“ท่านมีอะไรจะบอกข้า?” เว่ยสั่วที่หมดแรงกล่าวขึ้น เขาคิดว่าชายชราน่าจะกล่าวคำพูดที่ไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่
ชายชราจ้องมองเว่ยสั่ว “เห็นเจ้าพูดถึงศิลาวิญญาณ มันคืออะไร?”
“ศิลาวิญญาณคือผลึกที่บรรจุปราณวิญญาณเอาไว้ ผู้ฝึกตนสามารถดูดซับปราณที่อยู่นั้นเพื่อยกระดับพลังได้ แก่นแสูรเองก็สามารถดูดซับได้เช่นกัน ด้วยความที่ปราณภายในนั้นบริสุทธิ์มาก จึงไม่จำเป็นต้องปรุงเป็นโอสถก่อน ดูดซับได้ตรงๆทันที ฉะนั้น มันจึงกลายเป็นเงินตราในโลกใบนี้ไป… ศิลาวิญญาณแบ่งออกได้ 3 ระดับ คือ สูง กลาง และล่าง ซึ่งจำนวนปราณที่อัดแน่นอยู่ภายในก็จะลดหลั่นกันลงมา ว่าแต่… ท่านถามข้าทำไม? ในยุคของท่านไม่มีศิลาวิญญาณเหรอ? เป็นไปไม่ได้น่า...”
“คาดไม่ถึงว่าจะพบศิลาวิญญาณ? แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะนี่ก็ผ่านมานานแล้ว อีกอย่าง การฝึกฝนของเจ้าและนายของข้าเมื่อหมื่นปีก่อนก็แตกต่างกัน” ชายชราจ้องมองเว่ยสั่ว “แล้ววิชาในยุคสมัยของเจ้าเป็นยังไง? แบ่งออกเป็นกี่ระดับ?”
“วิชาที่ฝึกฝนมีอยู่มากมาย แบ่งออกตามคุณภาพของวิชาได้แก่ วิชาระดับสวรรค์ พิภพ ลี้ลับ และ ทั่วไป… ส่วนเขตขั้นพลังแบ่งออกเป็น ‘เขตขั้นทะเลศักดิ์’ ‘เขตขั้นวัฎจักรสวรรค์’ ‘เขตขั้นแตกฉาน’ ‘เขตขั้นแก่นทองคำ’ ‘เขตขั้นลี้ลับ’ และ ‘เซียน’... แล้วเมื่อหมื่นปีที่แล้วมีอะไรบ้าง”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“แต่เมื่อครู่ท่านบอกไม่เหมือน”
“ที่บอกว่าต่างกันคือการใช้วิชา… เมื่อหมื่นปีก่อนแต่ละคนจะมีปราณอยู่ 1 ชนิดเป็นพื้นฐาน ยกตัวอย่างเช่น ปราณดั้งเดิมคือธาตุเพลิง หากไม่ฝึกฝนวิชาเพลิง ก็จะไม่สามารถเปล่งพลังออกมาได้ ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่หากมีปราณมากพอก็สามารถเปล่งพลังออกมาได้ทุกรูปแบบ”
“เจ้ายังอ่อนต่อโลกนัก ในยุคสมัยนี้วิชาต่างๆได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก ไม่ว่าจะมีปราณดั้งเดิมเป็นธาตุใดก็สามารถใช้วิชาได้ทั้งหมด… ในโลกใบนี้นอกจากที่ที่เจ้าอยู่ ก็ยังมีอีกหลายแคว้นที่น่าค้นหา”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน” เว่ยสั่วสนใจ เมืองจิตวิญญาณสูงสุดที่เขาอยู่เป็นเพียงเมืองแห่งหนึ่งที่มีขนาดเล็กมาก ตั้งอยู่ในแคว้นสวรรค์ลึกล้ำ แคว้นที่ใกล้กับที่นี่ที่สุดคือแคว้นจิตวิญญาณเมฆา แม้จะกล่าวว่าใกล้ แต่ความจริงแล้วอยู่ห่างไกลกันพอสมควร แม้ระยะทางจะห่างไกล แต่การจะเดินทางไปยังเมืองขนาดใหญ่ต่างๆที่อยู่ในแต่ละแคว้นทำได้ไม่ยาก เพราะมีข่ายอาคมเคลื่อนย้าย
แคว้นแต่ละแคว้นจะมีกำแพงพลังซึ่งเรียกว่า กำแพงสวรรค์ ครอบอยู่ ยิ่งเมืองจิตวิญญาณสวรรค์อยู่สุดขอบของแคว้น ยิ่งอยู่ใกล้กำแพงสวรรค์ ครั้งหนึ่งเว่ยสั่วเคยจ่ายศิลาสวรรค์เพื่อไปชม
กำแพงศิลาคือม่านพลังสีขาวครอบคลุมทั้งแคว้น ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากไม่ใช่เขตขั้นแก่นทองคำจะไม่อาจมองเห็น และหากไม่ใช่เขตขั้นที่สูงกว่าแก่นทองคำ จะไม่สามารถผ่านกำแพงสวรรค์ไปได้.. กำแพงสวรรค์ไม่เป็นอันตรายต่อผู้คน แต่หากเป็นอสูรที่ไปสัมผัสเข้า จะได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
กำแพงสวรรค์ทำหน้าที่ขวางระหว่างอสูรและมนุษย์… เบื้องนอกกำแพงสวรรค์มีอสูรจำนวนมหาศาลจนน่าตระหนก หากไม่มีกำแพงสวรรค์ขวางกั้น แคว้นทั้งแคว้นคงถูกอสูรยึดครอง แม้จะมีอสูรที่ทรงพลังมากพอที่จะผ่านกำแพงสวรรค์มาได้หลุดเข้ามาบ้าง แต่พวกมันก็จะถูกขุมกำลังของแคว้นนั้นๆสังหาร ผิดกับอสูรที่อยู่ภายนอกที่นับวันก็ยิ่งทวีคูณ
ตำนานกล่าวขานว่ากำแพงสวรรค์ที่คุ้มกันแคว้นทั้งหมดนี้ เกิดจากวิชาของผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในอดีตสร้างขึ้น
“เห็นแก่ที่เจ้ายังไม่รู้อะไร ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง… ในอดีตมีเส้นชีพจรปราณของโลกอยู่มากมาย ผู้คนสามารถดูดซับปราณที่มันแผ่ออกมาเพื่อยกระดับพลังได้ และเมื่อยามนั้น จำนวนอสูรไม่ได้มากขนาดนี้” ชายชรากล่าวต่อ “แต่เมื่อผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้น ได้ต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง ทำให้ปรากฏรอยแยกมิติขึ้นมากมาย เส้นชีพจรปราณของโลกแทบทั้งหมดถูกทำลาย อสูรจำนวนมากปรากฏตัว ผู้ฝึกตนผู้นั้นจึงได้สร้างกำแพงสวรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้อสูรเหล่านั้นเข้ายึดครองโลก นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลายๆสิ่งเปลี่ยนแปลง ผู้คนเริ่มหันมาสนใจสมุนไพรและแก่นอสูรเพื่อใช้ยกระดับพลัง”
“แล้วตอนนี้ วิชาที่เจ้าฝึกอยู่ระดับไหน? พลังบรรลุเขตขั้นอะไรแล้ว?” หลังจากเล่าเรื่องราวต่างๆไป ชายชราราวกับนึกบางสิ่งออก จึงได้กล่าวถามเว่ยสั่ว
เขาหน้าแดงเล็กน้อยด้วยความอายก่อนกล่าว “วิชาที่ข้าฝึกจัดอยู่ในระดับพื้นฐาน ส่วนพลังอยู่เขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 2”
ชายชราไม่ได้ประหลาด กลับกันขบคิด “ไหนลองบอกเล่าให้ข้าฟัง ว่ามีสมุนไพรและอสูรชนิดใดที่เจ้าเคยพบมา รวมถึงสมุนไพรหรืออสูรที่เจ้ารู้จัก”
“เท่าที่ข้าเคยเห็นก็มี งูพิษเกร็ดแดง ตะขาบหลากสี เต่าศิลาเพลิงทมิฬ ด้วงแดง… ส่วนสมุนไพรก็มี หญ้ากบ หญ้าสายโลหะ ผลไม้เคลือบสี...” เว่ยสั่วใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามในการบอกเล่าถึงสมุนไพรและอสูรที่รู้จัก นับว่าโชคดีที่เว่ยสั่วไม่ได้มีผู้หนุนหลังเหมือนผู้ฝึกตนหลายๆคน ทำให้รู้จักสมุนไพรและอสูรไม่มากนัก แต่หากเปลี่ยนให้พรรณาถึงสาวงาม ดูท่าน่าจะพรรณาได้มากกว่านี้
“นางเป็นใคร?” หลังจากได้ฟังสิ่งที่เว่ยสั่วกล่าว ชายชราหันมองรูปสตรีที่แปะอยู่ฝาผนังพลางกล่าวถาม
“นี่! ข้ายังเล่าไม่จบเลย ทำไมหันไปสนใจอย่างอื่น?” การที่ชายชราเปลี่ยนเรื่องกระทันหัน ดูเหมือนจะทำให้เว่ยสั่วไม่พอใจ
“ตอบคำถามข้ามาก่อน ที่ข้าถามก็เพราะเป็นประโยชน์กับตัวเจ้า” ชายชรากล่าว
“นางคือศิษย์ของประมุขนิกายวายุลี้ลับ นาม ‘เย่เฉวียนเฉิง’ นางทั้งทรงพลังทั้งงดงาม ผู้คนมากมายหมายปองอยากได้นางเป็นภรรยา บางคนขอเข้าร่วมนิกายวายุลี้ลับ ก็เพราะถูกใจในตัวนาง… กระจ่างพอมั้ย?” เว่ยสั่วตอบชายชรา “แล้วอะไรที่เป็นประโยชน์กับข้า?”
“ข้อแลกเปลี่ยน! เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกัน… เจ้าช่วยข้าสร้างร่างกายใหม่ ส่วนข้าจะช่วยเจ้าฝึกฝนยกระดับพลัง” ชายชราหลี่ตามองเว่ยสั่ว “ข้ากล้าพูดว่าสามารถช่วยให้เจ้าบรรลุเขตขั้นแก่นทองคำได้ เมื่อถึงยามนั้น เย่เฉวียนเฉิงอาจสนใจในตัวเจ้า”...