px

เรื่อง : ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family)
บทที่ 22 ตอบแทนบุญคุณ 2


บทที่ 22 ตอบแทนบุญคุณ 2 

 

รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์เต่าทองของตระกูลเฮนิตัสก็แล่นเข้าเมืองพัซเซิลตามหลังรถม้าของว่าที่หัวหน้าพ่อบ้านเช่นฮันส์อย่างช้าๆ

 

“มันเล็กกว่าเมืองเวสเทิร์นอีก”

 

“ใช่ๆเล็กกว่าอีก”

 

คาร์ลพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของออนและฮงก่อนจะมองออกไปด้านนอกรถม้า

 

‘มันจะไม่ตามฉันเข้าไปในเมืองด้วยใช่มั้ย?’

 

จากคำบอกเล่าของเชวฮัน มังกรดำตนนั้นได้ติดตามพวกเขามาห่างๆก่อนที่จะล่าหาอาหารมาทิ้งไว้ให้ตอนเช้าและรีบหลบออกไป

 

‘มันน่ารักใช่มั้ย? มังกรดูเหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่สูญเสียความไร้เดียงสาไปแม้มันจะเจอชีวิตที่แสนโหดร้ายมาก่อนก็ตาม’

 

‘........น่ารักกับผีล่ะสิ’

 

นั่นเป็นเพียงสิ่งที่คาร์ลคิดเมื่อเห็นเชวฮันพูดกับตนด้วยน้ำเสียงขบขัน ถ้าเชวฮันเห็นมังกรระเบิดภูเขาได้อย่างง่ายดายเขาก็คงไม่มาพูดว่ามันน่ารักต่อหน้าเขาเช่นนี้

 

คาร์ลไม่รู้ว่าทำไมมังกรดำถึงทำเช่นนี้ทั้งๆที่มันเคยกล่าวว่ามันเกลียดมนุษย์ มันทำให้เขามึนงงไปหมดมันไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดว่าจะเป็นแบบนี้ไปได้

 

ก่อนหน้านี้คาร์ลคิดว่ามังกรจะอยู่ห่างจากอาณาเขตของมาร์คควิสสแตนเพื่อสร้างถ้ำของมันและเพื่อพัฒนาพลังของมันให้แข็งแกร่งขึ้น คาร์ลหวังไว้ว่าหากมังกรเติบโตขึ้นมันจะสามารถทำลายอำนาจและสมบัติของตระกูลสแตนก่อนที่มันจะเกิดสงครามขึ้นในฝั่งตะวันออกนี้

 

และนั่นจะเป็นประโยชน์ในการรักษาอาณาเขตการปกครองของท่านเคานต์เฮนิตัสให้สงบร่มเย็นได้อย่างยาวนาน

 

“เตราะ”

 

คาร์ลเดาะลิ้นของตัวเองและก้มมองไปที่ลูกแมวทั้งสองที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าด้วยความตื่นเต้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆเขาเพื่อถามในสิ่งที่พวกมันเห็นด้านนอกนั้น

 

“หน้าบ้านของพวกเขามีหอคอยศิลาด้วย”

 

“ใช่ๆ....มันแปลกมากเลย”

 

คาร์ลเอ่ยตอบด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก

 

“ก็มันคือเมืองแห่งหอคอยศิลา”

 

เมืองพัซเซิลเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องที่มีซากปรักหักพังโบราณของหอคอยศิลาเป็นจำนวนมาก และยิ่งมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นจากการที่พวกเขามีหอคอยศิลาขนาดเล็กประดับไว้หน้าบ้านของพวกตน

 

คนในเมืองนี้สร้างร่องเล็กๆอยู่นอกหน้าต่างและสร้างหอหอคอยศิลาไว้บริเวณนั้น มันไม่ควรถูกเรียกว่าหอคอยเพราะมันมีเพียงก้อนหินขนาดใหญ่เรียงซ้อนกันน้อยกว่า 10 ก้อนแต่หอคอยศิลาของพวกเขาก็แตกต่างกันไปตามความชอบของเจ้าของบ้านแต่ละหลัง

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อโรงแรมหรูที่พวกคาร์ลมาถึงจะมีหอคอยศิลาประดับไว้ด้านหน้าของโรงแรมด้วย

 

“เราจะเข้าพักที่นี่ใช่หรือไม่?”

 

ฮันส์รีบตอบคำถามของคาร์ลในขณะที่เดินตามหลังของเจ้าของโรงแรม ฮันส์ดูเหมือนจะตื่นเต้นมากเมื่อเขาอุ้มลูกแมวทั้งสองไว้ในอ้อมแขนของตน

 

“ใช่แล้วขอรับนายน้อย...เราได้จองห้องให้ท่านเชวฮันไว้พักสองวันครั้งต่อไปจึงจะจองเพิ่มทีหลังให้กับเขาและคนอื่นๆที่จะเดินทางมาสมทบในภายหลังแต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาว่าพวกเขาจะมาถึงตอนไหน”

 

รอนชะงักไปชั่วครู่กับคำพูดของฮันส์และรีบเดินตามหลังพวกเขาพร้อมกับถือกล่องเวทย์ไว้ในมือก่อนที่ฮันส์จะเริ่มพูดต่อ

 

“เราเดินทางมาถึงก่อนเทศกาลหอคอยศิลาทำให้ห้องพักมีราคาไม่แพงมากนัก”

 

เทศกาลหอคอยศิลาที่จะมาถึงในสัปดาห์หน้าทำให้ชาวเมืองพัซเซิลยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลหอคอยศิลานี้ คาร์ลแค่นึกถึงสิ่งนี้โดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆออกมา

 

“มีหอคอยศิลาอยู่ที่เมืองแห่งนี้มากมายนักและมันก็ค่อนข้างน่าสนใจ...มันดูแปลกมาก”

 

“กระผมรู้สาเหตุขอรับ?”

 

'ฮะ?'

 

คาร์ลเงยหน้ามองไปที่ฮันส์ผู้ที่เป็นคนตอบรับกับพูดของตน

 

“มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ก็เป็นเรื่องราวที่กระตุ้นความสนใจของคนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี”

 

“หากเรื่องมันยาวมากนัก...เจ้าก็หยุดเล่าเถิด”

 

จริงๆคาร์ลก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่ฮันส์ก็มีความตั้งใจในสิ่งที่เขาจะเล่าให้ฟังมากเช่นกัน คณะของคาร์ลที่เข้าไปในห้องพักของเขาจ้องมองเจ้าของโรงแรมที่กำลังเดินออกไปจากห้องก่อนจะเริ่มฟังเรื่องราวที่ฮันส์จะเล่า

 

“เรื่องนี้มันเป็นตำนาน...เอ่อ...มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยอดีตนานมาแล้ว”

 

“สมัยอดีต?”

 

คลิ๊ก!

 

เสียงปิดประตูดังขึ้นหลังจากที่เจ้าของโรงแรมก้าวออกไปพ้นห้องแล้ว ในตอนนี้เหลือเพียงคณะของคาร์ลที่อยู่ในห้องเขาเท่านั้น และคาร์ลก็ตอบรับกับคำของฮันส์ที่พูดถึงเรื่อง ‘สมัยอดีต’

 

“ขอรับ...เป็นเรื่องสมัยอดีต”

 

“เล่าต่อสิ”

 

ลูกแมวสองพี่น้องที่อยู่ในอ้อมแขนของคาร์ลกำลังกระดิกหางของพวกมันไปมาราวกับว่าพวกมันสนใจที่จะฟังเรื่องนี้เช่นกัน รอนเพียงยืนเงียบๆและรินน้ำมะนาวจากขวดที่เขาถือมาพร้อมๆกับกล่องเวทย์ก่อนจะยื่นให้คาร์ล

 

คาร์ลเพียงรับแก้วน้ำมะนาวมาถือไว้ในมือและนั่งลงบนโซฟาก่อนจะพาดขาของเขาไว้บนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม คาร์ลยกคางของตนขึ้นเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณให้ฮันส์เริ่มพูดต่อ

 

“อะแฮ่ม......เมื่อครั้งอดีตเมืองนี้หลุดพ้นจากการคุ้มครองของพระเจ้า”

 

‘หลุดพ้นจากการคุ้มครองของพระเจ้างั้นเหรอ?’

 

คาร์ลไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเรื่องนี้”

 

“นั่นเป็นเพราะนายน้อยไม่ได้เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์”

 

“......ดูเหมือนเจ้าจะสนุกกับสิ่งที่พูดกับข้าในวันนี้...เจ้าจะพูดแบบนี้อีกหรือไม่? ห๊ะ?”

 

ฮันส์หันไปมองคาร์ลอย่างรวดเร็ว

 

“มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพ่อบ้านที่ดีที่จะแจ้งเรื่องราวในสิ่งที่เจ้านายของตนไม่ทราบนะขอรับ”

 

ก่อนที่ฮันส์จะเริ่มเล่าเรื่องในสมัยอดีต

 

“กระผมก็ไม่ทราบถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเมืองแห่งนี้จึงไม่ได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้าอีกต่อไป แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นชาวเมืองนี้ก็รวมตัวกันเพื่อสร้างหอคอยศิลาขึ้น ดูเหมือนจะเป็นการสักการะบูชาพระเจ้าที่ทรงทอดทิ้งพวกเขา”

 

“แล้วมันส่งผลเช่นไร?”

 

“ไม่เป็นผลขอรับ”

 

พระเจ้าไม่รับฟังพวกเขา

 

“เห็นได้ชัดว่ามีการสวดอธิษฐานเมื่อเราย่างกรายเข้ามาที่นี่และมันก็เป็นเหตุผลให้เมืองนี้ไม่มีแม้แต่วิหารสักแห่งเดียว”

 

“ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องสวดวิงวอนต่อพระเจ้าที่ทอดทิ้งพวกเขาใช่มั้ย?”

 

“ว้าวๆ.....ถูกต้องนะขอรับ....นายน้อยของเราเป็นคนที่ฉลาดมากไม่เห็นจำเป็นต้องเรียนรู้เลยนะขอรับ”

 

“เจ้าอยากโดยต่อยใช่หรือไม่?”

 

ฮันส์หันหน้าไปมองคาร์ลก่อนเสมองไปยังภูเขาที่ห่างไกลออกไปและเริ่มพูดต่อ

 

“เอ่อ...อะแฮ่ม..แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้พวกเขาก็มีหอคอยศิลาแทนวิหารของพระเจ้า หอคอยศิลาแสดงถึงคำสัญญาที่ชาวเมืองมีให้แก่กันและมันก็เป็นคำสัญญาของตัวพวกเขากับหอคอยศิลาด้วยเช่นกัน”

 

“สัญญาอะไร?”

 

ฮันส์เริ่มอธิบายกฎแปลกๆของเมืองพัซเซิลนี้

 

“มนุษย์บางพวกก็มีความประสงค์ที่จะทำลายหอคอยศิลาของพวกเขาเช่นกัน”

 

คาร์ลเริ่มอมยิ้มออกมา ก่อนเอ่ยขึ้น

 

“เป็นเมืองที่น่าสนใจจริงๆ”

 

“น่าจะเป็นเช่นนั้นนะขอรับ? ตั้งแต่พวกเขาถูกทอดทิ้งจากพระเจ้าพวกเขาก็มุ่งมั่นที่จะทำทุกสิ่งให้สำเร็จด้วยกำลังของพวกเขาเอง การทำลายหอคอยศิลานั่นมันก็หมายถึงว่าพวกเขาได้ชนะเดิมพันแล้ว”

 

คาร์ลชอบการทำลายหอคอยศิลาเป็นอย่างมากและนึกถึงหอคอยศิลาที่ถูกทำลายลงตามหน้าบ้านของชาวเมืองบางส่วน

 

“หอคอยศิลาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า”

 

“ถูก....มันเป็นตัวแทนการแสดงความมุ่งมั่นของตัวเองมากขึ้น”

 

ถึงอย่างไรหอคอยศิลาก็มีความสำคัญมากแม้ว่าคุณจะทำลายมันลงก็ตาม

 

“ข้าเดาว่าเป็นเพราะพระเจ้าไม่ได้ทำตามคำอธิษฐานของพวกเขาต่างหาก”

 

“ใช่...นายน้อยพูดถูกขอรับ ถึงมันจะเป็นเรื่องเศร้าที่พวกเขาถูกทอดทิ้งแต่เรื่องนี้ก็ทำให้ผู้คนมีความหวังเพิ่มมากขึ้น”

 

คาร์ลก้มลงเพื่อสั่งให้ฮันส์ทำตามเขา

 

“มองลงไปสิ”

 

“อะไรนะขอรับ?”

 

คาร์ลชี้ไปที่หน้าอกของฮันส์ด้วยนิ้วของเขา

 

“ดูเหมือนลูกแมวมันจะโมโห”

 

“ห๊ะ?......”

 

ฮันส์อ้าปากค้างเมื่อก้มลงไปมองลูกแมวทั้งสอง มันกำลังอ้าปากโชว์ฟันอันแหลมคมของพวกมัน ดวงตาสีทองของมันส่องประกายอย่างกล่าวหาว่าฮันส์เป็นคนเลว ก่อนที่เขาจะวางทั้งสองลงกับพื้น

 

“โอ้....ตายแล้วทำไมพวกเจ้าทั้งสองถึงโมโหเช่นนี้?หรือข้าจะทำให้พวกเจ้าทั้งสองหงุดหงิดกันนะ?”

 

ฮันส์เริ่มยิ้มด้วยความอ่อนโยน เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าลูกแมวทั้งสองเป็นสัตว์อสูรจึงเข้าใจว่ามันเพียงโมโหเพราะความหิว แต่ถึงอย่างไรลูกแมวก็ไม่ได้โมโหเพราะเรื่องนั้นแต่มันกำลังโมโหกับเรื่องอื่น คาร์ลเริ่มนึกถึงสิ่งที่ลูกแมวได้พูดคุยกับเขาก่อนหน้านี้

 

‘ข้าได้ยินจากฮันส์มาก่อนหน้านี้’

 

‘ฮันส์เขาพูดให้ฟังจริงๆ’

 

‘ถ้าท่านไปอธิษฐานที่หอคอยศิลา คำอธิษฐานจะเป็นจริง’

 

‘เขาบอกว่าหอคอยศิลาสวยมาก’

 

ปึง! ปึง!

 

ออนดูเหมือนจะโกรธขณะที่กระทืบเท้าของเธอลงพื้นเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ฮงก็สะบัดหางของมันกระแทกกับพื้นด้วยเสียงอันดังเช่นกัน พวกเขาโกรธที่ฮันส์โกหกเรื่องหอคอยศิลาแต่ก็ดูเหมือนว่าฮันส์จะเข้าใจผิดอยู่

 

“ตายแล้ว....แมวน้อยที่น่ารักของข้า...เดี๋ยวข้าไปหาขนมแสนอร่อยมาให้พวกเจ้านะ! นายน้อยกระผมขอตัวไปหาอะไรให้พวกเขาทานก่อนนะขอรับ?”

 

“อืม...ตัวเจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ”

 

“กระผมจะรีบกลับมาขอรับหากมีอะไรขาดเหลือ...”

 

ฮันส์แจ้งว่าเขาจะรีบกลับมาหากมีอะไรขาดเหลือถึงแม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเขาเตรียมข้าวของทุกอย่างให้แก่นายน้อยเรียบร้อยแล้วก็ตามก่อนจะมุ่งหน้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

 

“รอน เจ้าก็ควรจะไปพักเช่นกัน”

 

รอนยังคงอยู่ในห้องและหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน

 

‘รู้สึกไม่ค่อยดีเลย.....’

 

คาร์ลเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ของรอนนัก รอยยิ้มของเขาทำให้คาร์ลรู้สึกอึดอัดกว่าปกติก่อนที่รอนจะเดินเข้ามาใกล้โซฟาที่คาร์ลนั่งอยู่และเอ่ยถามขึ้น

 

“ท่านเชวฮันจะออกจากที่นี่ในอีกสองวันหรือขอรับ?”

 

“อืม.....”

 

คาร์ลเริ่มยิ้มออกมาได้จากคำถามของรอน

 

“ทำไม? เจ้าไม่อยากให้เขาไป? หรือเจ้าต้องการจะไปกับหมอนั่นด้วย?”

 

รอยยิ้มของรอนเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เขารู้สึกถึงมันได้

 

“ทำไมกระผมต้องทำเช่นนั้นด้วยขอรับ? กระผมจะทิ้งนายน้อยได้เช่นไร? รอนคนนี้..อยากอยู่เคียงข้างนายน้อยเสมอ”

 

ประโยคนี้ของรอนทำให้คาร์ลรู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทันที

 

“เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ท่านเชวฮันจะไม่ได้ร่วมทางกับเราจนถึงเมืองหลวง กระผมคงต้องคุยกับเขาให้มากยิ่งขึ้นก่อนที่เขาจะจากไปและบารอคคงจะรู้สึกเศร้ามากที่จะไม่ได้เห็นเขาอีก”

 

คาร์ลรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคที่เหลือของรอน เขาไม่ค่อยอยากจะสนใจเรื่องนี้มากนักเพราะมันน่ารำคาญแต่เขาก็ยินดีที่มิตรภาพของรอน เชวฮันและบารอคได้พัฒนาขึ้นมาบ้างแล้ว

 

การแสดงออกของเชวฮันค่อนข้างอ่านยากแต่คาร์ลพอเดาออกว่าถ้าเชวฮันเกลียดใครเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือพูดคุยอะไรด้วยเลย คาร์ลคิดถึงแผนการของเขาก่อนจะยกยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

 

“ไม่หรอก เดี๋ยวก็ได้พบกันอีกครั้งที่เมืองหลวง พวกเจ้าก็ค่อยไปเที่ยวด้วยกันได้นี่”

 

‘หรือพวกเจ้าทั้งสามคนสามารถออกจากที่นี่ไปยังอาณาจักรของโรสลินได้นะ.เจ้าคิดว่ามันเป็นอย่างไร?มันยอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่?’

 

แน่นอนว่าคาร์ลไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเพียงแค่ส่งยิ้มให้รอนเท่านั้นส่วนตาแก่รอนก็ยังคงส่งยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนเดิม

 

“กระผมรอคอยที่จะได้พบท่านเชวฮันในเมืองหลวงยิ่งนักและตาแก่คนนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะเดินทางปลอดภัยจนถึงเมืองหลวง”

 

คาร์ลไม่ได้เชื่อถือกับสิ่งที่รอนพูดมากนัก ‘รอคอย’หรือแม้กระทั่ง ‘อยากให้ทุกคนปลอดภัย’ความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตาแก่คนนี้ได้อย่างไร

 

“ฮึ!”ลูกแมวทั้งสองส่งเสียงผ่านจมูกเบาๆเมื่อจ้องไปที่รอน ออนและฮงรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญเป็นอย่างมากที่รอนพยายามสอนทักษะการลอบสังหารให้พวกมันลับหลังคาร์ล

 

“........ตอนนี้เจ้าก็ออกไปได้แล้วล่ะ”

 

คาร์ลสามารถไล่รอนออกไปจากห้องได้อย่างง่ายดาย

 

“ฮันส์ขี้โกหก!”

 

“ข้าจะไม่ไว้ใจพ่อบ้านคนนี้อีกแล้ว!”

 

สองพี่น้องได้ระบายความโกรธของพวกเขาทันที คาร์ลไม่ได้สนใจพวกมันก่อนมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง

 

คาร์ลกำลังจ้องไปยังทิศที่ตั้งของถ้ำที่อยู่หัวมุมของเมืองพัซเซิล ถ้ำแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหอคอยศิลาที่ยังสร้างไม่สมบูรณ์และพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณ ‘พละกำลังแห่งดวงใจ’ และถ้ำแห่งนี้ควรมีบ้านหลังเล็กๆอยู่ด้วย

 

‘มันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่เขาอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเขามีอายุได้ 150 ปี’

 

นี่เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เกิดจากการถูกทิ้งให้ตายเพียงลำพังด้วยโรคชราและผู้ล่วงลับคนนี้คิดว่าพลังของเขาคือคำสาป คาร์ลลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยพร้อมกับเปิดประตูห้องออกไป

 

“โอ้...ตายแล้ว”

 

เป็นฮันส์ที่อยู่หน้าประตู เขามองเห็นรองหัวหน้าพ่อบ้านที่รีบวิ่งกลับมาหาเขาก่อนที่จะก้มมองแขนที่กระตุกด้วยความตกใจก่อนที่คาร์ลจะเอ่ยขึ้น

 

“ไปดูหอคอยศิลากันเถอะ”

 

ใบหูของลูกแมวทั้งสองเริ่มลู่ตกลงก่อนจะพากันวิ่งไปหาฮันส์เหมือนกับไม่ได้โกรธเคืองเขาแต่อย่างใดก่อนที่เขาจะตัดสินใจเลือกคนที่จะไปกับเขาในทันที

 

“จะมีพวกเราและเชวฮันที่ไปด้วย...อ้อ...เอาออนกับฮงไปกับเจ้าด้วย”

 

มนุษย์ที่เสียชีวิตลงเมื่อเขาอายุได้ 150 ปีต้องการที่จะสร้างหอคอยศิลาในถ้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของการเกิดพายุแห่งนี้

 

‘เมื่อก่อนมันอาจเป็นป่าแต่ตอนนี้มันเป็นเพียงลม?’

 

ใจกลางของถ้ำจะมีพายุเฮอร์ริเคนซึ่งดูเหมือนจะปรากฏออกมาจากที่ใดสักที่ในถ้ำแห่งนี้ชายชราได้ใช้เวลากว่า 100 ปีในการสร้างหอคอยศิลาท่ามกลางพายุเฮอร์ริเคนที่อยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตามเขาก็ทำไม่สำเร็จ

 

ชายชรามักจะทำลายหอคอยศิลาทุกครั้งเมื่อเขาสร้างมันใกล้จะเสร็จ เมื่อทำลายแล้วก็สร้างขึ้นมาใหม่เขาทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนจบชีวิตลงในวันที่สร้างหอคอยศิลาได้เพียงครึ่งทาง

 

ความต้องการที่จะทำเช่นนี้ของชายชราคืออะไร? คาร์ลไม่ได้สนใจ เขาเพิ่งคิดที่จะวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อมองหาบางอย่างเมื่อเดินทางไปถึงซากปรักหักพังของหอคอยศิลาในวันนี้

 

‘บางทีฉันอาจจะทำมันได้ดีถ้าจะสร้างมันขึ้นมา’

 

ตั้งแต่ที่เขาจะทำเช่นนั้นเขาก็ต้องการทำให้มันดูดี เขาต้องสนใจกับบางคนที่อาจพบเจอในกรณีที่เขาไปยังซากปรักหักพังของหอคอยศิลา

 

ใช้เวลาไม่นาน คาร์ล ลูกแมวทั้งสองตัว เชวฮันและฮันส์ก็เดินทางมาถึงทางเข้าซากปรักหักพังของหอคอยศิลา พวกเขาไม่ได้นำรถม้าที่มีสัญลักษณ์เต่าทองที่บ่งบอกความเป็นคนในตระกูลเฮนิตัสและคาร์ลก็สวมหมวกปิดบังใบหน้าโดยอ้างว่าตนไม่ชอบแสงแดด

 

‘พวกเขายังอยู่ที่นี่กันจริงๆด้วย’

 

คาร์ลสามารถหาคนที่เขากำลังมองหาได้ทันทีที่ย่างกรายเข้าไปยังซากปรักหักพังของหอคอยศิลา คาร์ลแอบซ่อนอยู่ด้านหลังของเชวฮันและฮันส์

 

ห่างจากที่พวกเขาอยู่ไม่ไกลนักมีชายหญิงสองคนแต่งตัวด้วยชุดที่สบายๆ ชายคนนั้นนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีผู้หญิงเป็นคนผลักรถเข็นให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า พวกเขาทั้งสองกำลังมุ่งหน้าออกไปจากซากหอคอยศิลานี้

 

พวกเขาไม่ได้สังเกตท่าทางที่ลับๆล่อๆของคาร์ล และค่อยๆเดินออกจากซากของหอคอยศิลาไปช้าๆชายคนนั้นหันหน้ากลับมามองผู้หญิงก่อนเอ่ยถามขึ้น

 

“ทำไมวันนี้เจ้าถึงอยากมาที่นี่หรือ?”

 

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน...ถ้ามันคือข้อความจากพระเจ้าหรือเรื่องไร้สาระก็ตามแต่ข้าฝันเหมือนเดิมมาสองวันแล้วและนั่นทำให้ข้าอยากมาที่นี่ ในฝันบอกว่าพวกเราจะได้เจอผู้มีพระคุณถ้าเรามาที่นี่.....บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณจะทำอะไรแต่ความจริงที่ว่าผู้มีพระคุณจะปรากฏตัวขึ้นมาในวันนี้”

 

“มีแม้กระทั่งคนที่พระเจ้าก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ด้วยหรือ?”

 

“ใครจะรู้?ครึ่งหนึ่งอาจเป็นจริงอย่างที่พระเจ้าบอกแต่อีกครึ่งอาจเป็นเรื่องไร้สาระก็ได้”

 

ผู้หญิงที่มีผมสีน้ำตาลสั้นระบายความหงุดหงิดออกมา

 

“เรื่องไร้สาระ? มันคือข้อความจากพระเจ้านี่...อ้อ...แล้วเจ้าไปได้ยินความลับจากพระเจ้าได้อย่างไร?”

 

คนที่มีปฏิกิริยาตอบรับที่งุนงงอยู่นี้เขาคือบุตรชายคนโตของมาร์คควิสสแตน ‘เทย์เลอร์ สแตน’

 

“ข้าไม่เหมือนนักบวชคนอื่นๆในเมืองพัซเซิลหรอกนะและใครจะสนใจข้อความจากพระเจ้ากัน?พระเจ้าเลี้ยงดูพวกเราหรือไง?จะมีผู้มีพระคุณมาช่วยเหลือคนเช่นเราได้อย่างไร?แน่นอนว่ามันต้องเป็นเรื่องโกหก...เอ้า!...ข้าหิวแล้ว...เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”

 

ผู้หญิงที่มีท่าทีที่หงุดหงิดอยู่นี้คือเพื่อนสนิทของเทย์เลอร์ เธอมีชื่อว่า ‘เคจ’ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่านักบวชหญิงผู้บ้าคลั่ง เทย์เลอร์มองไปที่เคจด้วยท่าทางที่เคร่งเครียดกว่าเดิม

 

“เคจ...ข้ารู้สึกเหมือนอยากดื่มเบียร์”

 

“จริงเหรอ? ข้าก็อยากกินหมูรมควันเช่นกัน”

 

พวกเขาละสายตาไปที่อื่นด้วยท่าทีที่เคร่งเครียด เทย์เลอร์ชี้นิ้วไปข้างหน้าก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง

 

“มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวได้อย่างยอดเยี่ยม ไปกันเถอะ!ผลักมัน!เร็วเข้า !มันจะเป็นการรักษาที่ยอดเยี่ยมสำหรับข้า ”

 

“ตายแล้ว....การรักษาที่ยอดเยี่ยมของเจ้าเช่นนั้นเหรอ? มา! นักบวชหญิงคนนี้จะทำให้ดีที่สุดเพื่อพาเจ้าไปรักษาที่นั่น”

 

ทั้งสองคนเริ่มหัวเราะขึ้นเมื่อพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆออกไปจากที่นี่

 

คาร์ลไม่ได้ยินเสียงการสนทนาของคนทั้งคู่เพราะพวกเขาอยู่ห่างกันมาก แต่เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการจดจำใบหน้าของทั้งสองคนที่ยังคงหัวเราะกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้

 

‘ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไรและฉันต้องแน่ใจว่าจะเลี่ยงพวกเขาได้’

 

เนื่องจากคนทั้งคู่ไม่ทราบว่าคาร์ลเป็นใคร เขาจึงต้องทำให้แน่ใจว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงสองคนนั้นได้ในอนาคต

รีวิวผู้อ่าน