บทที่ 24 ตอบแทนบุญคุณ 4
มังกรดำค่อยๆคลานกลับเข้าไปทางเดิมที่มันออกมา ในขณะที่คาร์ลจ้องมองมังกรดำที่ไม่ยอมเชื่อฟังเขาอยู่ เขาก็ยังคงได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ดังแทรกเสียงลมแรงเข้ามายังหูของเขาได้
“........ข.....ข้าแค่เดินผ่านมา”
“เตราะ!”
มังกรดำตัวน้อยสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงเดาะลิ้นของเขา ในตอนนี้เขาไม่มีเวลาที่จะสนใจมันมากนัก ลมในถ้ำจะมีกำลังแรงที่สุด 3 ชั่วโมงและลมที่มีกำลังแรงน้อยที่สุด 3 ชั่วโมง และนี่เป็นช่วงเวลาที่แรงกำลังของมันเริ่มอ่อนลงแล้ว ถึงจะเป็นเช่นนั้นมันก็ยังคงมีกำลังที่แรงอยู่เมื่อเขาเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของมัน
ฟิ้ว วิ้ว วิ้วว วิ้ว~~
“มันน่ากลัวมาก”
พายุที่พัดโหมกระหน่ำอยู่นี้ยังคงมีความรุนแรงมากแม้ว่ามันจะเข้าสู่ระยะที่ถูกเรียกว่า “ระยะอ่อนกำลังลง”แล้วก็ตาม ในนิยายได้กล่าวว่าชายชราที่มีอายุ 150 ปีได้ฝ่าเข้าไปในพายุเพื่อไปหาหอคอยศิลาในตอนที่มันอยู่ในระยะที่อ่อนกำลังลงนี้เช่นกัน
คาร์ลหันกลับไปมองบริเวณกลางถ้ำที่มีหลุมขนาดใหญ่ตรงกลางของมันมีหอคอยศิลากองซ้อนทับกันได้เพียงครึ่งทางดูเหมือนจุดนั้นจะไม่มีพายุพัดเข้าไปถึงและบริเวณรอบๆหอคอยศิลาที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นี้ยังมีก้อนหินขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกับไปวางอยู่พื้นที่โดยรอบของมัน
‘ฉันต้องนำหินพวกนั้นไปวางลงบนหอคอยศิลาที่ยังสร้างไม่เสร็จนั่นสินะ’
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! ลมที่พัดแรงจากพายุกระทบเข้ากับโล่ ถึงแม้มันจะเป็นโล่ที่โปร่งใสจนแทบจะไม่สามารถมองเห็นมันชัดได้แต่เสียงที่ดังขึ้นก็เหมือนกับลมได้ปะทะเข้ากับโลหะจริงๆ
เสียงที่ดังขึ้นทำให้มังกรดำต้องหันกลับไปมองที่คาร์ลช้าๆ
“......แต่ร่างกายเจ้ามันอ่อนแอ”
มังกรดำมองเห็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของคาร์ล แม้ว่าโล่และปีกของมันจะสามารถปกป้องตัวเขาได้แต่มันก็ไม่สามารป้องกันลมได้ทั้งหมด ลมที่ลอดผ่านเข้าไปกระทบเข้ากับเสื้อผ้าของเขาส่งผลให้มันถูกสะบัดอย่างรุนแรง ลมที่ลอดผ่านด้านล่างของโล่ทำให้เขาห้องหยุดการเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตามคาร์ลก็ยังคงมุ่งมั่นเดินต่อไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคงและมังกรดำก็สามารถมองเห็นมันได้
คาร์ลกำลังยิ้มอย่างพอใจ มนุษย์ธรรมดาๆเช่นเขาไม่มีความแข็งแกร่งที่จะสามารถต่อกรกับพายุเฮอร์ริเคนนี้ได้ เขามันมีแต่ความอ่อนแอ ความแข็งแกร่งก็น้อยกว่าลูกแมวสองตัวนั้นหรือแม้แต่มนุษย์คนอื่นๆที่ร่วมเดินทางมาพร้อมกันเสียอีก เขากำลังก้าวฝ่าลมแรงนี้เข้าไปอย่างช้าๆด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
มังกรน้อยไม่เคยเห็นโล่เงินเช่นนี้มาก่อนรวมทั้งปีกสองข้างนั้นด้วย มังกรน้อยก้มมองดูปีกของมันซึ่งมีความแตกต่างจากปีกที่มันเห็นบนร่างของคาร์ลเป็นอย่างมาก ปีกนั่นมีความสวยงามและมีพลัง มันสงสัยว่าพลังนั่นมันคืออะไรกันนะ?
ถึงจะเป็นเช่นนั้นมังกรน้อยก็ไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่โล่ศักดิ์สิทธิ์หรือปีกที่สวยงามคู่นั้น มันสนใจกับรอยยิ้มของคาร์ลต่างหากและตอนนี้เป้าหมายที่มันจ้องมองอยู่ก็ยิ่งเพิ่มรอยยิ้มกว้างอีกเท่าตัว
‘ต้องทำได้สิ.....มันยังคงปลอดภัย’
มันเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยากและล่าช้าเพราะแรงของลมที่ยังรุนแรงอยู่ แต่ถ้าให้เทียบกับบารอคที่ต้องเกือบตายจากการที่รอนสอนศิลปะการใช้ดาบให้แล้วนั้น สิ่งที่เขาเผชิญในตอนนี้อาจเป็นของเล่นเด็กๆได้เลยทีเดียว มันเป็นสิ่งที่ทำให้คาร์ลรู้สึกว่ามันดีที่สุดหากจะได้รับอะไรบ้างอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
ไม่มีความเคร่งเครียดทางร่างกายและจิตใจเมื่อเขาได้ใช้โล่นิรันดร์กาลนี้ มันอาจจะมีช่วงเวลาที่อาจแตกหักได้แต่ในตอนนี้ก็ยังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่คับขันจนเกิดอันตรายได้เช่นนั้น
‘มันจะผลักฉันกลับออกไป’
โล่จะได้รับแรงผลักจากลมทำให้ถอยกลับไป จะให้พูดง่ายๆก็คือเขาจะถูกมันผลักอยู่แบบนี้หลายครั้งนั่นทำให้เขาลดพลังของโล่และขยายขนาดของมันให้เพิ่มขึ้นและเขาก็มีแผนที่จะค่อยๆลดขนาดของโล่หากเขาต้องการดันลมแรงนั้นกลับคืน
อย่างไรก็ตามโล่นิรันดร์กาลสามารถทำงานได้ดีเกินที่คาร์ลคาดไว้ส่งผลให้เขารู้สึกหงุดหงิดบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเข้ามาถึงจุดกึ่งกลางพายุเฮอร์ริเคนนี้แล้วจึงต้องสลัดอาการหงุดหงิดเหล่านั้นออกไป
ในนิยายได้กล่าวว่าคุณจะได้ยินเสียงบางอย่างเมื่อใกล้มาถึงจุดศูนย์กลางของพายุเฮอร์ริเคนและมันควรที่จะเป็นเสียงชายชรา
คาร์ลกำลังรอคอยเสียงนั้นอยู่และพายุเฮอร์ริเคนจะต้องเพิ่มความรุนแรงขึ้นเมื่อมีเสียงนั้นดังขึ้น
-ข้าเสียใจ-
เขาได้ยินเสียงที่ดังขึ้นแต่มันรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย
-ฮือๆๆๆๆๆ......ข้าเสียใจ-
มันเป็นเสียงชายชราที่แสนเศร้า
“เตราะ”
คาร์ลเดาะลิ้นของเขา ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เป็นเรื่องธรรมดา ทำไมเทย์เลอร์จึงคิดว่าเสียงชายชราคนนี้เป็นเสียงที่กังวาลและจริงใจกัน? คาร์ลไม่สามารถเข้าใจความคิดของเทย์เลอร์ได้เลย
คาร์ลหยุดการเดาะลิ้นของตนและหยุดการเคลื่อนไหวใดๆ
-มันเป็นพลังที่ข้ารู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ข้าขอให้เจ้าไม่ได้มีพลังนี้เถิด-
‘ฮึ้ม?’
‘คนที่พลังที่คุ้นเคยเช่นนั้นหรือ?’
ประโยคนั้นเรียกความสนใจได้จากคาร์ลเป็นอย่างดี ในเวลาเดียวกันนั้นลมก็เริ่มรุนแรงเพิ่มขึ้นและปกคลุมเข้าเต็มพื้นที่ที่คาร์ลยืนอยู่
เคร้ง!เคร้ง!เคร้ง!เคร้ง! เสียงลมยังคงกระทบกับโล่ที่โปร่งใสจนเกิดเสียงดังขึ้น แต่สิ่งที่คาร์ลสนใจไม่ใช่เสียงที่เกิดจากลมนี้แม้ว่าเสื้อผ้าและเส้นผมจะยังคงพลิ้วไปกับความเร็วลมก็ตาม
‘เขากำลังพูดถึงเกี่ยวกับโล่นิรันดร์กาลใช่หรือไม่?’
สิ่งเดียวที่คาร์ลพอจะเดาได้เกี่ยวกับ ‘พลังที่คุ้นเคย’ น่าจะเป็นโล่นิรันดร์กาลที่อยู่ในตัวเขาในตอนนี้ มันไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้กับเทย์เลอร์ตามเนื้อหาในนิยาย หรือว่าเจ้าของพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้อาจจะรู้จักกับเจ้าของโล่นิรันดร์กาล? ความเป็นไปได้หลายอย่างต่างวิ่งเข้ามาในห้วงความคิดของเขา
อย่างไรก็ตามคาร์ลยังคงเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าต่อไปอีกครั้ง หากเขาช้าไปกว่านี้ลมอาจจะทวีความรุนแรงขึ้นได้
-ข้าทรยศต่อสหายของข้า! ข้ามันเลว!ฮือๆๆๆแต่ตัวข้าก็ยังคงมีชีวิตอยู่เพียงลำพังและแก่ตายในที่สุดมันน่าอายมากแค่ไหนเจ้ารู้หรือไม่?-
คาร์ลยังคงได้ยินเสียงของชายชราอย่างต่อเนื่องซึ่งมันค่อนข้างลำบากในการก้าวเท้าไปข้างหน้าทีละก้าวเช่นนี้
-ข้าหวังว่าทุกคนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นความปรารถนาของข้าก็ไม่สามารถเป็นไปได้ ข้าทำได้เพียงแต่........เสียใจและร้องไห้! นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าไม่สามารถสร้างหอคอยศิลาให้สำเร็จได้-
‘มันน่ารำคาญ’
คาร์ลพบว่าเสียงร้องไห้คร่ำครวญของชายชราเป็นสิ่งที่น่ารำคาญมาก เสียงแบบนี้เป็นเสียงของคนที่อยากจะตายซึ่งมันเป็นแบบที่เขาเกลียดเป็นอย่างมาก คนที่ฟุ้งเฟ้อเจ้าสำราญเช่นเขายังดีกว่าเสียอีก
คาร์ลหันกลับมาสนใจกับร่างกายของตนเมื่อรู้สึกถึงแรงลมผลักเขากลับไปด้านหลังอีกครั้งความแรงของมันทำให้เขาได้รับแรงกระแทกไปที่ขาของเขาแต่เขาก็ยังคงก้าวต่อไปพร้อมกับเสียงชายชราที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายในตอนนี้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ มันมีเพียงความสามารถในการปกป้องร่างกายเขาเท่านั้นไม่ได้มีประโยชน์ในลักษณะอื่นอีก ฉันมันเป็นขยะไร้ค่าจริงๆ!
คาร์ลไม่สนใจเสียงของชายชราที่ยังคงพล่ามเข้ามาในห้วงความคิดของคาร์ลตลอดทางที่เขาก้าวเดิน พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ปกป้องเขาคือสิ่งที่สำคัญที่สุดใครจะไปสนใจในเรื่องที่ทำให้ตัวเองเป็นเพียงขยะไร้ค่ากันไม่มีสิ่งใดที่สำคัญตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่
เพียงแค่ห้าก้าวเท่านั้นเขาก็จะถึงจุดศูนย์กลางของพายุเฮอร์ริเคนนี้แล้ว
บูม!บูม!บูม!บูม!บูม!
เสียงลมที่ประทะกับโล่มีเสียงที่ดังรุนแรงขึ้นมันเหมือนกับมีคนเข้ามาต่อยกับโล่นี้ด้วยแรงมหาศาล
‘เหมือนมันกำลังจะแตกให้ได้’
คาร์ลคิดว่าตอนนี้ลมมีความรุนแรงที่จะสามารถทำให้โล่แตกได้ แต่มันก็ยังไม่มีความเสียหายใดๆนอกจากว่าจะผลักให้เขากลับหลังไปเท่านั้น เมื่อเขามีความรู้สึกว่าตอนนี้ลมเหมือนจะสามารถตัดร่างกายของเขาให้ขาดออกได้โดยง่ายเขาก็จะเปลี่ยนไปตระหนักถึงสิ่งอื่นเช่นกัน
‘ฉันจะไม่ตายแม้ว่าลมจะตัดฉันเหมือนมันเป็นใบมีดก็ตาม’ และความจริงอีกเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้คือชายชราเจ้าของพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้เป็นคนที่พูดมากเหลือเกิน
คาร์ลรีบปรับลดขนาดของโล่ลง บูม!บูม! ตอนนี้โล่มีขนาดเล็กลงแต่พลังมันกลับแกร่งขึ้นกว่าเดิม มันสามารถปะทะและต้านแรงลมที่กำลังโหมกระหน่ำนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม
คาร์ลเอื้อมมือไปจับจุดที่โปร่งใสของด้านในโล่ พร้อมกับก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ก้าวที่หนึ่ง
-การสร้างมันขึ้นมาใหม่คือคำสาปแช่ง-
ก้าวที่สอง
-หัวใจของข้ายังคงเต้นอยู่ตลอดแต่ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้-
ก้าวที่สาม
-นั่นเป็นเพราะข้ากลัวว่าข้าจะตาย-
ก้าวที่สี่
-ข้ากลัวความเจ็บปวดเพราะข้าได้รับบาดเจ็บอยู่ตลอดเวลาและแม้แต่ความตายที่ทำให้ความเจ็บปวดนั้นหายไปข้าก็ยังกลัว-
ในที่สุด.............
เขาก็ก้าวเข้าสู่ก้าวสุดท้ายในก้าวที่ห้า
ซ่า!ซ่า!ซ่า!
ในจุดศูนย์กลางของพายุมีเสียงคล้ายฝนตกกระทบลงมารอบๆตัวของคาร์ล นี่คือตาของพายุจุดศูนย์กลางของมันคือจุดที่ลมอ่อนกำลังที่สุด มันสงบมาก เขายังคงได้ยินเสียงชายชราแทรกผ่านเข้ามาตามสายลมที่พัดอย่างช้าๆนี้อยู่ดี
-ข้าเลือกที่จะโยนทิ้งทุกสิ่งเพื่อให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป-
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ชายชราได้กล่าวออกมา
“เตราะ”
‘ใครจะสนใจเรื่องอื่นกันเล่า ชีวิตต้องมาก่อนเสมอ’
ชายชราคนนี้พูดแต่เรื่องไร้ประโยชน์ คาร์ลเดาะลิ้นของเขาอีกครั้งก่อนที่จะก้มลงมองโล่นิรันดร์กาลที่หน้าอกของตนเอง แสงสีเงินรอบๆตัวเขาหายไปอย่างรวดเร็ว
เขามุ่งหน้าไปยังหอคอยศิลาที่ถูกสร้างไว้เพียงครึ่งและคุกเข่าลงตรงหน้าของมัน
มันเป็นหอคอยศิลาที่ทำมาจากหินที่หาได้ง่ายๆตามภูเขาเหล่านี้ อย่างไรก็ตามหินทั้งหมดล้วนเป็นสีดำมันไม่ได้มีความต่างจากต้นไม้กินคนเพราะมันคือสิ่งที่มีตั้งแต่อดีตต่างจากหินทั่วไปรวมไปถึงพายุที่โหมกระหน่ำในถ้ำนี้ก็เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่อดีตเช่นกัน
“เอาแบบนี้ล่ะกัน”
คาร์ลผู้ที่มีความคิดว่าจะก่อหอคอยศิลาให้มีความสวยงามที่สุดจำต้องเปลี่ยนความคิดทันที สถานการณ์ในตอนนี้มันชวนหงุดหงิดจนไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ในการสร้างมันให้สวยงามแล้ว เขาหยิบถุงมือสองข้างออกจากกระเป๋าและสวมมันเข้าไป ก่อนที่จะค่อยๆหยิบก้อนหินวางซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆตามแนวของหอคอยศิลาที่มีอยู่เดิม
แกร็ก! แกร็ก! แกร็ก! หอคอยศิลาถูกสร้างให้สูงขึ้นด้วยหินทีละก้อน
มันใช้เวลาไม่นาน แม้เทย์เลอร์จะใช้เวลาในการสร้างหอคอยศิลานี้ไม่นานนักแต่สำหรับเคจที่รออยู่ด้านนอกตาพายุนี้ก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก มันเป็นเหมือนกันหมดไม่ว่าจะพลังศักดิ์สิทธิ์ใดผู้ที่ต้องการพลังของมันจะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่นั้นเพียงผู้เดียว
“มันก็ง่ายดีนี่นา”
คาร์ลหยิบก้อนหินสีดำก้อนสุดท้ายขึ้นมาและวางมันไว้บนยอดของหอคอยศิลา
ในตอนนั้นเอง.............
ชิ้ง!
หินสีดำค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวซึ่งเป็นเวลาเดียวกับตอนที่ขาลุกขึ้นยืนก่อนมองไปรอบๆบริเวณนั้น
ลมค่อยๆลดความแรงลงอย่างช้าๆ
“.....ห๋า?”
คาร์ลไม่ได้สนใจเสียงของมังกรที่ร้องขึ้นด้วยความแปลกใจและยืนรอจนลมเงียบสงบลงในที่สุด ก่อนที่จะยกมือกอดอกเมื่อได้ยินเสียงชายชราอีกครั้ง เขาคงไม่ทางเลือกจริงๆสินะ
-ข้าพยายามต่อสู้กับพวกเขา แต่ข้าไม่รู้ว่าข้าอ่อนแอมากเกินไปต่อความเจ็บปวด พวกเขาไม่ใช้ผู้รับใช้พระเจ้าด้วยซ้ำ ข้ารู้เพียงว่าหลังจากที่เราได้แยกทางกัน ข้าก็อยู่เพียงลำพัง-
คำพูดของชายชราทำให้คาร์ลสนใจมัน จู่ๆเขาก็นึกถึงคำพูดของเจ้าของโล่นิรันดร์กาลขึ้นมาได้
~ข้าถูกเนรเทศออกจากที่นั่น พวกมันกล่าวว่าข้าเป็นคนตะกละโลภมาก! ตะกละตูดมันสิ...แน่นอนว่าข้าออกมาพร้อมกับเพื่อนของข้า..พวกเรากำลังวางแผนที่จะทำให้โลกนี้กลับสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ......~
~ ข้าไม่คิดว่าข้าจะยอมแพ้ต่อการได้ทดลองลิ้มลองรสชาติแสนอร่อยต่อให้ข้าจะอ้วนเพียงใดก็ตาม....แต่มันไม่ยุติธรรมที่ข้าได้กินเพียงแต่ของสกปรกและจบลงด้วยความตาย ~
~ พวกคนที่อยู่ในป่าแห่งความมืดเรียกตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าแต่พวกเขาให้ข้ากินเพียงอาหารขยะเท่านั้น ~
เขารู้สึกแย่ที่ได้รับรู้อะไรบางอย่างที่เขาไม่ควรจะรู้ เขารู้สึกแปลกๆว่าสิ่งที่เขาได้ยินมานั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรบอกใครไปตลอดชีวิต
คาร์ลเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อเสียงของชายชรายังคงดังต่อไป นั่นเป็นเสียงที่คาร์ลได้ยินเพียงคนเดียวจึงทำให้มังกรเกิดความงุนงงเมื่อลอบมองมาที่คาร์ลอย่างเงียบๆ
-ข้าเรียงหินพวกนั้น ข้าเรียงพวกมันเพราะหวังว่าจะทำให้ข้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าหวังว่าข้าจะมีความสุขแต่แล้วข้าก็พังมันลง-
-ข้าเกลียดตัวเองที่เป็นคนเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง หลังจากที่ข้าทรยศต่อเพื่อนที่ข้ารักและหนีออกมาจากเขา-
“เฮ้อ...”
คาร์ลถอนหายใจยาว ชายชราคนนี้ช่างหน้าผิดหวังเสียจริงก่อนที่คาร์ลจะเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“ธรรมชาติของมนุษย์ก็มักจะเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องธรรมดา”
เสียงของชายชราเงียบหายไปครู่ใหญ่
‘มันจบแล้วสินะ?’
คาร์ลเริ่มยิ้มออกมาได้ เขามั่นใจว่าเสียงของชายชราจะหายไปในที่สุด แต่...
-เอ่อ.....พี่สาวของข้าก็พูดอย่างเดียวกัน เธอเป็นพี่สาวที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เธอน่าเชื่อถือมากกว่าคนอื่นอา..พี่สาวของข้า ฮือๆๆๆๆๆ-
ชายชรากำลังร้องไห้อย่างน่าเวทนา
“ข้าละอยากจะบ้าตาย”
ปัง!ปัง! คาร์ลใช้เท้าของตนกระทืบไปที่พื้นอย่างแรง เขาไม่ต้องการที่จะยืนอยู่ที่นี่อีกแล้ว หลังจากที่ชายชราร้องไห้ได้ครู่หนึ่งเขาก็หยุดร้องและแสดงความขอบคุณต่อคาร์ล
-เจ้าคือคนที่มีพลังที่ข้าคุ้นเคย บุคลิกที่หยาบคายเช่นนี้มันทำให้ข้าคิดถึงพี่ชาย ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้ามากที่เป็นคนหยาบคายเช่นนี้-
และในที่สุดชายชราก็กล่าวประโยคสุดท้ายที่คาร์ลรอคอยนี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่ชายชราพูดกับเทย์เลอร์ในนิยาย
-ทำลายมันซะแล้วเจ้าจะเอาชนะขีดจำกัดของตัวเจ้าได้-
คาร์ลยกยิ้มด้วยความสมใจก่อนจะใช้เท้าเตะไปยังหอคอยศิลาทันทีโดยไม่มีอาการลังเลใดๆ
เคร้ง!
พลั่ก!
บูม!
ก้อนหินสีขาวหลุดออกไปกระแทกที่พื้นและผนังถ้ำ มังกรที่เฝ้ามองคาร์ลอยู่สะดุ้งตกใจพลางคิดว่าเขาบ้าไปแล้วหรือไง? แต่สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามันในเวลาต่อมาก็ทำให้มันอ้าปากค้างแทบทันที
“ว้าววววววว”
หอคอยศิลาถูกพังลงแล้ว
มีแสงสีขาวลอยขึ้นมาจากด้านล่างของหอคอยศิลา
ครืดดดดดดดดดด
การสั่นสะเทือนอย่างแผ่วเบาที่กระเพื่อมขึ้นตลอดทั้งถ้ำและคาร์ลสามารถสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนของมันได้ และตอนนั้นแสงสีขาวก็พุ่งตรงไปยังตำแหน่งของหัวใจเขาทันที
“เฮือกกกกกก”
คาร์ลปล่อยลมหายใจออกมาช้าๆก่อนจะก้มลงไปแหวกเสื้อตรงหน้าอกของตนออก รอยสักโล่สีเงินที่อยู่บนหน้าอกของเขาได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยรอยสักรูปหัวใจสีแดง
คาร์ลรู้สึกได้ทันทีถึงพลังความแข็งแกร่งของร่างกายตนเองในตอนนี้ พลังที่ได้รับมานี้คือ ‘พละกำลังแห่งดวงใจ’มันจะทำให้โล่นิรันดร์กาลแข็งแกร่งขึ้น เขาจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนปกติแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บก็ตาม ถึงแม้ว่าโล่นิรันดร์กาลนับว่าเป็นพลังที่เป็นจุดแข็งของร่างกายมนุษย์มากเช่นกันพลังความแข็งแกร่งที่เขาได้รับมาใหม่นี้มันก็มีมากจนสามารถทำให้พลังโล่นิรันดร์กาลที่เขาได้รับก่อนหน้านี้หายไปชั่วครู่ได้
คาร์ลได้นำโล่นิรันดร์กาลกลับมาอีกครั้ง
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ”
คาร์ลยกยิ้มเต็มใบหน้า ลวดลายบนโล่ได้เปลี่ยนเป็นลายหัวใจซึ่งมีจุดต่างกับรอยสักที่อยู่บนหน้าอกของเขาเพียงแค่มันเป็นหัวใจสีเงินไม่ใช่สีแดงก่อนที่จะเก็บโล่กลับเข้าไปและเริ่มเดินออกจากตำแหน่งนั้นทันที
“เจ้า....”
คาร์ลเดินเข้าไปหามังกรที่กำลังทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและมันยังคงจ้องมองไปที่ผนังถ้ำอยู่เช่นนั้น สายตาของคาร์ลยังคงจ้องไปที่มังกรที่เปลี่ยนจากการมองไปที่ผนังถ้ำมาเป็นคลานบนพื้นดินแทน เขาตัดสินใจเอ่ยถามมันด้วยความหนักใจเหมือนกับว่าเขาได้ขว้างก้อนหินลงทะเลสาบเสียแล้ว [1]
“เจ้า...ต้องการที่จะติดตามข้าไปงั้นหรือ?”
“.....เจ้ามันเป็นคนที่อ่อนแอจนต้องได้รับการคุ้มครอง..แต่..ข้าไม่ชอบมนุษย์”
มังกรตอบแบบนั้นก่อนที่ร่างของมันจะค่อยๆเลือนหายไป มันกลับมาใช้มนตร์ล่องหนอีกครั้งหนึ่ง คาร์ลแทบจะตะโกนออกมาเมื่อเห็นมังกรค่อยๆหายไป
“...มันไม่เข้าท่าเลยนะ...เจ้ามังกรบ้านี่”
คาร์ลยังไม่แน่ใจว่าตนจะรับมือกับคำถามของคนอื่นอย่างไรดีเกี่ยวกับมังกรตัวนี้ มันไม่เข้าท่าเท่าไหร่เพราะมังกรค่อนข้างเป็นสิ่งอันตรายแต่เขาก็ไม่สามารถละเลยมันไปได้ภาพที่มันพยายามกระโดดมาช่วยเหลือเขายังคงติดตาเขาจนถึงตอนนี้
คาร์ลมองไปรอบๆถ้ำอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีลมพายุพัดโหมกระหน่ำอีกแล้ว ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปยังเส้นทางเดิมเพื่ออกจากถ้ำไป แน่นอนว่าเขาต้องคลานออกไปยังปากถ้ำที่มีเถาวัลย์เลื้อยบังไว้โดยคลานตามร่องรอยของตนที่ปรากฏให้เห็นก่อนหน้าและสามารถออกจากถ้ำได้อย่างถูกต้องตามตำแหน่งเดิม
เขามองไปรอบๆและเริ่มพูดขึ้นในตอนที่กำลังก้าวเดินอยู่ สายตาของเขาจ้องไปยังพื้นดินที่มีหญ้า
“ข้าเห็นเจ้ายืนอยู่ที่พื้นหญ้า....”
เขาสามารถมองเห็นรอยเท้าเล็กๆสี่เท้าบนพื้นหญ้าได้ สิ่งที่ปรากฏบนนั้นเป็นอุ้งเท้าของมังกรทั้งสี่เท้า ก่อนที่รอยเท้าทั้งสี่จะหายไปอย่างรวดเร็ว มังกรได้บินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว คาร์ลเริ่มส่ายหัวของตนเบาๆ
‘นี่ครอบครัวของฉันจะเริ่มขยายใหญ่ขึ้นแล้วสินะ’
คาร์ลไม่รู้จะช่วยเรื่องนี้ได้อย่างไร เขาถอนหายใจยาว.....เห็นได้ว่ามังกรยังคงติดตามเขาไปในสภาพล่องหนอยู่ ทำไมมังกรตัวนี้ถึงได้อ่อนหัดกับการใช้มนตร์ล่องหนนะ? เขาคิดว่ามังกรทุกตัวจะฉลาดแต่ก็คงต้องยกเว้นมังกรตัวนี้ไว้ตัวหนึ่งละกัน
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินลงมาถึงปากทางขึ้นภูเขา คาร์ลได้มองเห็นสีหน้าของเชวฮันที่มองเขาอย่างเงียบๆก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาเหมือนทนไม่ได้
“ท่าน....ไปกลิ้งรอบภูเขามาเหรอ?”
‘ฮึ...ให้ตายสิ’
ลมที่พัดอย่างรุนแรงทำให้ผมของเขายุ่งเหยิงไปหมดและเสื้อผ้าของเขาก็สกปรกหลังจากที่คลานผ่านทางเข้าถ้ำที่มีทั้งหินดินและทรายนั่น ก่อนจะเอ่ยตอบเชวฮันอย่างเคร่งขรึม
“ใช่....ข้าไปกลิ้งรอบภูเขามา”
เชวฮันมองมาที่คาร์ลด้วยความห่วงใยก่อนที่คาร์ลจะเลี่ยงหลบสายตานั้นของเชวฮัน
คืนนั้นคาร์ลสั่งให้ลูกแมวเป็นไปรษณีย์ส่งจดหมายโดยตัวอักษรที่เขียนในจดหมายถูกเขียนขึ้นด้วยพลังเวทย์ทำให้ไม่สามารถกำหนดรูปร่างของลายมือผู้เขียนได้แน่ชัด
“ให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นพวกเจ้าได้”
จดหมายฉบับนั้นเป็นความหวังใหม่ของนักบวชหญิง’เคจ’ และบุตรชายคนโตของมาร์ควิสสแตนนามว่า ‘เทย์เลอร์’
[1] หมายความว่าลงทุนทำในสิ่งที่เปล่าประโยชน์คล้ายกับสุภาษิตไทยตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ