บทที่ 9 เอามันออกมา 2
คาร์ลถือถุงขนาดใหญ่กว่าถุงเมื่อวานถึงสองเท่า ขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังยอดเนินเขาของสลัมและสองพี่น้องก็มาทักทายเขาเช่นเคย เด็กๆยังคงปิดปากเงียบเมื่อพวกเขามองเห็นคาร์ล ก่อนที่เขาจะหยิบห่อกระดาษเล็กๆ สองถุงยื่นให้เด็กๆ
“รับไปสิ”
เด็กหญิงเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ เขาก้มมองเด็กหญิงที่มีผมสีเทาเข้มที่ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ เธอยื่นมือของตัวเองออกมาหาเขาเมื่ออยู่ในระยะที่เอื้อมมือถึง
“เฮ้!!!!” คาร์ลยื่นถุงกระดาษใบเล็กๆอีกสองห่อไปทางเด็กชาย
“มาเอามันไปสิ?” เด็กชายวิ่งปร๋อเข้ามารับจากมือของคาร์ลอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับผมสีแดงสดของตน เด็กชายคนนี้ถือว่ามีผมที่แดงเข้มกว่าเขามากนักก่อนที่เด็กชายจะวิ่งหนีเขาไป
คาร์ลหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่มีต้นไม้กินคนตั้งอยู่
“ว้าวววววว!!!!”
“มันไม่ใช่ขนมปังนิ มันเป็นเนื้อและก็ขนมเค้ก”
เขาได้ยินเสียงของสองพี่น้องที่พูดถึงอาหารที่เขาให้แต่ก็ไม่ได้สนใจยังคงสาวเท้าให้ยาวขึ้นเพื่อไปหาต้นไม้กินคนให้เร็วที่สุด
~ อร๊างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง~
“มันก็จะดูน่ากลัวไปหน่อยนะ”
ต้นไม้สีดำขนาดใหญ่ที่ไม่มีใบอยู่บนต้นขยับส่ายไปมาคล้ายต้อนรับการมาถึงของคาร์ล นั่นทำให้เขาอดรู้สึกขนลุกไม่ได้มันทำให้เขาเกิดความกระวนกระวายใจเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเทขนมปังที่หอบหิ้วมาลงไปในโพรงของต้นไม้
ขนมปังทั้งหมดหายไปอย่างรวดเร็วและตอนนั่นเอง....
~ ขออีก...ขอมันมากกว่านี้อีก..... ~
‘นั่นมันทำให้เขาแทบบ้า’
การตอบโต้ของต้นไม้กินคนที่เขาอ่านมาจากนิยายมันเป็นเพียงแค่เสียงของผู้หญิงที่อ่อนแอ ใช่!คนที่ตายจากความหิวโหยจนร่างกายมีต้นไม้งอกขึ้นมานั่นคือนักบวชที่รับใช้พระเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ตามในสำนักสงฆ์ก็สามารถมีนักบวชผู้หญิงที่บวชรับใช้พระเจ้าได้อีกด้วย นักบวชหญิงอาจได้รับการพิจารณาจากผู้ที่มีอำนาจสูงสุดและต้องทำตามคำสั่งที่ผู้มีอำนาจจะบัญชา
คาร์ลรีบคว้าถุงขึ้นมาและเริ่มขยับตัวอีกครั้ง
‘คาร์ลคืนนี้มาหาพ่อที่ห้องทำงานนะ....’
นั่นคือสิ่งที่พ่อของเขาท่านเคานต์เดอรัชได้กล่าวไว้เมื่อตอนที่คาร์ลเข้าไปขอเงินเพิ่มและมันเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาต้องออกจากที่นี่ก่อนเวลาพลบค่ำ
‘อีกครึ่งแล้วกัน.....’
เขาจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในรอบวันเมื่อตั้งใจแล้วที่จะดูแลหาอาหารให้กับเจ้าต้นไม้ตะกละต้นนี้อีกสักครึ่งนึง เขาเดินกลับลงมาจากยอดเนินเขาเพื่อหาขนมปังเพิ่ม เขามองเห็นพี่น้องสองคนเหลียวมองเขาในขณะที่มีคราบเค้กติดริมฝีปากของทั้งคู่
“เตราะ!!” คาร์ลขมวดคิ้วและเดาะลิ้นของเขาก่อนจะเดินผ่าน2พี่น้องไป
จากนั้นคาร์ลก็เดินไปตามถนนที่มีร้านขายเบเกอรี่ตั้งอยู่มากมาย เขากวาดซื้อขนมทั้งหมดของร้านนั่นไปตั้งแต่เช้าเมื่อวานทำให้ร้านขนมปังนั่นมีขนมเหลือไม่เพียงพอต่อความต้องการของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องมองหาร้านใหม่
“เอ่อ....นายน้อยคาร์ล...”
เสียงของผู้หญิงที่เอ่ยขึ้นทำให้คาร์ลหันศีรษะกลับไปมอง หญิงวัยกลางคนยืนยิ้มให้คาร์ลอย่างงุ่มงามก่อนที่จะชี้ไปยังร้านของเธอ มือของเธอสั่นและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่เธอก็ยังมีความมั่นใจ
“ร้านของเรามีขนมปังเป็นจำนวนมากเลยเจ้าค่ะ......”
คาร์ลเริ่มยิ้มออกมา ผู้หญิงคนนี้รู้วิธีทำมาค้าขายจริงๆ ผู้ค้ารายอื่นก็แอบมองและหาลู่ทางกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเช่นกัน
คาร์ลโยนเหรียญทองให้ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะรีบหยิบมันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เอาทั้งหมดที่ร้านของเจ้ามีแล้วจัดการห่อให้เร็วที่สุด”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นเต็มใบหน้าของหญิงวัยกลางคนพลางเดินกลับเข้าไปยังร้านของตนก่อนจะออกมาแทบทันทีพร้อมกับถุงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนมปัง เธอได้ห่อมันไว้ล่วงหน้าแล้ว....
“นี่เจ้าค่ะ..นายน้อยคาร์ล”
‘ว้าว....เป็นแม่ค้าที่ดีจริงๆ’ นี่คือคนฉลาดที่รู้วิธีสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง
“ข้ายังเตรียมมันเพิ่มได้อีกเจ้าค่ะ นายน้อย” คาร์ลชอบหญิงวัยกลางคนนี้ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเวลานั้น
“นายน้อยคาร์ล เราสามารถทำขนมปังได้มากกว่าที่นี่อีกนะขอรับ”
ชายชราคนหนึ่งวิ่งข้ามถนนมาหาคาร์ล เขาแต่งชุดเครื่องแบบประจำร้านขนมปัง คาร์ลชอบชุดที่เขาแต่งก่อนโยนเหรียญทองให้แก่เขาเช่นกัน
“ข้าจะไปที่ร้านของเจ้าต่อไป จัดการห่อให้เรียบร้อย....”
“ขอบคุณมากขอรับ นายน้อยคาร์ล”
คาร์ลรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าพวกนี้ พวกเขาทั้งหมดยังคงกลัวเขาในฐานะที่เป็นขยะไร้ค่าของตระกูล แต่พวกเขาไม่มีปัญหาใดๆเลยเมื่อขยะคนนี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่ตนเองได้ อาจเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าคาร์ลไม่ใช่นักเลงที่เที่ยวระรานทุบตีผู้อื่น เขาเห็นสิ่งที่เป็นไปของเมืองแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
ความจริงที่ว่าคาร์ลซื้อขนมปังด้วยเหรียญทองได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ป่า เป็นเงินถึง 1 ล้านแกลลอนในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ต่างก็ทำให้พวกเขาอ้าปากค้างให้กับสิ่งที่คุ้มค่าเช่นนี้
คาร์ลยกยิ้มที่มุมปากและดวงตาที่เปล่งประกายขึ้น
‘พรุ่งนี้ข้าสามารถมาเอาขนมที่สามร้านนี้ได้...’
เมื่อคาร์ลมอบเงินเหรียญทองให้พวกเขา ในแต่ละครั้งเขาก็จะได้รับขนมปังเต็มถุงอีกในวันรุ่งขึ้น มันทำให้เขามีความสุข ทุกอย่างกำลังราบรื่น
อย่างไรก็ตามมีบางคนที่เฝ้ามองคาร์ลในมุมที่ไม่ห่างไกลนัก
“อืม....”
เป็นพ่อครัวบารอคเช่นเดียวกับพ่อของเขา ตอนนี้เขามีผ้าพันแผลอยู่รอบคอตนเองและเฝ้ามองคาร์ลจากด้านหลังไม่ไกลนัก เขาเพิ่งเห็นว่าคาร์ลซื้อขนมปังและสมุนไพรบางอย่างก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังสลัม
“หมอนั่นบ้าไปแล้วรึไง?” จะว่าไปก็เหมือนหมอนั่นจะบ้าไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน
บารอคไม่เคยสนใจเรื่องของคาร์ลมาก่อนแม้ว่ารอนพ่อของตนจะบอกว่าคาร์ลเป็นเด็กที่น่าสนใจ แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่เขาก็เริ่มเห็นด้วย รู้สึกว่ามันน่าจะมีเรื่องที่น่าสนุกมากที่ได้เห็นคาร์ลเป็นแบบนี้เช่นเดียวกับเด็กโสโครกผมดำคนนั้น ตาของบารอคเริ่มเป็นประกายระยับด้วยความพอใจ
บิลอส เจ้าของร้านกลิ่นชากับบทกวียืนจิบชาอยู่ชั้นบนสุดของร้านเพื่อรับรายงานจากนักสืบเงาของตน
“นายน้อยคาร์ลกำลังเดินเข้าออกในสลัมงั้นหรือ?”
“ขอรับ นายท่านบิลอส”
“อืม”
“เราได้รับการติดต่อจากเมืองหลวงด้วยขอรับ...”
“อย่างนั้นรึ?”
ดวงตากลมของบิลอสมองออกยากเนื่องจากไขมันที่พอกปิดตาของเขา นักสืบเงาคร่ำครวญในใจตนก่อนจะรายงานข้อมูลที่ตนทราบมาเพื่อแจ้งต่อบิลอสอีกครั้ง
“ใช่ขอรับ เร็วๆ นี้พระราชาจะจัดงานเฉลิมฉลองขึ้น นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องการให้นายท่านบิลอส กลับไปทำงานให้อีกครั้งขอรับ”
เคร้ง! บิลอสวางถ้วยชาของเขาบนโต๊ะอย่างแรงก่อนพยักหน้าให้กับลูกน้องของตน
“นายออกไปได้แล้ว......”
นักสืบเงาขยับเข้าไปในความมืดก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว บิลอสมองไปยังจุดที่นักสืบเงาเพิ่งหายตัวไปเมื่อครู่ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกบิดเหยียดขึ้น
“พวกมันคงคิดว่าข้าเป็นเพียงสุนัขที่มีหน้าที่เฝ้าบ้านให้พวกมันกระมัง?”
สายตาของเขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างดูเหมือนว่าการจ้องมองของเขาจะถูกส่งไปไกลถึงเมืองหลวงที่ห่างไกลออกไป
************************************************************************************
“นี่มันไม่ใช่ขนมปัง ไม่ใช่ขนมปัง นี่ก็ไม่ใช้ขนมปัง ....”
“แล้ว....?” เมื่อเห็นเด็กหญิงกำลังพึมพำว่า ‘ไม่ใช่ขนมปัง’ ซ้ำแล้วซ้ำอีกขณะที่เธอถือสมุนไพรไว้ในมือ คาร์ลก็ได้แต่ส่งเสียงลมผ่านจมูกเบาๆก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังต้นไม้กินคน แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ได้วิ่งตามเขาทัน
“ท่านต้องไม่ตาย...” นั่นคือสิ่งที่เด็กชายบอกกับเขา คาร์ลไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา
คาร์ล ไม่ใช่สิ คิมร็อคโซ
เขาเป็นเด็กกำพร้าและไม่ได้เป็นคนที่มีความน่าสนใจใดๆ นั่นเป็นเหตุผลที่มีคนจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าคิมร็อคโซเป็นคนที่น่าสงสารเป็นอย่างมาก
‘ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรที่จะแสดงความเห็นใจต่อคนที่ด้อยกว่า’
นั่นคือสิ่งที่เขาได้ยินมาโดยตลอดตั้งแต่ที่ยังเป็นเด็ก
‘คนขอทาน’
‘เด็กกำพร้าที่ยากจน’
‘คุณไม่ต้องหาเหตุผลในการที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’
ในตอนเด็กเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่คนอื่นบอกแต่เขาเริ่มเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันเมื่อเขามีอายุเพิ่มมากขึ้น ไม่ต้องมีเหตุผลอันสมควรอันใดถ้าใจคุณบอกให้ทำ ใช่!! มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล
“มันน่าหงุดหงิด...”
คาร์ลเกลียดที่เห็นเด็กถูกทำร้าย อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้มีความคิดที่จะดูแลทำแผลให้กับเด็กหญิงหรือคำพูดที่จะปลอบโยนเธอ เขามองดูเด็กหญิงที่เดินกระโผลกกระเผลกมายืนข้างเด็กชายก่อนเอ่ยปากบอก
“ข้าจะไม่ตาย”
สองพี่น้องหยุดเดินตามเขาทันทีที่ได้ยินเขายืนกรานเช่นนั้น คาร์ลไม่พอใจกับความคิดของตัวเองที่ว่าเขาทำในสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด เขาเกลียดการที่จะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่เขาต้องทำอย่างนั้นเมื่อนำสมุนไพรรักษามาให้เด็กหญิง
~ อร๊างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง~
~ ขออีก ขอมันเพิ่มอีก...~
“ได้ กินให้หมด”
คาร์ลโยนขนมปังในถุงทั้งหมดลงในโพรงของต้นไม้โดยไม่ต้องห่วงว่ามันจะไหลเข้าไปทิศทางใด ไม่ต้องกังวลเพราะมันจะหายไปในความมืดซึ่งบัดนี้ความมืดของมันเริ่มเบาบางกลายเป็นสีเทา มันเริ่มมีแสงสว่างแล้ว
‘ฉันคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องไปหาเงินเพิ่มแล้ว....’
คาร์ลเทขนมปังในถุงที่เหลือเข้าไปในโพรงก่อนตรงดิ่งกลับไปยังคฤหาสน์ เขาไม่ได้เห็นสองพี่น้องอีกแต่นั่นนับเป็นเรื่องดีสำหรับเขา อย่างไรก็ตามในระหว่างทางกลับบ้านเขาได้เห็นแมวสองตัวที่กำลังไล่ฟัดกันอยู่ก่อนที่พวกมันทั้งคู่จะสะดุ้งสุดตัว
‘มันเป็นลูกแมวตัวเมื่อวานใช่มั้ย พวกมันคงจำฉันไม่ได้หรอก?’
ลูกแมวขนสีเงินดวงตาสีทองและแมวขนสีน้ำตาลแดงดวงตาสีทอง ลูกแมวทั้งสองตัวไม่ได้ส่งเสียงร้องใดๆเมื่อมองมาที่คาร์ลและเขาไม่ต้องการแสร้งแสดงเป็นคนอ่อนโยนใดๆกับแมวทั้งคู่ขณะที่มุ่งหน้ากลับคฤหาสน์ต่อไป
จากนั้นเขาก็ได้ยินบางสิ่งจากท่านเคาน์เดอรัช ที่ทำให้เขาเกือบเป็นลม
“ท่านพ่อช่วยพูดอีกครั้งได้ไหมขอรับ?”
“ได้สิ คาร์ล”
บาเซ็นเองก็ยืนอยู่ข้างๆคาร์ลเช่นกัน มันเป็นเรื่องราวในตระกูลเฮนิตัสที่ไม่ได้กล่าวถึงในนิยายเรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้าเขาในขณะนี้
“ลูกจะต้องเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าพระราชาในฐานะตัวแทนของตระกูลเรา”
อ่า!!!!....เขารู้สึกว่าอาการปวดหัวจะเริ่มถามหาแล้วสิ
“เดิมทีบาเซ็นควรจะไป แต่ถึงอย่างนั้นลูกก็เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเรา”
คาร์ล หุบและอ้าปากของเขาซ้ำๆ ในขณะที่เขามองดูท่านเคานต์เดอรัชที่นั่งส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้
เข้าเฝ้าพระราชามีเหตุการณ์ใดในนิยายนี้นะที่ต้องไปเข้าเฝ้าพระราชากัน...เขาพยายามทบทวนเนื้อหาเพิ่มเติมในขณะที่ท่านเคานต์ยังคงพูดต่อ
“พระราชาเป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่และครอบครัวผู้ครองนครของแต่ละดินแดนได้รับเชิญให้ไปร่วมงาน นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกจะได้ไปเข้าเฝ้าพระราชา ซึ่งบาเซ็นก็ได้ทำหน้าที่คล้ายกันนี้เป็นเวลา 2 ปีแล้ว ดังนั้นพ่อเลยอยากให้ลูกเป็นคนไปในครั้งนี้”
งานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ที่จัดโดยพระราชา ทำให้คาร์ลนึกถึงแค่เหตุการณ์เดียว เหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้น ณ จัตุรัสกลางเมือง องค์กรลับได้ก่อเหตุร้ายขึ้นเมื่อมีชาวบ้านจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ในที่เดียว พระเอกของเรื่องอย่างเชวฮันคือผู้ที่สามารถป้องกันแผนร้ายของพวกมันได้ครึ่งหนึ่ง เหตุการณ์นั่นน่าจะเป็นครั้งที่สี่ที่เชวฮันและองค์กรลับได้ปะทะกัน ผลที่ตามมาเชวฮันสามารถช่วยชีวิตชาวบ้านได้เป็นจำนวนมากในจัตุรัสกลางเมือง ก่อนที่จะได้มารู้จักกับองค์ชายรัชทายาทพร้อมกับพัฒนามิตรภาพได้อย่างรวดเร็ว
คาร์ลสะท้านไปทั้งตัว
ตั้งแต่ที่นิยายได้เลือกบรรยายในมุมมองของเชวฮัน ทำให้ไม่ได้กล่าวถึงการรวมตัวกันของเหล่าขุนนางทั้งหมด กล่าวว่าเชวฮันได้รับสมาชิกบางส่วนเข้ารวมกลุ่มทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ที่จัตุรัสกลางเมืองเช่นเดียวกับที่เชวฮันได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากองค์รัชทายาท
แต่เขาต้องไปถึงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์โจมตีของพวกก่อการร้าย? แน่นอนว่าเขาไม่ทราบว่าขุนนางเหล่านี้จะรวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสกลางเมืองหรือไม่? คาร์ลเริ่มนึกถึงข้อมูลในนิยาย กำเนิดวีรบุรุษ
[ชาวเมืองจำนวนมากมาชุมนุมกัน ณ จัตุรัสกลางเมือง ยังมีที่นั่งที่ยังว่างอยู่สำหรับเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่จะมาถึงในไม่ช้า เชวฮันสามารถมองเห็นกลุ่มคนพวกนั้นที่ดูเหมือนว่าจะมีตำแหน่งที่สำคัญ แต่ที่สำคัญกว่านั้นความจริงที่ว่าเขามีประชาชนผู้บริสุทธิ์อยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก ทั้งเด็ก คนแก่ ผู้ชาย ผู้หญิง หัวใจของเชวฮันเริ่มเต้นเร็วขึ้น เขาไม่ต้องการที่จะเห็นชาวบ้านที่ไร้เดียงสาต้องตายต่อหน้าตนอีกครั้งหนึ่ง]
กลุ่มคนพวกนั้นที่ดูเหมือนว่าจะมีตำแหน่งที่สำคัญ จะเป็นขุนนางหรือเปล่านะ?
คาร์ลหันไปมองบาเซ็น ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะยังคงพูดต่อ แต่บาเซ็นก็ยังคงยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างไม่ยินดียินร้ายพลางเหลือบมองพ่อของตนที่ยังจ้องมองเพียงคาร์ลอยู่
‘ทั้งๆที่ควรให้บาเซ็นไปทำไมเคานต์เดอรัชถึงเลือกเขาไปนะ’
ปากของคาร์ลยังคงหุบเข้าหุบออกซ้ำๆเขาไม่ต้องการไปยังพื้นที่อันตรายเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเอ่ยปากบอกให้บาเซ็นไปได้ ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันของคาร์ลตัวจริงกับน้องชายของเขาถือเป็นสิ่งที่ยากที่จะเอ่ยปัดได้ ใจของคาร์ลเริ่มสับสนมันมีบางอย่างที่แปลกไปไม่มีทางที่ท่านเคานต์เดอรัชจะส่งขยะไร้ค่าไปยังเมืองหลง ทำไมพ่อถึงต้องพยายามส่งเขาไป? คาร์ลสงสัยว่าเขาทำอะไรผิดพลาดไปถึงทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้
“ลูกจะต้องออกเดินทางในอีกห้าวัน”
อีกห้าวัน? เมื่อได้ยินว่าคาร์ลจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงในอีกห้าวันทำให้เขารู้ว่าทำไมคาร์ลถึงไม่ได้เป็นคนไปเข้าเฝ้าพระราชา ในนิยายเขาถูกเชวฮันทำร้ายทุบตีอย่างรุนแรงในอีกสี่วันต่อมา ไม่มีทางที่เขาจะได้ไปเมืองหลวงในสภาพแบบนั้นได้
“คาร์ล....ก่อนหน้านี้บาเซ็นก็ไปร่วมเข้าเฝ้าพระราชามาก่อน เมื่อคิดดูก็ถือเป็นสิ่งที่สำหรับต่อลูกนะ ลูกจะสนุกไปกับการเดินทาง”
“ท่านพ่อขอรับ?” เคานต์เดอรัชหันไปมองบุตรชายตามที่คาร์ลเรียกเช่นเดียวกับบาเซ็นก็ไปมองพี่ชายของตนเช่นกัน
“ลูกเป็นกังวลเล็กน้อยเพราะมีการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเกินไป ลูกไม่ได้ไปที่ใดเลยในตลอดสองปีที่ผ่านมา ลูกไม่เข้าใจว่าทำไมลูกต้องเป็นคนไป ขอเวลาให้ลูกคิดถึงเรื่องนี้ด้วยขอรับ...”
ท่านเคานต์เดอรัชพยักหน้าตกลงก่อนบอกให้ลูกชายทั้งสองของตนออกไปจากห้องทำงานของตนอย่างรวดเร็ว คาร์ลกำลังยุ่งอยู่กับการคิดถึงสิ่งต่างๆมากมาย ถ้าคาร์ลยังคงทำตามบทเดิมที่นิยายวางไว้น้องชายของตนก็ต้องเป็นคนเดินทางไปในครั้งนี้แต่มันก็คงไม่เป็นการดีต่อตัวเองเท่าใดนักหากต้องเอาตัวเข้าแลกโดยการให้เชวฮันทำร้ายตน
ทันใดนั้น เสียงเรียกจากบาเซ็นก็ฉุดให้คาร์ลออกจากภวังค์ความคิด
“พี่คาร์ล...ขอรับ”
คาร์ลหันศีรษะไปทางเสียงเรียก เขาพูดคุยกับบาเซ็นโดยไม่ต้องมองหน้าหรือสบตาใดๆต่อกัน บาเซ็นอายุ 15 ปีและเขาก็พูดคุยกับพี่ชายเช่นนี้มาโดยตลอดเท่าอายุของเขา
“พี่......มันไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่จะไปไม่ได้”
“เฮ้อ...” คาร์ลทอดถอนหายใจของตน บาเซ็นไม่ได้มองมาที่คาร์ลเขาออกจากห้องทำงานของบิดาก่อนมุ่งหน้ากลับห้องของตนเอง คาร์ลจ้องมองไปที่บาเซ็นเป็นเวลานาน
“มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้....”
คาร์ลถูกผลักให้ออกจากตำแหน่งผู้สืบทอด คาร์ลไม่สามารถหยุดทำตัวเป็นขยะไร้ค่าของตระกูลได้นั่นเป็นเหตุผลที่บาเซ็นต้องมาดำรงหน้าที่แทนเขาตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาเหมือนเป็นตัวตลกสร้างความอับอายให้แก่ตระกูลและนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งในเหตุผลอีกหลายข้อที่เขาไม่ควรเป็นตัวแทนของตระกูลไปเข้าเฝ้าพระราชา อย่างไรก็ตามบาเซ็นบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ไปงานนี้
บาเซ็นบอกว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะให้คาร์ลไปเป็นตัวแทนของตระกูล
‘ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากนะสิ’ คาร์ลกล่าวอย่างขุ่นเคือง เขาไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิดแต่อาจจะมีปัญหาอื่นอีกก็คือ
‘มันก็คุ้มถ้าจะลองเสี่ยง..’ เขากำลังคิดว่าเขาน่าจะผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ได้ เหตุผลก็คือโอกาสที่เขาจะกลับมาโดยไม่ต้องตายหรือได้รับบาดเจ็บก็มีค่อนข้างสูง
‘มันจะยิ่งยุ่งยากหากบาเซ็นจะตายก่อนที่จะได้รับตำแหน่งเคานต์’
เพื่อให้คาร์ลสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข บาเซ็นจำเป็นที่จะต้องรอด ถึงจะมีน้องสาวคนสุดท้องอีกคนแต่ลิลลี่ก็ยังเด็กเกินไป นอกจากนี้คาร์ลจำเป็นต้องออกจากเมืองเวสเทิร์น หลังจากที่ได้โล่นิรันดร์กาลซึ่งเป็นพลังศักดิ์สิทธ์จากต้นไม้กินคนแล้วเพื่อจะสามารถใช้พลังนั้นรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณจากสถานที่อื่นนอกเขตเฮนิตัสได้
ใจของเขาเริ่มลังเล....
เขามองไปที่รองพ่อบ้านฮันส์ที่กำลังมุ่งหน้ามาหาตนด้วยอารมณ์ที่รุนแรงแต่ใบหน้าเขาไม่ได้มืดครึ้มดูเหมือนจะมีอาการขมขื่นแต่ดวงตาของเขาแจ่มใส
“นายน้อย...แขกของนายน้อยขอร้องให้.......”
“ฮันส์...” คาร์ลขัดขึ้นก่อนที่ฮันส์จะรายงานจบ
“นำแขกมาหาข้าที่นี่....”
“เอ่อ...อะไรนะขอรับ?”
หากคาร์ลเลือกไม่ได้ที่จะปฏิเสธการเดินทางไปเขาจะต้องหาวิธีที่สะดวกสบายและได้ประโยชน์ต่อตัวเขาให้ได้มากที่สุด
“ถ้าเขาไม่ยอมมา ก็บอกเขาเรื่องนี้สิ”
จากการแสดงออกของฮันส์ เขามั่นใจว่าปัญหาของเชวฮันจะถูกตัดสินอย่างถูกต้อง ในนิยายท่านเคานต์เดอรัชได้จัดงานศพที่เหมาะสมสำหรับชาวบ้านและดูแลทุกอย่างแม้กระทั่งหลังจาที่เชวฮันทำร้ายคาร์ลแล้วก็ตาม นั่นคือสิ่งที่ไม่ควรถูกเปลี่ยนแปลงเลย
“จ่ายเงินคืน...”
“เอ่อ....?”
“บอกเขาให้มาหาข้าเพราะข้าคิดวิธีที่จะให้เขาคืนเงินข้าได้แล้ว”