บทที่ 11 เอามันออกมา 4
‘นายน้อยกระผมได้ฟังมาจากรองพ่อบ้านฮันส์แล้ว กระผม...รอน...จะทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อให้แน่ใจว่านายน้อยจะเปล่งประกายที่สุดในเมืองหลวง’
ไหล่ของคาร์ลสั่นขึ้นเล็กน้อยขณะที่เขาเดินทางออกจากคฤหาสน์เฮนิตัส เขากำลังคิดถึงบทสนทนาที่เขามีกับรอนทันทีที่ตื่นมาในตอนเช้า
‘นี่เป็นครั้งแรกที่นายน้อยจะได้ไปนอกเมืองเฮนิตัสใช่มั้ย? กระผมเก่งในการล่ากระต่ายมากและกระผมจะล่ากระต่ายสำหรับนายน้อยเมื่อเราหยุดพักค้างแรมกันข้างนอกนั่น’
เสียงสงบและอ่อนโยนของรอนยังสะท้อนก้องอยู่ในหูของคาร์ล เขารู้สึกราวกับว่าเขายังสามารถได้ยินเสียงของรอนเหมือนภาพหลอนอยู่ตลอดเวลาเหมือนหมอกที่กำลังอบอวลอยู่ด้านนอกอยู่ในขณะนี้ คาร์ลกลัวว่ารอนจะอธิบายให้เขาฟังเกี่ยวกับการล่าสัตว์โดยเฉพาะกระต่ายในตอนเช้า
‘นายน้อยต้องระวังเมื่อจะจัดการกับสัตว์ขนาดเล็กแบบกระต่ายมันเป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย เนื่องจากเราไม่รู้ว่ามันจะวิ่งหนีเราไปเมื่อไหร่นายน้อยจึงต้องใส่ใจกับสภาพแวดล้อมรอบข้างแล้วลงมือฆ่ามันทันที!อา...นายน้อยต้องเอาเครื่องในมันออกมาหลังจากที่จับมันได้ กระผมเก่งในเรื่อง.........’
คาร์ลต้องหันไปมองเมื่อเห็นรอนเลียนแบบการตัดหัวกระต่ายด้วยมือของเขา รอนดูตื่นเต้นมาก อย่างไรก็ตามความคิดเดียวของเขาตอนนี้คือรอนกำลังเล่นสนุกกับเขา แต่คาร์ลก็ยินดีที่รู้ว่ารอนจะเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับเขา
‘ฉันสามารถเอาบารอคไปเป็นพ่อครัวส่วนตัวได้...’
รอน...บารอค...เขาได้แจ้งความต้องการแก่ฮันส์เพื่อที่จะได้พาพ่อลูกคู่นี้ไปเมืองหลวงด้วย แน่นอนว่าตอนนั้นรอนก็อยู่ที่นั่นด้วย
‘ฮันส์ ...ข้าอยากได้ตัวบารอคไปเป็นพ่อครัวส่วนตัวสำหรับการเดินทางในครั้งนี้’
‘กระผมต้องถามพ่อครัวบารอคกอ่นขอรับ? ช่วงนี้เขายุ่งกับงานในครัวมาก...’
‘ไม่รู้สิ..แต่ข้าไม่สามารถกินอะไรนอกจากอาหารที่บารอคเป็นคนปรุงเท่านั้น ยังไงข้าต้องพาเขาไปให้ได้ดังนั้นนายต้องจัดการให้ได้...’
ฮันส์เริ่มกังวลแต่รอนดูเหมือนจะมีความสุขที่จะได้เดินทางไปพร้อมลูกชายของตน
‘นายน้อย..ลูกชายของกระผมจะมีความสุขมากหากเราได้ไปที่เมืองหลวง กระผมจะไปแจ้งให้เขาได้ทราบ..’
คาร์ลเริ่มผ่อนคลายลงหลังจากได้ยินประโยคของรอน เขากังวลว่าพวกเขาจะบอกว่าไม่สามารถทำได้แต่ บารอคสมควรจะได้ออกไปจากที่นี่และเดินทางไปยังเมืองหลวงเช่นกัน
คาร์ลเดินผ่านหมอกที่ปกคลุมไปทั่วเมืองเวสเทิร์น ในขณะที่เขานึกถึงคนที่จะไปเมืองหลวงพร้อมเขา เรื่องราวในนิยายอ่านเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยแต่ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ในการหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง
“นายน้อยมาถึงแต่เช้าตรู่เลยนะขอรับ...”
พ่อค้าขนมปังดูผ่อนคลายมากขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคาร์ลหลังจากที่ได้พบกับเขา 2-3 ครั้ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถาม
“ขนมปังล่ะ?”
พ่อค้าขนมปังส่งยิ้มให้เขาก่อนจะยื่นถุงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนมปัง
“แน่นอนขอรับ กระผมได้เตรียมมันพร้อมแล้ว แต่วันนี้เป็นวันสุดท้ายจริงๆหรือขอรับ?”
“ทำไม? อยากได้เงินจากข้าเพิ่มรึ...”
“ใช่ขอรับ...มันเป็นเช่นนั้น...”
คาร์ลอมยิ้ม เขาชอบคำตอบที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ คาร์ลตบไปที่ไหล่ของพ่อค้าขนมปังเบาๆซึ่งเขาดูเหมือนจะมีท่าทางผ่อนคลายกว่าเดิมเมื่ออยู่กับตน
“ข้าจะกลับมาเมื่อข้าต้องการกินมันอีก....”
พ่อค้าขนมปังมองคาร์ลเดินจากไปช้าๆก่อนจะหายลับไปกับหมอกทึบ เขาเริ่มอธิษฐานให้คาร์ลกลับมาอุดหนุนอีกครั้งและให้เงินแก่เขาเป็นจำนวนที่มากกว่าเดิม
คาร์ลไม่ทราบถึงคำอธิษฐานของพ่อค้าขนมปังเขายังคงมุ่งหน้าไปที่สลัมและได้พบสองพี่น้องที่รอเขาอยู่
‘เด็ก 2 คนนี้ไม่มีบ้านอยู่หรือไง?’
วันนี้คาร์ลมาเช้ากว่าปกติ พี่น้องสองคนนี้ก็ยังรอเขาอยู่เหมือนกับว่าได้รอเขาอยู่ที่เนินเขาตั้งแต่เมื่อคืน เด็กชายท่าทางง่วงงุนจึงเอนซบเข้าหาพี่สาวของตน เด็กทั้งสองค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคาร์ล ผมและเสื้อผ้าของพวกเขาดูเปียกชื้นอาจเป็นเพราะพวกเขาอยู่ที่นี่ในช่วงเช้าที่มีหมอกลงทึบ
แน่นอน ว่าคาร์ลแกล้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น
“มาเอาไปสิ?” เด็กทั้งสองส่งยิ้มให้กลับคาร์ลพลางยื่นมือเพื่อหยิบเอาอาหารอีกครั้ง คาร์ลรอจนกระทั่งเด็กทั้งคู่หยิบมันไปและมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของต้นไม้กินคน
‘ฉันดีใจที่วันนี้หมอกลงหนามาก....’
หมอกทำให้ทัศนวิสัยในการมองดูแย่มากขึ้นเนื่องจากเนินเขานี้เป็นจุดที่สูงที่สุดในเมืองเวสเทิร์น ยกเว้นอาณาเขตของท่านเคานต์ เมื่อหมอกหนาถูกปกคลุมในบริเวณนี้ทำให้ไม่มีใครสามารถเห็นสิ่งที่คาร์ลกำลังทำอยู่หรือที่สำคัญกว่านั้นอาจเป็นสิ่งที่เขาจะได้รับจากต้นไม้กินคนนั่น
~ เอาอีก มากกว่านี้ ขอเพิ่มมากกว่านี้ ~
คาร์ลเทขนมปังจากถุงเข้าไปในโพรงของต้นไม้ขณะที่ต้องฟังเสียงที่น่ากลัวชวนขนลุกนี้อยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นความมืดภายในโพรงก็ค่อยๆเปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีขาว คาร์ลเริ่มยิ้ม......ความพยายามของเขาไม่ใช่เรื่องไร้สาระ และตอนนั้นเอง.......
~ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ~
‘นี่มันอะไรกัน.....’ คาร์ลเริ่มสับสนและก้าวถอยหลังออกมาหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
‘นิยายไม่ได้บอกว่าจะเป็นแบบนี้นี่นา....’
~ ให้มากกว่านี้ ให้ข้ามากกว่านี้ ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้า รางวัล รางวัล รางวัล ~
ประโยคนั้นทำให้คาร์ลตาเป็นประกาย เขาไม่คาดหวังว่าวิญญาณบ้านั่นจะมอบความต้องการให้เขาได้เร็วเพียงนี้
“รอสักครู่....”
ต้นไม้สีดำขยับก้านของมันไปมาราวกับพยักหน้าให้เขา คาร์ลรู้สึกเหมือนอยู่ในฉากภาพยนตร์สยองขวัญ เขาเริ่มตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะสาวท้าวฝ่าหมอกทึบออกไป ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่แต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นและหมอกก็ยังคงปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ดูเหมือนฝนจะตกในไม่ช้า...สองพี่น้องนั่นคงไปที่ไหนสักแห่งเมื่อคาร์ลกลับมาแล้วไม่พบกับทั้งคู่ เขาคิดว่าเด็กทั้งสองคงไปหาที่หลบฝนแถวๆนี้อยู่ คาร์ลวางถุงขนมปังถุงที่สามของวันนี้ลงตรงหน้าของต้นไม้กินคน
‘หวังว่านี่คงเป็นถุงสุดท้าย....’
แสงภายในโพรงต้นไม้สว่างเป็นสีขาวเหมือนหมอกสีขาวที่โอบรอบคาร์ลไว้
‘มันจะกลายเป็นแสงสว่างที่ขาวกว่านี้เมื่อฉันใส่ขนมปังถุงสุดท้ายนี้เข้าไป’
และในที่สุด.......
~ อร๊างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ~
เสียงที่ดังกึกก้องขึ้นมันเป็นเสียงที่แตกต่างจากเสียงพูดที่คาร์ลเคยได้ยิน เสียงที่ดังออกมาจากต้นไม้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาเท่ากับสิ่งที่เห็นตรงหน้า โพรงของต้นไม้กำลังโปร่งแสงสว่างขึ้นช้าๆในโพรงของมันที่ควรจะมีความมืดมิดปกคลุมเพราะเงาของมัน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้กับไม่เป็นเช่นนั้น...
นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณ
ช่วงเวลาที่คาร์ลได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่นั่นเขาก็ยังได้ยินเสียงพูดที่เรียกร้องให้เขาหาอาหารให้มาจนถึงบัดนี้
มันเป็นสิ่งที่วิเศษมาก!
เสียงนั้นมัน.........น่าสะพรึงกลัว
~ ขนมปังมันเนื้อนุ่ม!....ข้าชอบขนมปังในถุงที่สามที่เจ้านำมันมาให้ข้ายิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปอาหารจะพัฒนาได้ขนาดนี้ สมัยของข้า!....ไม่มีสิ่งใดที่อร่อยเช่นนี้...แม้กระทั่งข้าวสาลีก็ต้องเติบโตบนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์จริงๆ...ไม่!....ไม่ใช่แค่ข้าวสาลีไม่ว่าอะไรก็เป็นเช่นกัน ~
เสียงนั่นกำลังวิจารณ์รสชาติของขนมปัง
พลังของเสียงนั่นพุ่งตรงไปที่คาร์ล
‘เรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ในนิยาย.....’
จิตวิญญาณที่ผูกติดกับผืนดินเพราะความเสียใจกำลังถูกแก้ไขด้วยการวิจารณ์รสชาติของขนมปัง คาร์ลเริ่มกระพริบตาอีกครั้ง เขากำลังคิดถึงพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณในนิยายเรื่องกำเนิดวีรบุรุษได้กล่าวว่าโล่นิรันดร์กาลคือพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเพียงอย่างเดียวที่ถูกเขียนขึ้นในนิยายเรื่องนี้ แต่มันไม่เคยได้รับการถูกกล่าวอ้างว่าผู้ใดเป็นผู้ครอบครอง
‘ไม่ต้องสงสัยใดๆเลย คงไม่มีใครสามารถควบคุมพลังมันได้ แต่คนเขียนนิยายกลับสร้างสิ่งที่มีประโยชน์เช่นนี้ขึ้นมาแต่กลับไม่ให้ใครได้ครอบครอง?’
นั่นคือความคิดให้หัวของคาร์ล แต่เสียงอันน่าสะพรึงกลัวยังคงพูดพล่ามต่อไปทำให้เขาไม่สามารถจะโฟกัสต่อสิ่งใดได้
~ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้ารู้สึกเติมเต็ม! มันอร่อยยิ่งนัก! ~
เสียงน่าสะพรึงยังคงพูดพล่ามไม่หยุดเหมือนรู้สึกไม่พอใจที่ไม่เคยได้ทานอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน หลังจากได้ฟังเสียงนั่นพล่ามประมาณ2-3นาทีเกี่ยวกับการวิจารณ์รสชาติอาหารที่คาร์ลนำมาให้ คาร์ลพยักหน้าตอบรับและพยายามไม่ส่งเสียงเพื่อขัดจังหวะมัน ขนมต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถมีในสมัยในอดีต คนของป่าแห่งความมืดอ้างว่าตนคือคนรับใช้พระเจ้าแต่ได้รับเพียงอาหารที่จืดชืดรสชาติแย่เท่านั้น อย่างไรก็ตามคาร์ลตัดสินใจที่จะรออีกสักพักหลังจากที่ได้ยินเสียงของวิญญาณนั่นพูดถึงเรื่องราวในอดีต
~ข้าถูกเนรเทศออกจากที่นั่น พวกมันกล่าวว่าข้าเป็นคนตะกละโลภมาก! ตะกละตูดมันสิ...แน่นอนว่าข้าออกมาพร้อมกับเพื่อนของข้า..พวกเรากำลังวางแผนที่จะทำให้โลกนี้กลับสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ......~
สำหรับคนที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเช่นเขานับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการหาข้อมูลเพิ่มเติมแต่ข้อมูลเหล่านี้กลับจบลงอย่างรวดเร็ว มันกลับมาพูดเรื่องอาหารและเรื่องไร้สาระอื่นๆ คาร์ลจะต้องตัดบทการสนทนาให้เร็วที่สุด
~ ข้าไม่คิดว่าข้าจะยอมแพ้ต่อการได้ทดลองลิ้มลองรสชาติแสนอร่อยต่อให้ข้าจะอ้วนเพียงใดก็ตามแต่มันไม่ยุติธรรมที่ข้าได้กินเพียงแต่ของสกปรกและจบลงด้วยความตาย ~
“ใช่ มันเป็นการทดลองที่ยอดเยี่ยมและเป็นมืออาชีพมาก เพียงแค่...........”
เสียงอันน่าสะพรึงนั่นตัดบทสนทนาของคาร์ลทันที
~โอ้ว.......เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าต้องการจะทดลอง เจ้าเป็นคนดีจริงๆ ขอบคุณ!ขอบคุณ!~
คาร์ลไม่สามารถบอกได้ว่าเขาสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้หรือไม่? เขาคิดไม่ออกกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่แต่เสียงน่าสะพรึงนั่นก็เงียบไปหลังจากที่มันกล่าวขอบคุณเขาจบ คาร์ลจ้องมองไปยังต้นไม้กินคนตรงหน้าเขา
“น่าสนใจมาก!!!!”
ต้นไม้กินคนจากเดิมที่เป็นสีดำตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นสีขาวก่อนจะค่อยๆมีใบไม้สีเขียวผุดขึ้นบางส่วนบนกิ่งก้านของมัน ฉากที่ปรากฏขึ้นตอนนี้คงเป็นภาพที่ดูลี้ลับมากขึ้นเพราะตัวเขาถูกล้อมรอบด้วยหมอกทึบ
~อร๊างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง~
เสียงที่ดังกึกก้องมันดูรุนแรงต่างจากเดิม คาร์ลคุกเข่าลงด้านข้างและทิ้งตัวลงนั่งใต้ลำต้นของต้นไม้มีแสงสีขาวสว่างจ้าออกมาจากโพรง คาร์ลยื่นมือเข้าไปในแสงสีขาว จากนั้นก็หลับตาลง
‘นี่ต้องได้แบบนี่’
พลังอันอบอุ่นและรุนแรงค่อยๆโอบรอบมือของเขาไว้ เขาเริ่มยิ้มก่อนที่จะได้ยินเสียงอีกครั้ง มันเป็นเสียงที่กังวานบริสุทธิ์และอบอุ่น
~มันจะปกป้องเจ้า~
ชิ๊ง!
เพียงพริบตาแสงสว่างจ้าก็โอบรอบตัวของคาร์ล มันเป็นแสงสีเงินบริสุทธิ์และมันก็ถูกดูดกลืนเข้าสู่ร่างกายของคาร์ลก่อนจะไปรวมกันที่ตำแหน่งหัวใจ
“เฮือกกกกกกกกก” คาร์ลถอนหายใจยาวก่อนลืมตาขึ้น มันไม่ได้รู้สึกเจ็บ มันอบอุ่นและพลังบริสุทธิ์นี้ทำให้คาร์ลมีความสุข เขารีบเปิดเสื้อที่เขาใส่ไว้ออกจากตัวเพื่อดูมัน
‘ฉันทำมันได้....’
มีโล่เงินขนาดเล็กที่ถูกสลักเป็นเครื่องหมายอยู่เหนืออกด้านซ้ายซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับหัวใจของเขา มันต่างจากรอยสักทั่วไปมันดูสวยงามและเหนือจินตนาการ โล่จะเป็นสิ่งที่บอกความสำคัญถึงความปลอดภัยของเจ้าของเหนือสิ่งอื่นใด มันก็เหมือนกับว่าโล่ที่ล้อมรอบหัวใจเขาตอนนี้จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา
พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเช่นนี้จะมีเครื่องหมายที่ไม่ซ้ำกันและมันจะเริ่มทำงานเมื่อมีการเปิดใช้งานขึ้น
คาร์ลได้ใช้วิธีการที่เขียนขึ้นในนิยายเพื่อเรียกใช้พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณอย่างรวดเร็ว
ผ่างงงงงงงง......
โล่นิรันดร์กาลได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของคาร์ล มันเป็นโล่เงินที่มีขนาดใหญ่พอที่จะปกคลุมร่างกายส่วนบนของคาร์ลได้ มันมีปีกเงินอยู่ด้านข้างทั้งสองด้านของโล่ ทำให้โล่สามารถเคลื่อนย้ายได้ภายในรัศมีร่างกายของคาร์ลและขนาดของมันก็สามารถควบคุมได้
คาร์ลเริ่มควบคุมขนาดของโล่ที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนได้แล้ว ความกลมกลืนนี้เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษของพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณ นั่นเป็นเหตุผลที่เหล่าวีรบุรุษใช้มันแม้จะเป็นเพียงแค่ใช้สนับสนุนพลังหลักของตนเท่านั้น
คาร์ลเริ่มยิ้มออกมา
‘มากสุดได้เพียงสองครั้ง’
คาร์ลกำลังคิดถึง เชวฮันซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ข้างกายเขา โล่ควรจะสามารถป้องกันการโจมตีจากเชวฮันได้
‘ความแข็งแรงของโล่นี้แข็งแกร่งกว่าที่ฉันคาดไว้ ทำไมพวกวีรบุรุษถึงไม่ใช้มันตลอดกัน?’
โล่นิรันดร์กาล เป็นชื่อเรียกของโล่ที่มีความเป็นอมตะยากแก่การทำลาย แต่คุณสมบัติมันก็ยังต่างกับชื่อ มันสามารถหายไปได้เมื่อถูกทำลายได้เช่นกัน หากโล่ได้รับการโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าความสามารถของมัน โล่นี้จะเก็บสะสมพลังของมันไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อปกป้องหัวใจของเจ้าของก่อนจะหยุดพักไปหลังจากนั้นโล่จะฟื้นตัวและสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ความแข็งแรงของโล่ก็มาจากหัวใจของเจ้าของ
หัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำนั้นกลายเป็นพลังของโล่ หัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้าของในขณะที่โล่พยายามปกป้องหัวใจ มันจะเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อในขณะนั้นเจ้าของมีหัวใจที่แข็งแกร่ง...?
‘มันก็ยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้น’
มีหลายวิธีในการเสริมสร้างพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้ คาร์ลจะต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโล่บนเส้นทางสู่เมืองหลวง เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เขาควรจะสามารถสร้างโล่ที่สามารถฟื้นตัวได้ภายใน 10 นาทีไม่! นานไป....ต้องน้อยกว่า 5 นาที เมื่อคนที่มีพรสวรรค์เช่นเชวฮันจะพยายามฆ่าเขาด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเช่นเดียวกับที่พบในต้นไม้กินคนนี้เป็นเรื่องยากที่จะหามันพบยกเว้นแต่จะสามารถรู้หรือพบมันได้ด้วยความบังเอิญ ‘ความบังเอิญ’ที่มีระบุในนิยายตั้งแต่เล่ม1ถึงเล่ม5 นั่นคือสิ่งที่คาร์ล เฮนิตัสรับรู้มันเป็นอย่างดี
คาร์ลเริ่มยกยิ้มอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปสัมผัสกับโล่ที่อยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของตน เขารู้สึกดีกับสิ่งที่ได้รับแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกไม่ชอบใจ
“มันดูเหมือนพระเจ้าเกินไป”
มันมีลักษณะเหมือนโล่ศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าอัศวินของพระเจ้าใช้ถือคู่กับดาบตามตำนาน แน่นอนว่าเจ้าของเดิมของโล่นี้เป็นนักบวชที่เบื่อหน่ายกับคำสอนของพระเจ้าและเจ้าของคนปัจจุบันเช่นคาร์ลก็ไม่ชื่นชอบพระเจ้า
‘ไม่ใช่ว่าจะมีเหตุผลมากมายที่ฉันจะใช้โล่นี้’
เขากำลังวางแผนที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไปให้คนอื่น ความน่ากลัวของการโจมตีในเมืองหลวงนั้นเขาอาจจะต้องใช้มันหากมีสิ่งที่เป็นอันตรายเกิดขึ้นต่อตนเอง แต่เขาจะทำให้แน่ใจว่ามันจะต้องมีขนาดเล็กและเป็นเพียงเงาบางเบาเพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็นมัน
คาร์ลกลับไปสนใจโล่ที่อยู่บนตำแหน่งหัวใจของตนอีกครั้งและตบเบาๆไปที่ต้นไม้สีขาวที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะเริ่มเดินออกไปจากบริเวณนี้ หมอกทึบเริ่มคลายลงก่อนจะเริ่มกลายเป็นสายฝนที่เริ่มตกกระทบใส่ไหล่ของคาร์ลให้เปียกชื้นขึ้น คาร์ลชอบหมอกแต่ไม่ชอบฝน เขาเริ่มเดินให้เร็วขึ้นเขาต้องไปยังคฤหาสน์ให้เร็วที่สุด ตอนนี้เขาต้องการเพียงรถม้าเท่านั้น
ตอนนั้นเอง
“เมี้ยว เมี้ยว”
คาร์ลรู้สึกเย็นวาบไปทั่วต้นคอ มันเป็นซอยด้านขวามือที่อยู่ด้านนอกของคฤหาสน์เฮนิตัส เขามองเห็นดวงตาสีทองสองคู่ที่จ้องมองเขาอยู่ ก่อนที่อาการขุ่นเคืองจะเริ่มปรากฏขึ้น
มีลูกแมวสองตัวอยู่ตรงหน้าคาร์ลพวกมันดูน่าสงสารและร่างกายต่างเปียกโชกไปด้วยสายฝน พวกมันก้าวช้าๆมาหาคาร์ลก่อนจะเอาแก้มของพวกมันถูไถไปกับเท้าของเขา
“เฮ้อ.....”
คาร์ลถอนหายใจยาวและออกเดินต่อ ลูกแมวทั้งคู่ต่างวิ่งตามหลังคาร์ลไป พวกมันออกวิ่งตามคาร์ลไปอีกครั้งเหมือนกับว่าไม่มีอะไรจะมาขัดขวางความตั้งใจของพวกมันได้แม้จะมีขาที่สั้นเพียงใดก็ตาม
“นายน้อยเกิดอะไรขึ้นขอรับ?”
คนที่ทักคาร์ลคือรองพ่อบ้านฮันส์ เขามีท่าทางสับสนและดวงตาเบิกกว้างต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ท่าทางฮันส์จะตกใจมาก คาร์ลเดาะลิ้นของตนเองก่อนที่จะส่งสิ่งที่อยู่ในมือตนยื่นให้แก่ฮันส์
“อย่าถามอะไรโง่ๆ มาเอามันไป...”
ดวงตาของฮันส์เริ่มพราวระยับ
“ลูกแมวนี่ขอรับ? มันช่างน่ารักเหลือเกิน...”
รองพ่อบ้านฮันส์ทำตัวได้สมเป็นพ่อบ้านผู้ใสซื่อจริงๆ? เขาวางลูกแมวทั้งสองตัวใส่ในมือฮันส์ที่กำลังตื่นเต้นยินดีด้วยความระมัดระวัง
ลูกแมวทั้งสองที่ห้อยต่องแต่งอยู่ในมือของฮันส์ยังคงจ้องมองมาที่คาร์ลอยู่แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในมือของฮันส์แล้วก็ตาม
“นายน้อย กระผมขอเป็นคนเลี้ยงลูกแมวน่ารักสองตัวนี้เองนะขอรับ?”
“แล้วแต่เจ้าเถิด...” ฮันส์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความยินดี คาร์ลเดินผ่านฮันส์ที่กำลังตื่นเต้นไปอย่างช้าๆ
“อ้อ! มีบางอย่างที่เจ้าต้องรู้...พวกมันจะเงียบสงบเมื่อเจ้าเอาอาหารให้มันกินและพวกมันทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน”
ลูกแมวทั้งสองต่างสะดุ้งและเริ่มสั่นไปทั้งตัว ตาสีทองของพวกมันเบิกกว้างขึ้นขณะที่ยังจ้องมองไปที่คาร์ล
“อะไรนะขอรับ?”
ในตอนที่คาร์ลถามขึ้นด้วยความสับสน เขาก็เดินกลับไปหาฮันส์จากนั้นก็ก้มศีรษะของตนลงก่อนจะลูบเบาๆไปที่ศีรษะของพวกมัน นี่คือสิ่งที่เขาสงสัยอยู่ตลอดในช่วง 2-3 วันมานี้และมันทำให้เขาคาใจมาโดยตลอด
ลูกแมวขนสีเงินมีกลิ่นเหม็นของสมุนไพรชนิดเดียวกับที่เขาเคยให้เด็กหญิงและตอนที่เขาอุ้มลูกแมวทั้งคู่เมื่อก่อนหน้านี้เขาก็ได้กลิ่นสเต็กเนื้อและเบคอนพาสต้าครีมที่เขาเคยให้แก่สองพี่น้องนั่นเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้ทำให้ความสงสัยและความคาใจทั้งหมดของเขาได้รับการแก้ไขในทันที
“พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ?”
ตาสีทองของลูกแมวทั้งสองตัวยังคงสั่นไหวรุนแรง เขามองไปที่สองพี่น้องที่เคยมอบอาหารให้เมื่อไม่นานมานี้ก่อนจะยิ้มออกมา