บทที่ 38
ทำตัวแมนๆ
“จิ่งชุน ตอนนี้ข้ามีธุระสำคัญต้องไปสะสาง เอาไว้ข้าจะกลับมาอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง” หลังจากที่หลินซีเหยียนจัดการกับเรื่องของสาวใช้คนนั้นเรียบร้อยแล้ว นางก็ได้เตรียมที่จะออกไปอีกครั้ง
จิ่งชุนก็มองดูคุณหนูของตัวเองอย่างสงสัย ที่แต่งตัวเป็นผู้ชายแล้วออกจากหน้าต่างไป
หลังจากที่ออกมาจากเรือนมหาเสนาบดีและสูดอากาศสดชื่นบนถนนแล้ว หลินซีเหยียนก็รู้สึกดีขึ้นมาก ก่อนอื่นนางก็ได้แวะไปยังโรงเตี้ยมเล็กๆแห่งหนึ่งเพื่อไปพบกับหลงเยว่และไปเอาของบางอย่างมา แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยมุ่งหน้าไปที่จวนกว๋อกงจิ่งหยาง
ในระหว่างทางนางก็พบกับจี้หยกที่ร้านแผงลอยร้านหนึ่ง แล้วนางก็หยิบขึ้นมาและมองดูลวดลายของหยกนั้นแล้วก็คิ้วขมวดขึ้นมา หยกที่มีคุณภาพดีเช่นนี้ทำไมถึงได้มาวางขายอยู่ในร้านแผงลอยได้นะ มันทำให้นางรู้สึกบอกไม่ถูกเมื่อนางได้เห็นมัน
“เถ้าแก่ ท่านขายหยกนี้ไหม?” หลินซีเหยียนถามด้วยเสียงที่แหบๆ
“พ่อหนุ่มช่างตาแหลมยิ่งนัก นี่เป็นของที่ผู้หญิงคนหนึ่งนำมาขายซึ่งเป็นหยกของแท้แน่นอน ข้าเห็นว่าพ่อหนุ่มสนใจมัน ข้าจะขายให้ท่าน 500 ตำลึงเงินว่ายังไง?” พ่อค้าพยายามที่จะขายสินค้าของเขา
หลินซีเหยียนคิ้วขมวดแล้วแกล้งทำเป็นว่าของชิ้นนี้มันมีราคาไม่ถึงขนาดนั้นแล้วจะเดินจากไป
พ่อค้าที่เห็นแบบนั้นจึงได้รีบคว้าหลินซีเหยียนแล้วกล่าว “พ่อหนุ่มอย่าเพิ่งไป เอางี้ข้าจะลดราคาให้เจ้าเป็นพิเศษเลยว่าไง?”
“เท่าไร?” หลินซีเหยียนไม่มองไปที่หยก และจ้องไปที่คนขายด้วยรอยยิ้ม
พ่อค้าก็กัดฟันแน่นราวกับว่าถ้าเขาพลาดลูกค้ารายนี้ไปเขาคงจะขายหยกนี้ไม่ออกแน่ เขาจึงได้กัดฟันบอกไป “ข้าจะขายแค่ท่านโดยเฉพาะเลย 150 ตำลึงเงิน ไม่ลดราคาให้มากกว่านี้แล้วนะ”
หลินซีเหยียนจึงได้จ่ายเงินแล้วจากไปพร้อมกับหยกอันนั้น
ระหว่างทางนางก็มองดูหยกในมือของนาง แต่นางก็ยังนึกไม่ออกเสียทีว่าทำไมนางถึงได้ดูคุ้นๆหยกอันนี้มากนัก
เมื่อมาถึงประตูจวนกว๋อกงจิ่งหยาง นางจึงได้เก็บหยกนั้นลงไปแล้วเปลี่ยนบุคลิกตัวเองให้ดูทรงพลังและหยิ่งทะนง แล้วก้าวเดินอาดๆเหมือนชวนมีเรื่อง
แน่นอนว่าพอนางเดินมาถึงก็ถูกห้ามเข้าตามคาด และผู้ที่เฝ้าประตูก็ได้มองมาที่ผู้ชายที่ดูท้าทายที่อยู่ตรงหน้าเขา และอยากที่จะไล่ออกไป แต่ก็เกรงว่าอาจจะเป็นชนชั้นสูงก็ได้
“ไม่ทราบว่าคุณชายชื่อแซ่ว่าอะไร?” เพื่อความปลอดภัย คนเฝ้าประตูก็ได้ตัดสินใจที่จะลองถามดีๆก่อน
“ข้ามีชื่อว่าผี เป็นหมอที่มีชื่อเสียง” หลินซีเหยียนตอบกลับไป
หมอผี? คนเฝ้าประตูไม่เคยได้ยินว่ามีหมอที่ชื่อว่าผีอยู่ในเมืองหลวงนี้มาก่อนเลย เขาจึงได้มั่นใจ 80% ว่าชายคนนี้จะต้องเป็นชนชั้นล่างแน่ๆ แล้วท่าทีของคนเฝ้าประตูก็ได้กลับตาลปัตร 180 องศาทันที “ที่นี่คือจวนของท่านกว๋อกง ไม่ใช่สถานที่ให้เจ้ามาล้อเล่นได้ รีบกลับไปยังที่ที่เจ้ามาเลยไป”
“ข้าคือหมอผี เป็นแขกอันทรงเกียรติของท่านกว๋อกงเลยนะ” หลินซีเหยียนพูดอย่างมีเลศนัย
“ท่านกว๋อกงนั้นไม่เคยบอกว่าจะมีแขกอันทรงเกียรติมาที่นี่ในวันนี้” คนเฝ้าประตูคิ้วขมวดอย่างรังเกียจ
หลินซีเหยียนก็ได้แอบยิ้มที่มุมปาก ตอนแรกนางแค่ตั้งใจว่าจะทำตัวแมนๆเข้ามาในจวนกว๋อกงเท่านั้น แต่ไม่นึกว่า อย่าว่าแต่จะไม่มีการต้อนรับเลย แม้แต่คนเฝ้าประตูก็ยังไม่รู้เรื่อง
“ข้าจะพูดอีกทีนะ ให้ข้าเข้าไป” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าที่มืดดำ แล้วบรรยากาศรอบตัวของนางก็หนาวเย็นขึ้นมา
คนเฝ้าประตูนั้นรู้สึกได้ถึงความเย็นขึ้นมา แต่เขาเองก็มีความตั้งมั่นมากพอที่จะไปปล่อยให้เข้าไป
นางที่ถูกทำราวกับเป็นไอ้สวะ และยังถูกห้ามไปให้เข้าอยู่ที่หน้าประตูอีก ช่างมันก็แล้วกันถึงแม้นางจะอดเข้าไปสมเพชและแกล้งเฮอเหวินจาง แต่ก็ยังดีกว่าให้นางมายืนแช่อยู่ที่หน้าประตูเช่นนี้
“ก็ได้ งั้นข้าหมอผีจะไปแล้ว และจำเอาไว้ว่าหากเจ้าจะมาเชิญข้าเข้าไปอีก หากไม่มีเงิน 1,000 ตำลึงทองมาให้ข้า ข้าจะไม่มาที่นี่เด็ดขาด” หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้หันหลังกลับแล้วเดินจากไป
คนเฝ้าประตูก็ได้มองด้านหลังของนางแล้วพูดอย่างดูถูก “คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน คิดว่าคนอย่างข้าจะไปขอร้องเจ้างั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ”
“เจ้าบ่นพึมพำอะไรอยู่ที่นี่?”
ในขณะที่คนเฝ้าประตูกำลังบ่นพึมพำอยู่นั้น ก็มีเสียงของพ่อบ้านของจวนกว๋อกงจิ่งหยางดังขึ้นมาจากข้างหลังเขา
คนเฝ้าประตูก็ได้ยิ้มแล้วกล่าว “ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ก็แค่คนเสียสติที่เรียกตัวเองว่าหมอผีจะเข้ามาที่นี่น่ะขอรับ”
“หมอผี?” ดวงตาของพ่อบ้านก็ได้เบิกกว้างขึ้นมาเมื่อได้ยินที่พูด และถามกลับอย่างร้อนรน “แล้วเขาไปไหนแล้ว?”
“ข้าไล่เขาไปแล้วขอรับ!” คนเฝ้าประตูก็มองไปที่พ่อบ้านอย่างอึ้งๆ แล้วรู้สึกไม่ดีขึ้นมาในใจของเขา
พ่อบ้านก็ได้ดุดันขึ้นมา ตบหน้าของคนเฝ้าประตูไปหนึ่งฉาด
“เจ้าได้ก่อปัญหาใหญ่แล้วนะ นั่นน่ะคือท่านหมอที่นายท่านพยายามอย่างมากที่หามารักษานายน้อย จริงๆแล้วข้ามานี่ก็เพื่อจะบอกกับเจ้าเรื่องนี้ ว่าเจ้าจะต้องต้อนรับเขาอย่างเต็มที่
แล้วคนเฝ้าประตูก็แข้งขาไร้เรี่ยวแรงทันที ตอนนี้มันสายไปแล้วที่จะพูดอะไรออกไป
ส่วนพ่อบ้านก็ไม่มีเวลามากพอที่จะมีต่อว่าเขา แล้วรีบวิ่งไปหานายท่านเพื่อแจ้งข่าวร้าย
หลินซีเหยียนที่กำลังเดินในเมืองอย่างเบื่อๆอยู่นั้น ก็พบกับร้านน้ำชาร้านหนึ่งเข้า เมื่อเดินเข้าไปเขาก็พบกับคนรู้จักเข้า
คนคนนั้นก็คือหลานชายของอดีตแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลินซีเหยียนชื่อว่าเยี่ยจุนเจี๋ย แต่แย่หน่อยที่นางเองก็รู้จักคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเยี่ยจุนเจี๋ยดี นางคือซูโยวอวิ๋นบุตรีของราชครูนั่นเอง
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาแล้วเดินไปที่โต๊ะของ เยี่ยจุนเจี๋ยด้วยสีหน้านิ่งๆแล้วทักทายเขา “ท่านแม่ทัพเยี่ย ไม่เจอกันนานนะ”
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างสงสัย และคิดว่าพวกเขาเคยไปพบกันตอนไหน
ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนจะปลอมเป็นผู้ชายอยู่ แต่กิริยาและรูปโฉมของนางก็ล้วนดีมาก ดูแล้วไม่เหมือนกับคนที่ชอบทำความรู้จักกับคนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า จึงทำให้เยี่ยจุนเจี๋ยรู้สึกแปลกใจแต่ก็นึกอะไรไม่ออก
แล้วบรรยากาศก็ได้เริ่มอ้ำอึ้งขึ้นมาทันทีแล้ว หลินซีเหยียนก็กล่าว “ที่ท่านแม่ทัพจำข้าไม่ได้ก็ปกติอยู่แล้ว อย่างไรเสียข้ากับท่านแม่ทัพนั้นก็รู้จักกันแค่ผิวเผินเท่านั้น”
แล้วเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้น่าสนใจมาก และคิดว่าคงจะไม่เป็นไรถ้าจะคบกับเขาเป็นเพื่อน จึงได้ถามขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้มีชื่อว่าอะไรรึ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมาที่มุมปากแล้วพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “หลินอวิ๋นเซวียน”
“ชื่อดีจริงๆ” ซูโยวอวิ๋นที่นั่งฟังอยู่นานก็ได้มีโอกาสพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
จากนั้นนางก็คิดว่าหลินซีเหยียนนั้นคงคิดที่จะอยากพูดคุยกับนางแน่ๆ อย่างไรเสียใครที่ได้พบเจอกับนางต่างก็อยากจะทำความรู้จักกับนางทั้งนั้น แต่ก็ผิดคาดเพราะ หลินอวิ๋นเซวียนนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจนางเลย
“ข้าชื่นชมท่านแม่ทัพมานานมากแล้ว ไม่ทราบว่าข้าจะขอร่วมโต๊ะกับท่านได้หรือไม่?” หลินซีเหยียนพูดเสียงดัง เพื่อแสดงความจริงใจของนาง
“คุณชายเพิ่งจะเคยพบกับพวกเราแท้ๆ แต่กลับมาขอร่วมโต๊ะเช่นนี้เลยเหรอ?” ซูโยวอวิ๋นกล่าว และแววตาของนางก็ได้มืดดำขึ้นมา และนางก็ไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางการอยู่ตามลำพังของนางกับพี่จุนเจี๋ยแน่
หลินซีเหยียนจึงแกล้งทำเป็นเสียใจ และก้มหัวให้กับ เยี่ยจุนเจี๋ย “ดูเหมือนว่าข้าจะมารบกวนท่านแม่ทัพกับแม่นางเข้าเสียแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ” เยี่ยจุนเจี๋ยกล่าวด้วยเสียงนิ่งๆ แต่ก็แฝงไปด้วยเสียงที่แหบแห้ง เกรงว่าเพราะการสั่งการในกองทัพทำให้เขาเจ็บคอเป็นแน่แท้
“คุณชายเยี่ย คุณชายหลินเขา.....”
ซูโยวอวิ๋นที่คิดจะโต้แย้ง แต่ก็กลับถูกขัดโดยเยี่ยจุนเจี๋ยอย่างไม่ไยดี “แม่นางซูกับข้าเองก็เพิ่งพบกันวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ชายหญิงร่วมโต๊ะกันตามลำพัง ข้าเกรงว่ามันจะทำร้ายชื่อเสียงของหญิงสาวได้”
ทันใดนั้นสีหน้าของซูโยวอวิ๋นก็ได้ซีดขึ้นมา แต่กับหลินซีเหยียน เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้พูดอย่างมีความสุข
“ข้าไม่คิดเลยว่าคุณชายหลินนั้นจะเชี่ยวชาญเรื่องยาขนาดนี้” เยี่ยจุนเจี๋ยก็รู้สึกได้ว่ายิ่งคุยกันมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าหลินอวิ๋นเซวียนล้ำลึกสุดหยั่งยิ่งนัก ราวกับว่าตัวของเขานั้นคือสมบัติล้ำค่า
“ท่านแม่ทัพเยี่ย จะเรียกข้าแค่อวิ๋นเซวียนก็ได้นะ” หลินซีเหยียนกล่าว
“ข้าเองก็คิดว่ามันอาจจะยุ่งยากสำหรับเจ้าถ้าเรียกข้าว่าแม่ทัพเยี่ย อวิ๋นเซียนเจ้าเรียกข้าว่าจุนเจี๋ยก็พอ”
แล้วทั้งสองคนก็ได้กลายมาเป็นมิตรสหายกัน