px

เรื่อง : ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family)
บทที่ 34  นิ่งเข้าไว้  1


บทที่ 34  นิ่งเข้าไว้  1 

 

 

 

คาร์ลจ้องไปยังถ้วยน้ำชาที่รอนนำมาให้เขา

 

“....ชามะนาวก่อนนอนงั้นรึ?”

 

“ขอรับนายน้อย”

 

คาร์ลไม่เคยดื่มชามะนาวก่อนเข้านอน เขารู้สึกไม่อยากจะดื่มมันแต่ก็ยกถ้วยชามะนาวขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้สึกถึงสายตาของรอนที่จ้องมองเขาเมื่อเขาเริ่มจิบชามะนาวเข้าปาก

 

หลังจากนั้นรอนก็เริ่มพูด

 

“นายน้อย....กระผมมีเรื่องที่จะขอร้องได้หรือไม่?”

 

“แค่ก!แค่ก! อะไรนะ? ขอร้อง?”

 

ดวงตาของคาร์ลเปิดกว้างขึ้นทันทีที่ได้ยินว่ารอนมีเรื่องที่จะขอร้องเขาก่อนจะหันกลับไปมองรอนอย่างรวดเร็ว รอนยังคงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้าของเขา แววตาของคาร์ลเริ่มขุ่นมัวและเริ่มคิดถึงเรื่องนี้

 

‘ตาแก่คนนี้มีเรื่องที่จะขอร้องคนอย่างฉันนี่นะ?คนที่เขามองว่าเป็นตัวไร้ประโยชน์เช่นนี้นี่หรือ’

 

คาร์ลรู้สึกไม่สามารถที่จะอธิบายถึงลางสังหรณ์ของตนได้ เขารู้สึกเหมือนคนที่พยายามจะกำจัดก้อนเนื้อบนใบหน้าของตนแต่จบลงด้วยการมีก้อนเนื้อเพิ่มขึ้นมาสองก้อน[1] หรือแม้แต่ความรู้สึกเช่นเดียวกับคนตัดไม้จอมโลภมากที่อ้างว่าขวานทองและขวานเงินเป็นของตนและจบลงด้วยการกลับบ้านมือเปล่าโดยที่ไม่ได้แม้แต่ขวานของตัวเองกลับคืน[2]

 

คาร์ลพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลงก่อนจะเอ่ยถามด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย

 

“ตกลง...แล้วมันคืออะไร?”

 

รอนได้ส่งคำร้องขอของตนให้แก่คาร์ลโดยทันที

 

“...กระผมขอลาพักผ่อนสักสองวันได้ไหมขอรับ?”

 

“โอ้....”

 

คาร์ลอุทานออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเขารู้สึกราวกับว่าก้อนเนื้อได้หลุดออกจากใบหน้าของตนและได้รับของขวัญเป็นขวานสีเงินและขวานสีทองในเวลาเดียวกัน คาร์ลวางถ้วยชามะนาวลงและคว้ามือของรอนมาจับเอาไว้ก่อนจะพูดอย่างรวดเร็วกว่าปกติที่เขาเคยเป็น

 

“ใช่แล้ว...มันเป็นความคิดที่ดีมาก...รอนเจ้าทำงานหนักมานานหลายสิบปี....เจ้าต้องคอยดูแลนายน้อยที่ทำตัวเป็นขยะเช่นข้ามาโดยตลอด..ถ้าเจ้าต้องการพัก..เจ้าสามารถพักได้นานตราบที่ตัวเจ้าต้องการ..เจ้าสมควรเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับผลตอบแทนเช่นนี้”

 

ใช่แล้ว..คาร์ลต้องการให้รอนหยุดพักให้นานๆแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นรอนจะต้องกลับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น่ากลัวในเมืองหลวงเพื่อที่จะเข้าร่วมกับเชวฮัน ดังนั้นสองวันถือได้ว่าสมบูรณ์แบบแล้ว คาร์ลกำลังมองไปข้างหน้าอย่างสุขใจเมื่อนึกถึงความสนุกของตัวเองที่จะเกิดขึ้นได้อีกสองวันข้างหน้าโดยไม่มีใบหน้าของนักฆ่าเช่นรอนคอยกวนใจ

 

รอนมองไปที่คาร์ลที่กำลังจับมือของเขาอย่างกระตือรือร้นด้วยความสงสัย ก่อนที่คาร์ลจะหันหน้าหนีไปจากรอนอย่างรวดเร็วและเปิดลิ้นชักจากตู้ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงนอนของตน เขาเอากระเป๋าใส่เงินออกจากลิ้นชักและถือมันขึ้นมา

 

เช็คและเงินจำนวนมาอยู่ในตู้นิรภัยในบ้านหลังนี้แต่ก็ยังมีเงินจำนวนมากในกระเป๋าใบนี้เช่นกัน คาร์ลเอากระเป๋าเงินยัดใส่ในมือของรอน เขาเป็นบุตรชายของตระกูลที่ร่ำรวยและไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือไปจากเงิน

 

“รับนี่ไป..มันอาจจะไม่มากนักแต่ก็สามารถซื้ออาหารอร่อยๆและสนุกไปกับการพักผ่อนของเจ้าได้”

 

รอนจ้องไปที่กระเป๋าเงินของคาร์ลที่อยู่ในมือของตน

 

‘ซื้ออาหารอร่อยๆให้แก่ตัวเองและสนุกไปกับการพักผ่อนของตัวข้าเอง’

 

ในตอนนี้มันทำให้รอนนึกถึงการหลบซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตนเอาไว้เขาได้ใช้เวลาทั้งหมดของตัวเองในการดูแลขยะไร้ค่าคนนี้..นายน้อยลูกสุนัขของเขา ตอนนี้เขาพยายามที่จะถอยออกจากที่ซ่อนและเริ่มชีวิตใหม่แต่มีโอกาสที่ในอนาคตของเขาจะเกิดความวุ่นวายได้ถ้าคนพวกนั้นสามารถข้ามมายังทวีปตะวันตกได้มันจะกลายเป็นความเลวร้ายที่รุนแรงยิ่งกว่าที่คาดไว้เสียอีก

 

‘แล้วข้าควรจะปล่อยลูกชายของข้าไว้ที่นี่เช่นนั้นหรือ?’

 

รอนมองไปยังนายน้อยของตนที่มีท่าทางผ่อนคลายตรงหน้าของเขา

 

“นายน้อย...มันจะเป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมขอรับ?”

 

คาร์ลรู้สึกตื่นเต้นกับคำถามของรอน เขาต้องการให้รอนรู้สึกสนุกเพลินเพลินไปกับตัวเองให้มากจนอยากจะออกจากเขาไปหากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับคาร์ล

 

“แน่นอน..ตัวเจ้าเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะได้รับความสนุกและเพลิดเพลินไปกับการพักผ่อนนั่น”

 

แผนเดิมของรอนคือการจากไปอย่างเงียบๆภายใน2-3วัน เขาอาจจะจากไปเพียงลำพังหรือไปกับบารอค อย่างไรก็ตามความผูกพันที่น่ารังเกียจนี้คือปัญหา นั่นจึงทำให้เขาเลือกที่จะพูดถึงการหยุดพักสองวันขึ้นมา เขาต้องการจะดูว่าเจ้าขยะนี่จะพูดอะไร มันคือสิ่งที่เขาอยากรู้

 

นายน้อยลูกสุนัขตัวนี้...คาร์ลรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใครเพราะเชวฮัน รอนยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนประดับที่ใบหน้าแต่สายตาของเขาเริ่มเปลี่ยนไป

 

“นายน้อย...นี่มันเป็นเงินที่มากเกินไปนะขอรับ...ท่านจะทำเช่นไรหากกระผมใช้โอกาสนี้หลบหนีไป?”

 

‘หรือว่าท่านต้องการให้ข้าหนีไปเพราะได้ยินว่าข้าคือคนที่แข็งแกร่งและน่ากลัว?’

 

แม้ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาจะบังคับให้ตนมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาแต่มันก็ยังทำให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยเป็นจำนวนมาก เขายังคงจ้องเขม็งไปที่คาร์ลแต่รอนก็ไม่สามารถมองเห็นปฏิกิริยาใดๆจากคาร์ลได้

 

คาร์ลพ่นลมออกจากจมูกของตนเบาๆ

 

“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าเช่นนั้นหรือรอน?ถ้าเจ้าจะหนีไปจริงๆเจ้าก็เพียงแค่จากไปโดยไม่พูดสิ่งใดออกมาหรือเพียงแค่ออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น ข้าคิดผิดหรือไม่?”

 

นั่นเป็นวิธีที่รอนทำไว้ในนิยาย ในตอนที่เขาหนีหายไปเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อท่านเคานต์เฮนิตัสและเมื่อใดก็ตามที่เขาจำเป็นต้องแยกตัวออกจากกลุ่มของเชวฮันชั่วคราวเขาจะแจ้งแก่พวกเขาก่อนออกเดินทางไป

 

“.....นายน้อยถูกแล้วขอรับ...นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง”

 

รอนพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเขา เขาคิดว่านายน้อยลูกสุนัขที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสเห็นตนมากกว่าบารอคลูกชายของเขาเองด้วยซ้ำ ในความเป็นจริงคาร์ลอาจจะเป็นคนที่รู้จักรอนดีที่สุดก็เป็นได้

 

‘ตอนนี้ข้าแก่เกินไปแล้ว’

 

ชายชราเช่นเขาได้ยอมรับว่าตนได้แก่ตัวลงคงเหมือนกับวงปีที่คอยบอกการเจริญเติบโตของต้นไม้ว่ามีอายุเท่าใดแล้ว อีกทั้งผลจากเวลาที่เคลื่อนผ่านในแต่ละวันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงออกจากตัวเขาได้เช่นกัน

 

“กระผมจะกลับมารับใช้นายน้อยอีกครั้งเมื่อท่านไปเยือนวังหลวง”

 

“หากเจ้าต้องการมันจริงๆ..ข้าก็ยินดี”

 

รอนมองไปยังคาร์ลที่ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ตนเอ่ยออกมานักก่อนที่รอนจะเก็บกระเป๋าเงินไว้กับตัว

 

เขาไม่อาจยอมให้คาร์ลเข้าไปในวังหลวงด้วยท่าทางที่ดูแย่กว่าเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางคนอื่นๆได้ รอนไม่ต้องการที่จะเห็นนายน้อยลูกสุนัขที่เขาเลี้ยงมาโดนคนอื่นดูถูกได้เป็นอันขาด

 

นั่นเป็นหน้าที่สุดท้ายของเขาก่อนที่เขาจะจากไป

 

“..ถ้าเช่นนั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ”

 

“อืม...ได้สิ..ได้อย่างแน่นอน”

 

คาร์ลโบกมือให้กับรอนขณะที่นั่งอยู่บนเตียงและนอนหลับฝันดีเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา

 

เมื่อคาร์ลตื่นขึ้นมาในช่วงเที่ยงของวันรุ่งขึ้นเขาก็พบว่ารอนได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่ในวันหยุดพักผ่อนของรอนแล้ว คาร์ลรู้สึกขอบคุณเป็นยิ่งนักและในตอนนี้รองพ่อบ้านฮันส์กลายเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลความสะดวกให้แก่คาร์ล

 

“นายน้อย...รอนบอกว่าเขาจะไม่สบายใจเลยหากหน้าที่นี้ไม่ใช่กระผม ฮ่าฮ่าฮ่า.....กระผมคิดว่าตัวเองเหมือนจะเป็นคนที่พิเศษเสียแล้วซิขอรับ?...ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“เมื่อไหร่เจ้าจะเงียบเสียที?”

 

คาร์ลไม่ได้สนใจฮันส์และมองออกไปนอกประตูห้องที่เปิดกว้างดูเหมือนว่าเชวฮันจะยืนอยู่นอกประตูตั้งแต่เช้าตรู่ เขายังคงจ้องไปที่เชวฮันและสงสัยว่ามันกำลังเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนที่จะได้ยินคำตอบจากเชวฮันโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยถามใดๆ

 

“ท่านรอนให้กระผมมาคอยคุ้มครองท่านคาร์ลขอรับ”

 

‘รอนกำลังคิดอะไรของเขากันนะ?’

 

คาร์ลเริ่มมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นขณะที่รับถ้วยเครื่องดื่มจากฮันส์ก่อนที่เขาจะเริ่มขุ่นเคือง

 

“ฮันส์...ทำไมเจ้านำน้ำมะนาวมาให้ข้า?”

 

“อะไรนะขอรับ?...นายน้อยไม่ได้ชอบน้ำมะนาวหรือขอรับ?”

 

เฮ้อ

 

คาร์ลถอนหายใจยาวและเริ่มดื่มน้ำมะนาวที่ฮันส์นำมาให้ตนอย่างน้อยมันก็ดีกว่าน้ำเย็นมันปลุกให้เขารู้สึกตื่นขึ้นและยังช่วยล้างสิ่งสกปรกในท้องของเขาได้ดีอีกด้วย

 

เชวฮันเฝ้ามองฮันส์และคาร์ลจากนอกประตูห้องขณะที่เขานึกถึงบทสนทนาที่เขามีกับรอนเมื่อคืนนี้

 

‘ท่านกำลังจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่งเช่นนั้นหรือ?’

 

‘ใช่’

 

‘มันคือที่ใด?’

 

‘มันไม่ใช่เรื่องที่เด็กเช่นเจ้าต้องรู้’

 

‘ท่านมาคุยกับข้าเพื่อท่านคาร์ลใช่หรือไม่?’

 

‘เจ้าคิดออกด้วยนี่’

 

นั่นคือสิ่งที่รอนบอกแก่เข้าก่อนที่จะออกเดินทางไปเมื่อตอนเช้าตรู่ เชวฮันได้เห็นนักฆ่ารอนแทนที่จะเป็นพ่อบ้านรอนเมื่อเขากำลังมุ่งหน้าออกไปจากที่พัก

 

“เชวฮัน”

 

เชวฮันหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคาร์ลก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คาร์ลในห้อง คาร์ลลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่ห้องน้ำและเอ่ยถามเชวฮันที่จ้องมองมาที่เขาอยู่

 

“ล็อกฟื้นรึยัง?”

 

“ฟื้นแล้วขอรับ...”

 

คาร์ลไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะเผ่าหมาป่านับได้ว่ามีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว

 

คาร์ลมองดูเวลาก่อนจะนึกถึงเจ้าอ้วนบิลอสลูกชายนอกสมรสของหัวหน้าสมาคมการค้าฟลินน์ เขากำลังจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงในเร็วๆนี้แล้ว คาร์ลได้สัญญาว่าจะไปดื่มกับเขาและพบปะพูดคุยกันเล็กน้อยที่โรงแรมแห่งหนึ่ง มันเป็นโรงแรมเดียวกับที่เขาได้แจ้งแก่เชวฮันว่าเขาจะเข้าพักที่นั่นหากเดินทางถึงเมืองหลวง โรงแรมนั่นมีบาร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เป็นอย่างยิ่ง

 

‘และบางอย่างที่จะทำให้เชวฮันได้เกี่ยวข้องกับบิลอสก็อยู่ที่นั่น’

 

คาร์ลนึกถึงพ่อค้าที่อยู่กับเด็กๆทั้งสิบคนจากเผ่าหมาป่าสีน้ำเงินในตอนนี้และเอ่ยถามเชวฮันอีกครั้ง

 

“แล้วเด็กๆกับพ่อค้าที่อยู่ในโรงแรมเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“กระผมคิดว่านายน้อยหยุดเรื่องนี้ไปก่อนเถอะขอรับ...แล้วค่อยจัดการหลังจากการประชุมพบปะเสร็จสิ้นแล้ว”

 

“.....ประชุมพบปะ?”

 

ฮันส์เดินเข้ามาใกล้นายน้อยของตนที่ยังคงสงสัยอยู่หลังจากที่เขาได้เอ่ยขัดจังหวะไปก่อนหน้านี้แล้วก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมแก่คาร์ล

 

“นายน้อย...เป็นคำเชิญจากขุนนางทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือขอรับ”

 

“อ้อ....”

 

คาร์ลลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเพราะเขาไม่คิดว่าเหล่าขุนนางพวกนี้จะมีความสำคัญมากพอ เขาเริ่มขุ่นเคืองและขมวดคิ้วมุ่นขณะที่กำลังถกเถียงกับตัวเองว่าจะทำอะไรดี? ขยะไร้ค่าเช่นนี้ควรวางตัวอย่างไรในการพบปะกันในครั้งนี้? คาร์ล...ไม่สิ...คิมร็อกโซไม่เคยเจอคนพวกนี้มาก่อนแต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากนักเพราะถึงอย่างไรเขาก็ถูกรู้จักในฐานะของขยะไร้ค่าอยู่ดี

 

“และยังมีแขกที่ต้องการจะพูดคุยกับนายน้อยอีกเช่นกันขอรับ”

 

“เจ้ากำลังพูดถึงโรสลินสินะ?”

 

“ใช่ขอรับ....เธอกล่าวว่าสามารถเข้าพบนายน้อยเวลาใดก็ได้ตามที่นายน้อยสะดวก”

 

โรสลินเป็นคนฉลาด เธออาจจะสงสัยว่าพลังเวทย์ที่เธอสัมผัสได้ในวันนั้นคือพลังเวทย์ที่มาจากมังกร เธออาจไม่เคยเห็นมังกรมาก่อนแต่พลังเวทย์ที่ทรงพลังเช่นนี้ไม่สามารถมาจากสิ่งอื่นได้นอกจากมังกร

 

คาร์ลเปิดประตูห้องน้ำและออกคำสั่งให้แก่ฮันส์เมื่อตนเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้ว

 

“ข้าจะทานอาหารเช้าในห้องนอนของข้าจงเตรียมมันให้พร้อม..แล้วก็ไปแจ้งแก่โรสลินให้ขึ้นมาพบข้าได้หากนางต้องการที่จะทานอาหารเช้าร่วมกัน”

 

“ได้ขอรับนายน้อย...กระผมเข้าใจแล้วแต่ว่า...ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้วนะขอรับ..ดังนั้นมันต้องเป็นอาหารเที่ยงถึงจะถูกต้องมากกว่านะขอรับ?”

 

“ฮันส์!....”

 

“กระผมจะไปจัดการโดยทันทีขอรับ!”

 

คาร์ลจ้องไปยังฮันส์ที่ตอบรับอย่างหนักแน่นและมอบคำสั่งสุดท้ายก่อนที่จะปิดประตูห้องน้ำ

 

“อ้อ...เปิดหน้าต่างตรงระเบียงทิ้งไว้ด้วย”

 

‘มังกรดำต้องการที่จะพาตัวเองเข้ามาในห้องนี้’

 

มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่มันสามารถหลับได้สนิทเมื่อมันนอนอยู่บนต้นไม้นอกหน้าต่างนั่น

 

“กระผมจะไปตามโรสลินมาตอนนี้เลยนะขอรับ”

 

“อืม....”

 

คาร์ลนั่งลงบนเก้าอี้โดยมีอาหารปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา มันอาจจะเป็นอาหารเช้าสำหรับคนส่วนน้อยและอาจเป็นอาหารเที่ยงสำหรับคนส่วนใหญ่ก่อนที่ฮันส์จะออกจากห้องไปเพื่อตามโรสลินมาพบเขา บารอคดูเหมือนจะใส่ความพยายามของเขาอย่างเต็มที่เนื่องจากบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมายจนน่าทึ่งอาจเป็นเพราะเขาให้บารอคทำอาหารทั้งหมดพร้อมกันทีเดียวแทนที่จะทำเป็นแบบฟูลคอร์ส[3]

 

“ท่านคาร์ล..”

 

เชวฮันเดินเข้ามาหาเขา

 

“กระผมจะไปอยู่กับล็อกตอนที่ท่านกำลังรับประทานอาหารนะขอรับ”

 

“ข้าเดาว่าพวกเจ้าสองคนคงผลัดกันดูแลล็อกอยู่ซินะ”

 

เชวฮันเริ่มยิ้มด้วยความเขินอายกับคำกล่าวของคาร์ล แม้ว่าล็อกจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วแต่เขายังต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงโดยมีโรสลินและเชวฮันคอยผลัดเปลี่ยนไปดูแลเขาและแน่นอนว่าคนที่ดูแลล็อกส่วนใหญ่คือโรสลิน

 

“ออนและฮงก็ช่วยดูแลเขาเช่นกันขอรับ”

 

“พวกมันดูเหมือนตัวป่วนเสียมากกว่า”

 

เชวฮันยังคงเงียบกับคำกล่าวของคาร์ล ออนและฮงอาจจะอยู่ที่ห้องของล็อกแต่ยังมีสิ่งที่พวกมันได้บอกแก่คาร์ลอย่างลับๆก่อนที่จะพากันมุ่งหน้าไปที่ห้องของล็อก

 

‘ข้าคิดว่าพวกเราอ่อนแอเกินไปที่จะฆ่าเผ่าหมาป่าได้ พวกเราจะพ่ายแพ้แม้ว่าเราจะกลายร่างแล้วก็ตามพวกเราเลยต้องหาวิธีที่จะสามารถอัดคนอย่างหมอนั่นให้เละตุ้มเป๊ะให้ได้’

 

‘ถูก...เราต้องหาทางอัดเขาให้เละ..นั่นก็เลยเป็นเหตุผลให้พวกเราต้องไปศึกษาศัตรูเช่นเขาเสียหน่อย’

 

 

 

 

ออนและฮงไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อคอยดูแลล็อกแต่เพื่อศึกษาหาวิธีการที่จะลงมือฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกมันในอนาคตให้ได้ต่างหาก

 

“แต่ล็อกดูผ่อนคลายและสบายใจขึ้นที่มีลูกแมวน่ารักๆสองตัวอยู่กับเขาด้วย”

 

“.....ข้าคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ดี”

 

คาร์ลไม่ต้องการบอกความจริงเรื่องที่ออนและฮงมีเจตนาเช่นนั้นแก่เชวฮันและล็อก  เชวฮันตรวจสอบรอบๆห้องเพื่อให้แน่ใจว่ามังกรดำไม่ได้อยู่ในห้องนี้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม

 

“กระผมไม่ได้บอกล็อกหรือแม้แต่โรสลิน..ว่ากระผมพาทั้งสองกลับมาด้วยเพราะท่านคาร์ลสั่งให้ทำเช่นนั้น”

 

“เยี่ยมมาก”

 

“ข้าจะบอกแก่เจ้า...ว่าข้าจะเก็บมันไว้เป็นความลับเช่นกัน”

 

เชวฮันได้แสดงออกถึงความเชื่อถือและมั่นใจในตัวของคาร์ล บางทีอาจเป็นผลมาจากคำสาบานของเมื่อวานนี้ แต่เชวฮันไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมันอาจจะเป็นเพียงแค่การเสแสร้งและเขาอาจไม่รู้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงคำพูดที่ใช้ยกย่องและสนับสนุนคนเพียงหนึ่งคนในคณะมากกว่าคนๆอื่นได้เช่นกัน

 

พระเจ้าแห่งความตายจะทำตามคำพูดของคาร์ลและหากจะให้เขาอธิบายมัน..นั่นก็เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่วางชีวิตไว้บนเส้นทางแห่งความตายแล้ว

 

‘นั่นเป็นเหตุผลที่เหล่าขุนนางใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ในการเตรียมคำพูดเมื่อพวกเขาจะทำการสาบานต่อพระเจ้าแห่งความตาย พวกเขาจะเฉลี่ยเอาคำพูดจากสิบหน้ากระดาษนั่นมากล่าวคำสาบาน’

 

คาร์ลคิดว่าเขาจะได้ใช้เชวฮันในอนาคตข้างหน้าก่อนที่จะเริ่มพูดกับเชวฮันซึ่งดูเหมือนจะเชื่อถือเขาจากใจจริงๆ

 

“เชวฮัน..เจ้าบอกว่าจะลงมือฆ่านักเวทย์ที่ดื่มเลือดคนนั้นหากเจ้าพบกับเขาอีกครั้งใช่หรือไม่?”

 

“ใช่”

 

คาร์ลพยักหน้าตอบรับเมื่อได้ฟังคำตอบจากเชวฮันที่ยืนยันอย่างหนักแน่นโดยไม่มีความลังเลใดๆ

 

“แล้วข้าจะบอกแก่เจ้าว่าจะหาคนคนนั้นได้อย่างไร”

 

การจ้องมองของเชวฮันเริ่มเปลี่ยนไปแต่คาร์ลยังคงมีท่าทางเช่นเดิม

 

“แน่นอน..ว่าเราจะต้องป้องกันเหตุการณ์น่ากลัวที่จะเกิดก่อนเป็นอย่างแรก”

 

ท่าทางของเชวฮันดูเหมือนจะขอให้คาร์ลบอกเขาทันทีแต่ในขณะที่จะเอ่ยปากพูดกับคาร์ลก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของฮันส์ที่ลอดเข้ามาให้ได้ยิน

 

“นายน้อย...กระผมได้พาท่านโรสลินมาแล้วขอรับ”

 

คาร์ลพยักหน้าให้กับเชวฮันและลุกขึ้นจากเก้าอี้ เชวฮันลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเงียบๆและเดินไปเปิดประตู  ฮันส์และโรสลินเดินผ่านประตูที่ถูกเปิดเอาไว้เข้ามาในห้อง ฮันส์ไม่ได้เข้ามาไกลจากประตูมากนักและเอ่ยสิ่งที่เขาต้องการพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

“นายน้อย...ท่านโรสลิน...โปรดแจ้งให้เราทราบหากท่านต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม”

 

ก่อนที่ฮันส์จะโค้งคำนับและก้าวออกจากห้องไปและเชวฮันก็จะตามหลังเขาออกไปเช่นกัน

 

“โรสลิน...เดี๋ยวข้าไปอยู่กับล็อกนะ”

 

“ตกลง”

 

เมื่อคนทั้งคู่ได้ออกไปจากห้องของคาร์ลแล้วทำให้ในตอนนี้มีเพียงคาร์ลและโรสลินเท่านั้นที่อยู่ภายในห้องดูเหมือนว่าโรสลินจะมีท่าทางสบายๆไม่มีท่าทีเย็นชามากนัก

 

“ขอบคุณสำหรับคำเชิญ....นายน้อยคาร์ล”

 

“ไม่เป็นไรหรอก....ท่านโรสลิน”

 

คาร์ลชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเขาและเริ่มพูด

 

“มีหลายเรื่องที่เราอาจจะได้คุยกัน”

 

“นายน้อย...ข้าขอเดาว่าท่านไม่ชอบอะไรที่มันอ้อมค้อมใช่หรือไม่?”

 

โรสลินเริ่มยิ้มออกมาขณะที่เธอเอ่ยถามคาร์ลก่อนที่คาร์ลจะมองออกไปทางหน้าต่างที่เปิดโล่งและพูดขึ้น

 

“เข้ามา...”

 

โรสลินรีบหันไปมองรอบๆห้องโดยทันทีก่อนที่เธอจะเห็นใบไม้ลอยเข้ามาในห้อง เธอไม่สามารถระงับอาการตัวสั่นของตนลงได้

 

อย่างไรก็ตามเธอสามารถคิดถึงสิ่งที่ควรจะเป็นด้วยการใช้เหตุผลต่างๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอคิดถึงเรื่องนี้ตลอดทั้งคืนพร้อมๆกับดูแลล็อกไปด้วย พลังเวทย์ที่สามารถสร้างโล่ป้องกันได้สามชั้นและความสามารถในการที่จะทำเช่นนั้นได้มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น

 

เธอขยับตัวออกจากการจ้องมองไปยังใบไม้ที่ลอยไปตามเส้นทางต่างๆภายในห้องและหันมามองคาร์ลพร้อมกับเอ่ยถามในทันที

 

“มังกร..นั่นคือท่านมังกรใช่หรือไม่?”

 

นักเวทย์มักเคารพและศรัทธาในตัวมังกร...การแสดงออกของเธอถูกแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้น คาร์ลเริ่มยิ้มหยันเมื่อเริ่มพูดกับใบไม้ที่ลอยไปมาอยู่ในห้อง

 

“แนะนำตัวเจ้าหน่อยสิ”

 

ทันใดนั้นเองใบไม้ก็ลอยไปหยุดอยู่บนโต๊ะหรืออาจเป็นหยุดอยู่ต่อหน้าสเต็กมากกว่า ถ้าหากเจาะจงที่จะจ้องมองมันเป็นพิเศษก็จะเห็นว่ามันได้กลายเป็นมังกรดำ มันได้คลายเวทย์ล่องหนออกไปแล้ว

 

“ฮึก...”

 

โรสลินไม่สามารถแม้แต่จะหายใจออกมาได้เพราะเธอกำลังตกใจ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าใบไม้ที่ลอยอยู่นั่นกำลังจะกลายเป็นมังกรแต่ก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้อยู่ดี มันมีมังกรจำนวนประมาณ 20 ตัวที่ดำรงชีวิตอยู่ทั้งในทวีปตะวันตกและตะวันออกรวมกัน แต่การดำรงอยู่ดังกล่าวก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้แล้ว

 

พวกเขาขึ้นชื่อว่าไม่ชอบออกจากอาณาเขตและถ้ำที่อยู่ของตนพวกเขาสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจมากที่สุดในโลก มังกรคือราชาทั้งของนักเวทย์และธรรมชาติ

 

พวกเขายังมีชีวิตที่รักความสันโดษ แม้ว่าจะได้รับการยืนยันว่ามีมังกรประมาณ 20 ตัวในโลกแต่พวกเขาก็มีสีสันที่ต่างกันออกไปและในเรื่องของบุคลิกท่าทาง นิสัยและลักษณะเฉพาะตัวก็แตกต่างกันอีกด้วย นักเวทย์จากหอคอยพลังเวทย์ต่างพบว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทำไมพวกเขาถึงได้แตกต่างกันเช่นนั้นแม้ว่าจะเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน?

 

มีเพียงหนึ่งคำอธิบายที่สามารถอธิบายในสิ่งนี้ให้เข้าใจได้

 

‘มังกรเป็นสัตว์ที่มีความทระนงในตนเองและต้องการจะแตกต่างจากสิ่งอื่น’

 

ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่พวกเขามีความต้องการที่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำกับสิ่งใดๆ แม้แต่เผ่าพันธุ์มังกรของพวกเขาเองก็ไม่ปรารถนาที่จะมีลักษณะที่ซ้ำกับมังกรตัวอื่นเช่นกัน

 

และสิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีพอยู่เช่นนั้นก็อยู่ตรงหน้าโรสลินในตอนนี้แล้ว

 

มันเป็นเพียงมังกรตัวเล็กๆแต่พลังเวทย์ที่เธอได้สัมผัสและสายตาที่เฉียบคมของมันสามารถบอกโรสลินได้ว่ามังกรตัวนี้ไม่เหมือนกับมังกรตัวอื่น

 

มังกรดำมองไปที่โรสลินเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าหนีไปจากเธอ โรสลินไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของมังกร หลังจากนั้นมังกรก็ขยับไปอยู่ด้านหน้าของสเต็กและเริ่มพูดออกมา

 

“ข้าหิว.......”

 

“เชิญ....เจ้าสามารถกินมันได้”

 

คาร์ลส่ายศีรษะของตนเบาๆเมื่อตอบคำถามนั้นแก่มังกรก่อนที่จะเชิญให้โรสลินนั่งลงตรงเก้าอี้ของเธอ

 

“เราก็ควรจะทานอาหารของเราได้แล้วเช่นกัน”

 

“อ่า...ใช่.....ใช่เราควรกินได้แล้ว”

 

โรสลินมีสีหน้าที่ว่างเปล่าขณะที่นั่งลง เธอได้เห็นมังกรน้อยที่กำลังกินสเต็กที่วางอยู่ตรงหน้าเธอในขณะที่คาร์ลซึ่งแต่งตัวดูดีกว่าทุกวันเพราะต้องไปเข้าร่วมการประชุมพบปะกับขุนนางทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือก็กำลังทานซุปที่ถูกทำขึ้นด้วยความประณีตอยู่

 

ไม่มีใครที่หอคอยพลังเวทย์จะเชื่อเธออย่างแน่นอนหากเธอบอกเรื่องนี้กับพวกเขา

 

อย่างไรก็ตามโรสลินเชื่อในสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของเธอเช่นเดียวกับส่วนที่เหลือของประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเธอเอง ทุกสิ่งในธรรมชาติสามารถจะสัมผัสได้จากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวพวกเขาเอง

 

“....มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่นักเวทย์เช่นข้าได้เห็นภาพนี้.....มังกรอยู่ร่วมกับมนุษย์”

 

โรสลินเชื่อในภาพที่ปรากฏต่อสายตาตนเองและเลือกที่จะเปิดเผยมันออกไปด้วยความซื่อตรง คาร์ลไม่ได้สนใจที่ตอบอะไรออกไปแต่มังกรดำหยุดชะงักกับการกินสเต็กเพื่อหันไปมองโรสลินก่อนที่จะหันศีรษะไปมองคาร์ล

 

มันเป็นใบหน้าของสัตว์จำพวกสัตว์เลื้อยคลานแต่สามารถมีสีหน้าการแสดงออกที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน มังกรดำเริ่มขมวดคิ้วมุ่นเมื่อมองไปยังคาร์ลที่กำลังกินซุปอยู่และเอ่ยออกมาทันที

 

“อ่อนแอมาก....เขาไม่ได้มีดีไปกว่ามดเลย...นั่นคือเหตุผล”

 

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

ทั้งคาร์ลและมังกรดำต่างเห็นพ้องต้องกันกับสิ่งที่มังกรเอ่ย โรสลินเฝ้าดูสิ่งนี้ด้วยความสนใจก่อนจะพยักหน้าของเธอช้าๆ

 

“การที่ข้าได้ทานอาหารร่วมกับนายน้อยคาร์ลและท่านมังกร...ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

 

โรสลินเริ่มผ่อนคลายลงขณะที่ยกส้อมของเธอขึ้นมาถือไว้ด้วยท่วงท่างดงาม ขณะที่คาร์ลยังคงทานซุปต่อไปเรื่อยๆ

 

‘เธอเป็นคนที่มีความกล้าหาญจริงๆ’

 

หากเป็นนักเวทย์คนอื่นอาจจะตัวสั่นไม่หยุดและก็คงเอ่ยชื่นชมยกย่องมังกรไปแล้วในตอนนี้ ก่อนที่พวกเขาจะขอให้มังกรสอนเกี่ยวกับการใช้พลังเวทย์เล็กๆน้อยๆให้กับพวกเขา ความมหัศจรรย์ของมังกรคือสิ่งที่จะทำให้นักเวทย์ในดินแดนต่างๆบ้าคลั่งได้โดยง่าย

 

คาร์ลเริ่มพูดกับโรสลินที่กำลังเริ่มทานอาหารด้วยสลัดเป็นจานแรก

 

“ท่านสามารถพักอยู่ที่นี่ได้นานเพียงใดก็ได้...ตามที่ท่านต้องการได้เลย”

 

“นายน้อยคาร์ล.......”

 

“ว่าอย่างไร?”

 

“ข้ามีสามเรื่องที่อยากจะรู้แต่หนึ่งในนั้นข้าได้รับคำตอบแล้ว...ดังนั้นจึงมีอีกสองเรื่องที่ข้ายังไม่รู้...ข้าจะขอถามท่านได้หรือไม่?”

 

“เชิญถามมาเถิด...”

 

เรื่องแรกอาจจะเกี่ยวกับมังกร คาร์ลได้ตัดสินใจที่จะเปิดเผยการมีตัวตนของมังกรต่อโรสลินหลังจากใคร่ครวญมาเป็นเวลานาน เขารู้สึกว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขาได้ในอนาคตและเขารู้สึกเหมือนกับว่าสามารถคาดเดากับคำถามที่เหลืออีกสองข้อได้เช่นกัน

 

“นี่คือสองสิ่งที่ข้าอยากจะรู้เกี่ยวกับมัน”

 

โรสลินเอ่ยถามคำถามของเธออย่างใจเย็นและเปิดเผยจริงใจ

 

“มันจะไม่เป็นไรจริงๆเช่นนั้นหรือที่ท่านอนุญาตให้ใครก็ไม่รู้พักอยู่ที่บ้านท่านเช่นนี้? ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นนักเวทย์ก็ตาม...แต่ในฐานะที่ท่านเป็นชนชั้นสูง...ท่านจะต้องรู้สึกไม่ดีกับการที่จะเกี่ยวข้องกับคนแปลกหน้าเช่นนี้”

 

คาร์ลสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างง่ายดาย

 

“นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะเชวฮันเป็นคนที่พาท่านมา”

 

คาร์ลหันไปมองมังกรดำที่กำลังกินสเต็กในจานอยู่ ก่อนที่จะหันกลับไปมองโรสลินและเอ่ยต่อ

 

“และกระผมยังมีเด็กคนนี้”

 

มังกรดำไม่ได้เอ่ยอะไรออกมากับสิ่งที่คาร์ลพูดขึ้นแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นมังกรก็กระพือปีกของตนหนึ่งครั้งก่อนจะก้มลงไปกินสเต็กในจานและเริ่มกินสเต็กด้วยความเร็วที่มากกกว่าเดิม โรสลินมองไปที่มังกรครู่ใหญ่ก่อนที่จะย้ายดวงตาสีแดงของเธอกลับมาที่คาร์ลซึ่งกำลังทานสเต็กปลาแซลมอนอยู่

 

“.....ข้าเข้าใจแล้ว...และนี่จะเป็นคำถามที่สามของข้า”

 

คาร์ลหยุดการทานสเต็กปลาแซลมอนเอาไว้ก่อนและเงยหน้าขึ้นมองโรสลิน ดวงตาของคนทั้งคู่สบกันชั่วขณะและทำให้คาร์ลสามารถมองเห็นตาดำที่เป็นสีแดงของเธอได้ เดิมทีโรสลินเปลี่ยนตาดำของเธอจากสีแดงเป็นสีดำด้วยพลังเวทย์ของเธอเมื่อมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงและทำสิ่งเดียวกันกับสีผมของเธอด้วย อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในตอนนี้

 

โรสลินเอ่ยถามคาร์ลต่อทันที

 

“ทำไมท่านต้องพูดกับข้าด้วยความนอบน้อมเช่นนั้นทั้งๆที่ท่านเป็นคนจากชนชั้นสูง?”

 

คาร์ลยกแก้วไวน์ขาวที่ตั้งไว้ข้างสเต็กปลาแซลมอนขึ้นจิบช้าๆ ก่อนจะเอ่ยตอบโรสลิน

 

“ผมสีแดง ดวงตาสีแดงและเป็นนักเวทย์จากนั้นยังมีชื่อที่เปิดเผยตัวตนได้ชัดเจนว่า..โรสลิน”

 

มันเป็นเรื่องแปลกที่จะแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้จักคนที่เปิดเผยตัวเองได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ได้

 

คาร์ลเริ่มยิ้มเต็มใบหน้าพร้อมๆกับที่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

 

“องค์หญิง...ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นพระองค์หรือพะยะค่ะที่จะต้องหยุดพูดด้วยความนอบน้อมต่อหม่อมฉันเช่นนั้น?”

 

 

 

 

[1]จากนิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่อง The Singing Lump

 

[2]จากนิทานพื้นบ้านเกาหลีเรื่อง Gold Axe Silver Axe หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Honest Woodcutter มีเนื้อเรื่องคล้ายๆกับนิทานอีสปของไทยเรื่องเทวดากับคนตัดฟืนหรือมีอีกชื่อว่าเทพารักษ์กับคนตัดไม้

 

[3]Full Course / ฟูลคอร์ส  เป็นวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของยุโรปโดยจะทำการจัดเรียงลำดับอาหารและจัดเสริ์ฟเป็นลำดับ โดยมีการรวมเอาเมนูอาหารหลายๆอย่างมารวมกันจึงเรียกว่า ฟูลคอร์ส  ซึ่งในหนึ่งมื้ออาหารนั้นจะต้องประกอบไปด้วย จานซุป , จานหลัก , จานเนื้อ , จานปลา , จานสลัด , อาหารออเดิร์ฟ , เครื่องดื่ม,  ของหวาน ทั้งหมดประมาณ 8 อย่างต่อมื้ออาหารหรืออาจจะเรียกง่ายๆว่าเป็นอาหารประจำที่เราต้องรับประทานในชีวิตประจำวัน

 

 

รีวิวผู้อ่าน