“นี่เจ้าไปหุบเขาทรายเหลืองมาเหรอ?” จี้หยาตกใจ “ข้านึกว่าเจ้าเก็บตัวปรุงโอสถหยกกระจ่างอยู่ซะอีก?”
“ศิษย์พี่ ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าไม่ชอบปรุงโอสถ นั่งจ้องเพลิงตั้งหลายชั่วยามน่าเบื่อจะตาย อีกอย่างทั้งท่านและข้าล้วนบรรลุเขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 4 แล้ว ย่อมออกไปล่าอสูรได้” หานเว่ยเว่ยกล่าวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ สูงขึ้นไปเพดาน มีมุกส่องสว่างประกายขับแสงสีขาวออกมาทำให้ใบหน้าของเว่ยเว่ยยิ่งดูงดงาม แม้ในสายตาของสตรีทั่วไปอาจมองไม่เห็น แต่หากเป็นบุรุษล้วนต้องตา ทั้งปาก จมูก และดวงตาของนางงดงามเป็นอย่างยิ่ง ไม่แปลกที่เว่ยสั่วจะต้องตานางทันทีที่เห็นในหุบเขาทรายเหลือง
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเว่ยเว่ย จี้หยายิ้มเจื่อน นางเป็นผู้นำศาลาสมบัติ มีอาจารย์นาม ‘หานเฟิงซื่อ’ ในอดีตหานเฟิงซื่อตายเพราะปรุงโอสถล้มเหลว นางจึงกลายเป็นเหมือนทุกสิ่งให้กับหานเว่ยเว่ย แต่น่าเสียดายที่อาจารย์ของนางด่วนจากไปกระทันหัน จึงไม่ได้หลงเหลือสิ่งใดไว้ให้… นางลูบศีรษะเว่ยเว่ยพลางกล่าว “จิ้งจกหางศิลาสองตัว… ทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อน แอบออกไปแบบนั้นทำไม? หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าข้าจะทำยังไง?”
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ศิษย์พี่... ข้าจะเชื่อฟังท่านให้มาก หากข้าไม่บรรลุเขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 5 ข้าจะไม่ออกไปนอกแคว้นเด็ดขาด อย่างมากก็อยู่แค่รอบๆเมืองนี้”
“อืม… นับจากพรุ่งนี้ไป ข้าอนุญาติให้เจ้าออกไปล่าอสูรรอบๆเมืองได้” นางมองเว่ยเว่ยด้วยแววตาที่อ่อนโยน “แต่ก่อนเจ้าจะออกไปไหนเจ้าต้องบอกข้าก่อน”
“ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนที่ห่วงข้าที่สุด” เว่ยเว่ยกล่าวด้วยความตื่นเต้นพลางหอมแก้มจี้หยา “เจ้าคนผู้นั้นไม่รอดแน่!”
จี้หยายิ้ม “เว่ยเว่ยน้อย จิ้งจกหางศิลาไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น”
“แต่มันน่าเจ็บใจ ข้าเป็นคนสังหารพวกมันด้วยตัวเอง แต่เจ้านั่นที่ระดับพลังด้อยกว่ากลับแย่งชิงพวกมันไปต่อหน้าข้า” เว่ยเว่ยแค่นเสียง ก่อนจะหวนนึกถึงภาพที่เว่ยสั่วถอดกางเกงต่อหน้านาง
“เจ้านั่น?” จี้หยาอมยิ้ม
“ข้าเว่ยเว่ยตั้งใจทำสิ่งใดแล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด… ศิษย์พี่ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ข้าจะกลับไปฝึกฝน พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปตลาดนอกเมือง บางทีอาจได้พบ ‘เจ้านั่น’ ก็ได้”
“ไปเถอะ” จี้หยาจ้องมองเว่ยเว่ยที่ออกจากโถงไป ในเมื่อเว่ยเว่ยไม่ชอบการปรุงโอสถนางก็จะไม่บังคับ... เมื่อเว่ยเว่ยเดินพ้นโถงออกไป สีหน้านางกลับคืนสู่ความเย็นชา
“ตู๋กูอยู่หยุน”
เมื่อสิ้นเสียงของนาง บุรุษในอาภรณ์ดำปรากฏกาย
“ช่วยข้าตามหาคนในเถี่ยเซ่อ ขอให้พวกเขาคอยปกป้องเว่ยเว่ย” จี้หยากล่าว
“ขอรับ” บุรุษผู้นั้นพยักหน้า ป้องมือให้นางด้วยความเคารพ ก่อนจะหันกายจากไป
...
ใกล้ๆกับเมืองจิตวิญญาณสูงสุด มีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งที่ผู้คนมักไปรวมตัวกัน สถานที่แห่งนั้นคือตลาดระดับสูงของเมือง ที่อยู่ทางประตูทิศใต้
สถานที่แห่งนั้นเป็นตลาดที่เปิดให้ผู้คนได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยไม่เก็บค่าภาษี ไม่ว่าผู้ใดจะขายสิ่งใดได้ ก็ไม่ต้องแบ่งรายได้ให้กับนิกายเพลิงสวรรค์ ทางเหนือของตลาดมีร้านค้าอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่ได้ตกแต่งหรูหรา เปิดขายยันต์ โอสถ และสมบัติระดับล่าง ซึ่งรับประกันว่าไม่มีของย้อมแมว หนึ่งในร้านค้าเหล่านั้น มีร้านที่เป็นขุมกำลังใหญ่ในเมืองจิตวิญญาณสูงสุด นั่นคือศาลาสมบัติที่ขายของคุณภาพดี บ้างนำสิ่งล้ำค่ามาประมูลทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาถึงกับน้ำลายหกด้วยความอยากได้
เว่ยสั่วมาเยือนตลาดแห่งนี้เช่นกัน แต่เขาไม่ได้พาชายชรามาด้วย เก็บโถคุมภูติเอาไว้ใต้ที่นอน เพราะยามกลางวันชายชราไม่อาจปรากฏกาย จึงไม่เป็นประโยชน์หากจะนำมาด้วย อีกเหตุผลสำคัญคือเขาไม่อยากให้คนมาขโมยโถของเขาไป ไม่งั้นเขาจะลำบาก นอกจากนี้ ด้วยความที่โถของชายชราเกิดรอยร้าวมากมาย เขาจึงได้นำบางสิ่งที่เหมือกาวโอบรอบๆโถเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้แตกก่อนจะออกมาตลาด
“ต้องการกระดูกปลาดาวไถ ให้ราคา 3 ศิลาวิญญาณระดับล่าง...”
“ร้านธูป ขายยันต์ศรวารีเป็นจำนวนมาก”
ภายในตลาดมีแผ่นศิลาขนาดใหญ่ที่มีข้อความต่างๆเลื่อนไปมา ราวกับเป็นสิ่งที่เอาไว้ใช้สร้างประกาศต่างๆ ซึ่งนับเป็นประโยชน์กับเว่ยสั่วและผู้ฝึกตนคนอื่นๆที่ไม่รู้
เขาไม่ได้สนใจในคำประกาศ เขาสนใจข้อความที่แล้วเดินตามคำประกาศตรงไปยังร้านแห่งหนึ่ง
ไม่ว่ายังไง ตอนนี้วิธีการหาศิลาวิญญาณที่เร็วที่สุดของเว่ยสั่ว คือการนำแมงป่องเพลิงมาสร้างเป็นยันต์เพลิง แม้ในบางครั้งเขาจะไร้กับความอดทนกับบางเรื่อง แต่สำหรับเขาที่หวาดกลัวความตายแล้ว จะใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษก่อนจะทำสิ่งใด ยกตัวอย่างเช่นหากจะออกไปสังหารอสูร เขาจะใช้เวลาเตรียมตัวไม่น้อยก่อนออกล่า
“เว่ยสั่ว เจ้ามาแล้วเหรอ?” เมื่อเดินผ่านประตูร้านเข้าไป เจ้าของร้านกล่าวต้อนรับพลางทักทายด้วยรอยยิ้ม
“จิ้งจอกเฒ่า” เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้าของร้านเว่ยสั่วด่าทอในใจ ผู้ที่เป็นเจ้าของร้านเป็นบุรุษอายุ 50 ปี แซ่หู่ สวมอาภรณ์น้ำตาล แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มราวกับไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่เมื่อใดที่เริ่มค้าขายจะไร้ซึ่งความปราณี เว่ยสั่วก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่มักจะมาซื้อของที่นี่บ่อยๆ และไม่เคยได้รับความปราณีเลยสักครั้ง จึงเรียกขานชายชราว่าจิ้งจอกเฒ่า...