย่างสงสัย “ข้าก็ฝังเข็มให้ท่านแล้วไง!”
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาราวกับจะทดสอบนาง ไม่เหมือนกับคนใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย
“องค์ชาย ท่านกำลังจะทำอะไร?” หลินซีเหยียนมองไปที่ผ้าชุบน้ำที่อยู่ตรงหน้านาง ซึ่งนางไม่ทันเห็นเลยว่าไปอยู่ในมือของเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่เมื่อนางมองไปที่องค์ชายก็พอจะเข้าใจความหมายแล้ว เขาต้องการให้นางเป็นคนทำให้!
และเพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่หลินซีเหยียนเดา องค์ชายเย่ก็ได้วางผ้าชุบน้ำไว้ในมือของหลินซีเหยียน “ถ้าเจ้าไม่เช็ดตัวให้เปิ่นหวาง ก็เกรงว่าเปิ่นหวางอาจจะไม่สบายได้”
ท่านไม่ให้ลูกพี่ลูกน้องของท่านเช็ดตัวให้แต่กลับบอกกลัวไม่สบายเนี่ยนะ หลินซีเหยียนก็ได้แค่คิดเท่านั้นแล้วนางก็ถอนหายใจแล้วกล่าว “องค์ชายเย่เรื่องของการเช็ดตัวเนี่ย มันออกจะดูนอกเหนือหน้าที่ของหมอไปนะเจ้าคะ”
“แต่พวกเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแค่หมอกับคนไข้นะ เพราะเปิ่นหวางก็ยังเป็นท่านอาจารย์ของเทียนเอ๋อด้วย มันก็น่าจะเป็นเหตุผลพอให้แม่นางหลินดูแลเปิ่นหวาง” ดวงตาที่สีเข้มของเจียงหวายเย่จ้องไปที่นางพร้อมกับยิ้ม
หลินซีเหยียนนั้นคิดที่จะขัดขืนต่อ แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรต่อ เจียงหวายเย่ก็ได้พูดเสริมขึ้นมาก่อน “แต่ถ้าเปิ่นหวางเป็นไข้ขึ้นมา ก็แน่นอนว่าหนี้ที่จะต้องจ่ายให้แม่นางก็คงต้องเลื่อนออกไป เพราะเปิ่นหวางจำเป็นต้องซื้อยา แล้วเงินจำนวนมากก็จะถูกจ่ายออกไป”
“ท่าน.....” หลินซีเหยียนคิ้วขมวดที่ถูกคนที่อยู่ตรงหน้านางขู่ด้วยดวงตาใสซื่อเช่นนี้ แล้วก็ได้ตอบอย่างประชดประชัน “ข้าจะเช็ดตัวให้ท่านเอง”
หลินซีเหยียนก็รับผ้าชุบน้ำมาแล้วถือไว้ในมือของนาง แล้วจงใจออกแรงเยอะๆเช็ดตัวให้กับองค์ชายเย่ เพื่อเป็นการล้างแค้น
เจียงหวายเย่ก็ได้นั่งลงและหลับตา โดยที่มุมปากของเขาก็ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยปราศจากคำพูดใดๆ
ณ ตำหนักเหลียนชุนในพระราชวังรัตติกาล หญิงสาวในชุดขาวที่หน้าซีดและโกรธจัด กับเหล่าสาวใช้ที่อยู่ข้างๆนางต่างก็พากันสั่นกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้น
“นี่มันไม่ใช่แค่หมอหน้าตาดีแล้วนะ พวกเจ้าคิดว่าพี่เย่นั้นจะชอบนางหรือไม่?” สีหน้าของเหลียนเอ๋อในเวลานี้มุ่งร้ายมาก ราวกับว่านางกับหลินซีเหยียนนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
“คุณหนูใจเย็นก่อนเถอะนะเจ้าค่ะ แม่นางหลินเป็นแค่หมอที่เข้ามาใหม่เท่านั้น ไม่น่าจะอยู่ในใจขององค์ชายได้หรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้หยวนเอ๋อพูดให้เหลียนเอ๋อใจเย็นลง
“องค์ชายนั้นมีสนมตั้งมากมาย หรือแม้กระทั่ง อวี้ตี๋เอ๋อที่อยู่ก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่เคยมีใครที่ทำให้นางรู้สึกคุกคามเช่นนี้มาก่อนเลย เพราะองค์ชายนั้นไม่เคยเข้าไปยุ่งหรือสุงสิงกับใครเลย แต่หลินซีเหยียนกลับต่างออกไป” เหลียนเอ๋อได้ทราบจากท่านพ่อของนางมาก่อนว่า เพราะแม่ขององค์ชายที่เป็นนางสนมนั้นต้องตายอย่างน่าสลดใจในพระราชวัง จึงทำให้องค์ชายรังเกียจผู้หญิงและปฏิเสธที่จะข้องเกี่ยวด้วย แต่เขากลับยอมให้หมอหลินแตะต้องตัวได้
แม้แต่นางที่เป็นเคยเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กขององค์ชายเย่เอง ซึ่งโชคดีได้มาอยู่ภายใต้การดูแลขององค์ชายเย่ เพราะว่าพ่อของนางนั้นตายในสนามรบ แต่ทว่านางก็ยังไม่เคยได้รับเกียรตินั้นเลย
“ข้าจะไม่ยอมให้ท่านพี่เย่ต้องยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นมากไปกว่านี้แน่” เหลียนเอ๋อมองไปที่ประตูด้วยสายตาที่หนักแน่น “ไปตามหงเสวี่ยกับเหลียนเซียงมาให้ข้าที”
หยวนเอ๋อก็ได้ขานรับแล้วออกไปทันที
ไม่นานนักเหลียนเซียงและหงเสวี่ยก็ได้มาในชุดสีแดง และพวกนางก็ได้นั่งที่เก้าอี้รอการมาถึงของคุณหนูเหลียน
“หงเสวี่ย เจ้าคิดว่าคุณหนูเหลียนนั้นเรียกพวกเรามาทำไม?” เหลียนเซียงมองไปรอบๆแล้วถามด้วยเสียงค่อยๆ
หงเสวี่ยมองดูท่าทางที่ดูใส่ซื่อของนาง แต่กลับรู้สึกได้ถึงความดูถูก คุณหนูเหลียนนั้นแม้จะเป็นญาติกับองค์ชาย แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่านางคือเด็กกำพร้าที่องค์ชายเก็บมาดูแลเท่านั้น
เหลียนเซียงและหงเสวี่ยนั้นอยู่ด้วยกันมานานมากแล้ว นางจึงเข้าใจสายตาของเหลียนเซียงดี นางก็ได้ยิ้มขึ้นมาและพูดอย่างสงสาร “หงเสวี่ย คุณหนูเหลียนนั้นรังเกียจพวกเรามาโดยตลอด ข้าล่ะกลัว.....”
“พวกเจ้ากลัวอะไรกัน? กลัวว่าข้าจะกินพวกเจ้ารึยังไง?” เหลียนเอ๋อก็ได้พูดขึ้นมาอย่างเสียดสี
โดนดูถูกก็เรื่องหนึ่ง แต่ทว่าตัวตนของคุณหนูเหลียนก็ยังอยู่สูงกว่าอยู่ดี ดังนั้นเหลียนเซียงกับหงเสวี่ยจึงได้ลุกขึ้นยืนและทำความเคารพอย่างเชื่อฟัง
“ไม่ทราบว่าคุณหนูเหลียนมีธุระอะไรกับพวกเราอย่างนั้นเหรอ?” หงเสวี่ยที่ไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่นานๆ ก็ได้พูดเข้าเรื่องตรงๆเลย
แต่เนื่องจากมีศัตรูที่ต้องกำจัดอยู่ จึงเป็นอะไรที่หายากที่เหลียนเอ๋อจะไม่สนใจท่าทีของพวกนางเช่นนี้ นางนั่งลงที่เก้าอี้และจัดการกับเสื้อผ้าของนางให้เรียบร้อย แล้วจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา “ข้ามีเรื่องอยากจะเตือนพวกเจ้าสองคน ท่านพี่เย่ได้บอกว่าแม่นางหลินนั้นเป็นหมอที่ไม่ธรรมดา ข้าเกรงว่านางอาจจะได้เป็นว่าที่พระชายาก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้ ท่านหมอหลินพูดด้วยตัวเองเลยนะว่า นางเป็นแค่หมอเท่านั้น” หงเสวี่ยก็ได้มองไปที่ริมฝีปากแดงๆของคุณหนูเหลียน สำหรับคุณหนูเหลียนแล้วนางนั้นมีความเจ้าเล่ห์ไม่แพ้ใบหน้าที่งดงามของนาง ดังนั้นหงเสวี่ยจึงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่นางพูดมากนัก
“มันก็ไม่ใช่เรื่องของข้าว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าก็แค่เตือนพวกเจ้าแล้ว” หลังจากที่นางพูดจบ คุณหนูเหลียนก็ได้ผายมือออกไปเป็นเชิงบอกว่าให้ส่งแขก
หงเสวี่ยกับเหลียนเซียงก็ได้ออกไป ถึงแม้พวกนางจะบอกไปว่าไม่เชื่อ แต่ถ้ายังไม่ได้ยืนยันพวกนางเองก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี แล้วหงเสวี่ยก็ได้หยุดเดินแล้วหันมาพูด “วันนี้พวกเราไปพบกับองค์ชายกันเถอะ”
เหลียนเซียงเองก็เห็นด้วยกับนางเช่นกัน
ณ ห้องนอนขององค์ชายเย่ หลินซีเหยียนนั้นจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางนั้นกำลังนั่งอยู่มุมห้องพร้อมกับดื่มชาในถ้วย จนกระทั่งอันอี้ก็ได้เข้ามารายงาน “องค์ชายขอรับ แม่นางเหลียนเซียง กับแม่นางหงเสวี่ยมาขอพบท่านขอรับ”
เจียงหวายเย่ก็คิ้วขมวดขึ้นมา ราวกับเขาจำไม่ได้ว่ามีสองคนนี้อยู่ด้วย
อันอี้ที่รู้ใจเจ้านายของเขาเป็นอย่างดีก็ได้กล่าว “แม่นางเหลียนเซียงส่งมาโดยคนของซูเสวียฉี, ส่วนแม่นางหงเสวี่ยส่งมาโดยท่านนายพลเฉิงเจียงเฟิงขอรับ”
แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัว “ให้พวกนางเข้ามา”
หลินซีเหยียนก็ได้รีบลุกขึ้นมาแล้วกล่าว “ในเมื่อองค์ชายมีธุระต้องทำ ข้าซีเหยียนขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
หลังจากที่พูดจบ หลินซีเหยียนก็ได้หันหน้าเดินออกจากห้อง แต่ทว่าชายเสื้อของนางก็ถูกคว้าโดยองค์ชายเย่ แล้วองค์ชายเย่ก็ได้ล้มลงไปที่พื้น แล้วหลินซีเหยียนก็เสียหลักล้มลงทับเขา
ซึ่งเหตุการณ์ที่กะทันหันนี้ทำให้ทั้งคู่ตัวแข็งทื่อ
“องค์ชาย!” เหลียนเซียงกับหงเสวี่ยก็พบกับเหตุการณ์นี้เข้าทันทีที่พวกนางเข้ามาข้างใน
หลินซีเหยียนที่รู้สึกตัวก็ได้รีบลุกขึ้นแล้วยิ้มอย่างอายๆ “องค์ชายล้มลงไปน่ะ ข้าพยายามจะประคองเขาขึ้นมาแต่กลับเสียหลักล้มลงไปน่ะ”
เหลียนเซียงกับหงเสวี่ยก็ได้เดินมาหา และจะเข้ามาช่วยประคององค์ชาย แต่ทว่าพวกนางกลับได้เสียงที่เย็นชาขององค์ชายดังขึ้นมา “ไม่ต้อง อันอี้ก็พอ”
หลังจากที่อันอี้ได้ยิน เขาก็ได้รีบประคององค์ชายเย่แล้วพาไปที่เตียง
แววตาของหงเสวี่ยก็มืดดำขึ้นมา องค์ชายเย่นั้นไม่ยอมให้พวกนางแตะต้องเลย อย่างที่คิดท่านหมอหลินไม่ธรรมดาจริงๆด้วย
“พวกเจ้ามาหาเปิ่นหวาง มีธุระอันใดรึ?”
เหลียนเซียงกับหงเสวี่ยที่เห็นใบหน้าขององค์ชายที่กลับกลายเป็นไร้อารมณ์แล้ว พวกนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสีหน้าที่อ่อนโยนขององค์ชายเมื่อสักครู่
องค์ชาย พวกเราได้ยินมาว่าองค์ชายป่วยหนัก พวกเราจึงเป็นกังวลมาก จึงพากันมาเพื่อขอพบท่านเจ้าค่ะ” หงเสวี่ยก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างน่าหลงใหล ซึ่งดูเข้ากับชุดสีแดงเพลิงของนาง ราวกับดอกบัวโลหิตที่เย็นชาและน่าหลงใหล
แม้แต่หลินซีเหยียนก็ยังต้องมองนางหลายต่อหลายครั้ง
“เปิ่นหวางนั้นไม่เป็นไร พวกเจ้าออกไปได้แล้ว” แต่องค์ชายเย่กลับไม่เหลียวมองนางเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลินซีเหยียนอดสงสัยไม่ได้ว่ารึว่าเขาจะมีอาการป่วยอย่างอื่นอยู่ แต่ถ้ามีทำไมนางถึงตรวจไม่พบกันนะ?
หลินซีเหยียนได้ก้มหน้าครุ่นคิดโดยที่ไม่รู้เลยว่าองค์ชายเย่กำลังจ้องมองนางอยู่