px

เรื่อง : Seoul Station’s Necromancer จบแล้วอ่านฟรี!!!
บทที่ 176 : วิหารอาเรีย (2)


บนยอดเขาซัวรอสตอนนี้มีธงสัญลักษณ์ประดับประดาอยู่มากมาย

ลาตาชาที่ตอนนี้กลายเป็นราชินีเอลฟ์กำลังเฝ้ามองต้นไม้โลก ในสนามรบ ลาตาชา ถูกขนานนามว่า ศรสีเงิน

เธอกำลังเฝ้ามองแสงแดดส่องสะท้อนกับต้นไม้โลกและแสงเรืองๆของต้นไม้โลกอย่างสุขใจ

เธอนอนลงบริเวณใต้ต้นไม้โลกเพื่อซึมซับกลิ่นอายที่คุ้นเคยยามเธอยังเด็ก ก่อนที่เธอจะขับขานบทเพลงของเอลฟ์ออกมา

ชีวิตที่ผ่านมาของเธอไม่เคยมีเลยสักวันที่จะได้พบกับความสงบดั่งเช่นวันนี้ เมื่อเธอได้พักได้สงบจิตใจพรสวรรค์ทางด้านการขับร้องก็ถูกแสดงออกมา

"เธอมาทำอะไรอยู่เหรอ?"

ในขณะที่เธอกำลังจมอยู่กับอดีตในช่วงที่เธอกำลังมีความสุข โดแจมินก็เดินมาทักทายเธอ

"อ่า ท่านเคาท์แจมิน"

เขาเป็นมนุษย์โลกที่กลายร่างเป็นแวมไพร์ระดับลอร์ด

ตำแหน่งของเขานั้นนับว่าน่าหวาดกลัวสำหรับคนบนอัลเฟ่นมาก เขาคือข้ารับใช้ของผู้อมตะ

"เธอกำลังนอนอยู่รึเปล่า?"

“เปล่า ข้ากำลังฟังเสียงลมหายใจของต้นไม้โลก "

“เอ่อ ผมคิดว่ามันเป็นแค่สัญลักษณ์แสดงถึงอาณานิคมนะ ... "

"แต่สำหรับข้าแล้ว มันเป็นสิ่งที่พิเศษ"

“... .”

แจมินเลยแหงนมองต้นไม้โลกเงียบๆ จนลาตาชาต้องหลุดขำออกมากับท่าทางเงอะๆงะๆของแจมิน เมื่อแจมินได้ยินเสียงหัวเราะของลาตาชาเขาก็เขินเล็กน้อย

"ฮะๆ แล้วทำไมท่านถึงตามหาข้าล่ะ? "

“อ๋อ พอดี ทาริค เขาเรียกผู้กล้าทั้งหมดให้ไปรวมกันน่ะ "

“เข้าใจแล้ว”

ลาตาชาเดินไปพร้อมกับแจมิน เพื่อไปยังปราสาทที่สร้างขึ้นใกล้ๆต้นไม้โลก ปราสาทที่ผู้อมตะสร้างขึ้นมันใหญ่เกินไปสำหรับ จำนวนผู้กล้า 10 คน เมื่อพวกเขามารวมตัวกัน มันรู้สึกว่าโล่งๆแปลกๆ

"ศรสีเงิน"

"มีอะไรงั้นเหรอ?"

ลาตาชาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเหล่าผู้กล้ามารวมตัวกันอยู่แทบทั้งหมด

ผู้กล้าแต่ละคนมีหน้าที่ ออกไปกวาดล้างศัตรูและดันเจี้ยนที่อยู่รอบๆ อาณานิคม ดังนั้นเวลานี้มันจึงน่าแปลกๆ ที่อยู่ๆ พวกเขาก็มารวมตัวกันแบบนี้ แทนที่จะออกไปลาดตระเวณรอบหุบเขาซัวรอส

"ตอนนี้มีมอนสเตอร์จำนวนมหาศาลกำลังรวมตัวกันที่หุบเขา เนโร"

"... นับว่าเป็นข่าวร้ายที่สุดในรอบหลายวันนี้เลยล่ะ"

"นี่มันค่อนข้างแย่เลยไม่ใช่เหรอ"

ทาริคเอาแผนที่ขึ้นมากางบนโต๊ะ เป็นแผนที่แสดงรายระเอียดของเส้นทางระหว่างหุบเขาซัวรอสและหุบเขาเนโร การเดินทางระหว่างหุบเขาต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ก่อนอาณาจักรของมนุษย์เคยครอบครองบริเวณนั้นแต่ทว่าตอนนี้ มันอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองมิติ อูนอน

"ไม่ใช่แค่กองทัพของ อูนอน เท่านั้น ชิโร, ปาตู, เลอา และ กงกง กำลังรวบรวมกำลังพลอยู่ที่นั่นกันทั้งหมด "

ลาตาชาถึงกับเบิกตากว้างขึ้นเมื่อได้ฟังคำของ ทาริค

"พระเจ้า เจ้ากำลังพูดถึงการรวมตัวของผู้ปกครองมิติงั้นเหรอ? "

"มันค่อนข้างแย่ แต่นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น"

“... .”

ผู้ปกครองมิติไม่เคยร่วมมือกันมาก่อน พวกเขาไม่ได้สู้กันเอาเป็นเอาตายมากมายอะไร แต่พวกมันมักจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนกัน และนี่ยังเป็นเหตุผลที่เหล่าพันธมิตรยังรอดอยู่ได้

ผู้ปกครองมิติที่ทำสงครามกันเอง ก็มองชนเผ่าพื้นเมืองเป็นแค่เหมืองของพวกมันเท่านั้น

หากพวกมันร่วมมือกันทั้งหมด เพียงเวลาแค่ 1 ปี อัลเฟ่นคงถึงกาลอวสาน

"พวกมันเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ มันต้องการอะไรกันแน่?"

ตอนนี้กองกำลังพันธมิตรกำลังจะเจองานหนัก ภัยพิบัติครั้งนี้อันตรายมาก

ตอนนี้พวกมันนับว่าเป็นภัยคุกคามขนาดใหญ่หรือไม่?

ผู้ปกครองมิติมารวมตัวกันโดยไม่มีสัญญาณเตือนอะไรมาก่อน

แต่ก่อนกองกำลังพันธมิตรไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้ปกครองมิติโกชูชู สักเท่าไร จะมีก็แต่ผู้ปกครองมีติจูเรียลที่มักมีปัญหากับกองกำลังของรัฐบาล แต่ว่าก็ไม่มีครั้งไหนที่จะมีการร่วมมือกันแบบครั้งนี้

"ข้าไม่มั่นใจเท่าไร แต่ถ้าให้เดา ก็คงเป็นเพราะการกลับมาของเขา ... "

“ผู้อมตะ ...”

มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่สั่นคลอนผู้ปกครองมิติทั้งหมดได้

เมื่อผู้อมตะหวนคืนกลับมา เหล่าผู้ปกครองมิติทั้งหลายจึงหันมาร่วมมือกันทันที นี่มันค่อนข้างชัดเจนจนเกินไป เหตุผลนี้ทุกคนต่างรับรู้กันได้จากการมองภาพรวม

เพียงแค่ผู้ปกครองมิติคนเดียวก็สร้างความลำบากให้เหล่าผู้กล้ามากแล้ว แต่นี่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ปกครองมิติถึง 5 คน ตอนนี้กองกำลังพันธมิตรไม่ได้แตกต่างอะไรกับ เปลวเทียนไขที่กำลังจะถูกสายลมพัดผ่าน

นอกจากนี้ตอนนี้ผู้อมตะที่น่าจะรับมือกองทัพศัตรูได้ กลับออกไปค้นหาไอเทมศักดิ์สิทธิ์กับเมโลดี้ ตอนนี้พวกเขาขาดกำลังรบที่สำคัญที่สุด แล้วพวกเขาจะรับศึกครั้งนี้ได้อย่างไร

"หากผู้อมตะไม่อยู่เช่นนี้ เกรงว่าฐานที่มั่นแห่งนี้ยากที่จะป้องกันเอาไว้ได้แล้ว "

เมื่อราชาแห่งฮอนชู กอนสึ พูดขึ้นมา จอมเวทย์เกรแฮม ก็เห็นด้วยกับเขา

"ถูกต้อง หุบเขาซัวรอสถึงแม้จะสามารถรับมือศัตรูได้อย่างดี แต่ตอนแรกที่เราคิดไว้ศัตรูต้องไม่ได้มามากมายขนาดนี้ หากพวกมันยกทัพมา พวกเราจะต้องถูกแบ่งแยกไปรับมือ ไม่อาจรวมกำลังได้ พวกเราต้องถอยก่อนที่จะสายเกินไป "

"ไม่มีทาง พวกนายคิดจะทิ้งอาณานิคมไปง่ายๆแบบนี้งั้นเหรอ? "

ซังกูตะโกนออกมา

อาณานิคมไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ที่ซื้อสินค้าด้วยหินเลือด ไม่ได้เป็นแค่ฐานที่มั่นของกองกำลัง แต่ทว่าสำหรับเขาที่เป็นชาวโลก สถานที่แห่งนี้คือประตูที่มีไว้กลับโลก

"จักรพรรดิเพลิง กล่าวถูกแล้ว พวกเราไม่ควรหนีไปทั้งที่ยังไม่ได้สู้ เราต้องปกป้องต้นไม้โลก"

"จักรพรรดิเพลิง หมายถึงเราเหรอ ... "

ซังกูพึมพำคำพูดเมื่อครู่ของลาตาชา เกรแฮมที่อยู่ด้านข้างรีบกล่าวน้อมน้าวลาตาชาขึ้นมาทันที

"ราชินีเอลฟ์ นี่ไม่ใช่ต้นไม้โลกมันเป็นแค่... "

“ไม่ มันคือต้นไม้โลก"

ลาตาชาไม่สนคำกล่าวของซังกู เธอพยายามยึดมั่นในสิ่งที่เธอเชื่อและหันไปกล่าวปฏิเสธอย่างแข็งขันกับเกรแฮม

“อืมมม

แม้ราชินีเอลฟ์จะคิดว่ามันเป็นต้นไม้โลก แถมซังกูที่เป็นชาวโลกก็บอกแล้วว่ามันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด แต่เธอก็ยังยืนกรานที่จะอยู่ป้องที่นี่เช่นเดียวกับพวกชาวโลก แล้วพวกเขาล่ะ หากต้องรับมือศัตรูมากขนาดนี้พวกเขาก็ไม่มีทางรอดชีวิตไปแน่

"แล้วพวกเราจะไปทำอะไรได้? อูนอนเป็นผู้ปกครองมิติระดับสูงมาก เขาครอบครองบัลลังก์ที่ 36 "

"... ผู้อมตะสร้างเมืองนี้ขึ้นมา เขาต้องกลับมาปกป้องมันแน่นอน"

เธอรู้สึกเสียความภาคภูมิใจเล็กน้อยที่ต้องพึ่งพาผู้อมตะ เธอเลยได้แต่พูดออกมาราวกับเสียงกระซิบ แจมินที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ก้าวออกไปด้านหน้าก่อนที่จะพูดออกมา

"ผมสามารถติดต่อเขาได้"

"โอ้!"

โดแจมินถูกแต่งตั้งให้เป็นนักกลยุทธ์ หรือกุนซือในการทำสงครามชิงมิติ เพราะฉะนั้นเขาสามารถติดต่อวูชินผ่านทาง จิตสื่อสารได้

"เขาสามารถกลับมาที่นี่ได้ในพริบตาโดยใช้ ประตูมิติ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง"

"นี่ถือว่าเป็นข่าวดีอย่างมาก"

บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที ถึงทุกคนจะหวาดกลัวผู้อมตะ แต่ว่าหากมีเขาเพิ่มมาอีกคน สถานการณ์มันจะเปลี่ยนไปทันที

ทุกคนต่างมั่นใจว่า สำหรับศัตรูแค่นี้ ผู้อมตะจัดการได้อย่างไม่มีปัญหา

"กรุณาแจ้งข่าวให้เขาทราบ ให้เขารู้ว่าเรากำลังจะเจอกับอะไร"

เมื่อได้ยินคำขอจากเกรแฮม แจมินเลยรีบติดต่อวูชินทันที

[พี่วูชินครับ]

[ ... ]

ทุกคนต่างมองมายังแจมินด้วยความหวัง แต่ว่า แจมินก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากวูชิน

แจมินเลียกัดปากของเขาอย่างเมื่อเขาไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของทุกคนได้

"มันอาจจะติดต่อไม่ได้เพราะตอนนี้พี่เขาอยู่ในพื้นที่ต่างมิติ?"

เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุนซือ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าอำนาจการสื่อสารกับผู้ปกครองมิติ มีขอบเขตขนาดไหน แจมินเกาศีรษะก่อนที่จะพูดออกมา

"ผมคิดว่าเขากำลังกวาดล้างดันเจี้ยน"

“อ่า ท่านไม่สามารถติดต่อผู้อมตะได้เหรอ หากเขาอยู่ในดันเจี้ยน? "

"ผมคิดว่าอย่างนั้น"

ทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง เพราะสถานการณ์กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทาริคที่เห็นท่าไม่ดี เลยก้าวออกมาข้างหน้า

นับตั้งแต่ ผู้อมตะ และ สตรีศักดิ์สิทธิ์เมโลดี้ ไม่อยู่ พระนักรบคนที่แรกแห่งองค์เทพสเกีย คือศูนย์รวมจิตใจของทุกคน

"ข้ารู้ว่าตอนนี้พวกเรา กำลังถกกันถึงปัญหาเรื่องจะสู้หรือจะหนี แต่อย่าลืมว่าตอนแรกพวกเรามีเป้าหมายอะไร"

“... .”

"เราเลือกที่นี่ในการสร้างฐานที่มั่น เพราะว่ามันเหมาะสมในการตั้งรับ พวกเราไม่ควรหนีศึกตั้งแต่ครั้งแรก หากเราหนีไปแล้ว ต่อไปเราจะรวบรวมผู้คนได้อีกยังไง เราจะยืนหยัดอีกครั้งได้ยังไง "

"ท่านพูดถูกแล้ว"

ผู้นำเผ่าออร์ค ครูเกอร์ที่เงียบไปตั้งแต่ลาตาชาพูด ตอนนี้เขากลับกล่าวออกมาพร้อมกับกำหมัดเอาไว้แน่น เมื่อได้ยินการตัดสินใจของทาริค

“ฮู่มมม ข้าไม่ต้องการวิ่งหนีและตายอย่างไร้เกียรติ พวกเราไม่ได้แค่สู้เพื่อความอยู่รอด แต่พวกเราจะสู้เพื่อให้ชนะ!!”

หากพวกเขาเอาแต่หนีและเลื่อนแผนโต้กลับไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น แล้วทุกครั้งที่หนีต้องมีคนเสียสละไปมากมายเท่าไร?บางทีนี่คงถึงเวลาลุกขึ้นมาสู้สุดกำลังแล้ว

ตอนนี้กองกำลังพันธมิตร และอแลนดัล เป็นพันธมิตรกันแล้ว หากพวกเขาเลือกที่จะหนีไป เมื่อเสียอาณานิคมไป เหล่ากำลังรบของอแลนดัลก็ไม่อาจช่วยเหลือได้

คนแคระราอูลก้าวออกมาข้างหน้า

"พวกเราสู้มันเถอะ! ถ้าพวกเราเร่งกันสร้างป้อมเพื่อป้องกัน ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะต้านทานมันเอาไว้ไม่ได้ ชัยภูมิเราได้เปรียบอย่างมาก "

เมื่อความเห็นทุกคนเริ่มตรงกัน ทาริคจึงออกมากล่าวจบการประชุม

"พวกเราจะสู้เพื่อปกป้องอาณานิคม"

“โอ้วววววว!”

จะไม่มีการหนีอีกแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขาได้ดาบที่จะใช้ต่อกรกับศัตรูมา พวกเขาจะไม่ถอยอีก ถึงแม้มันจะลำบากแต่พวกเขาจะยืนหยัดสู้

พวกเขาต้องรอจนกว่า ดาบที่แสนคมกริบ ที่เข่นฆ่าล้างผลาญศัตรูอย่างอำมหิต ผู้อมตะ หวนกลับมา

***

พื้นที่อับชื้นและสกปรกเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ รองเท้าที่ใช้งานเพื่อเดินทาง หากต้องซักให้สะอาด...คงจะเป็นการง่ายกว่าถ้าจะไปซื้อใหม่

ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เน่าเปื่อยผุพัง พร้อมกับรากแตกๆ กระจายอยู่เต็มไปทั่วพื้นที่

กลิ่นเหม็นคละคลุ้งอบอวลอยู่ไปทั่วบริเวณ ไร้ซึ่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใด

วูชินบ่นออกมา

“ทำไมต้องมาสร้างวิหารในที่แบบนี้?”

เมโลดี้ ที่เป็นสาวกของเทพธิดาอาเรีย กล่าวตอบวูชินออกมา

"เทพธิดาไม่สนใจมลทินหรือคำสบประมาทใดๆ นางเลือกที่จะตั้งอยู่ที่นี่ ... "

วูชินพูดตัดคำกล่าวของเมโลดี้

"เลิกพูดเหลวไหล"

"... ข้าก็ไม่รู้ มันอยู่ที่นี่แต่แรกอยู่แล้ว ... "

“อา ทีหลังอย่าพูดไร้สาระ หากโกหกมากๆมันจะติดเป็นนิสัย "

“... .”

เธอคิดที่จะแย้งคำพูดของวูชิน แต่เมโลดี้ก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะวูชินเธอคงไม่มีทางฝ่าแดนข้าศึกมาถึงที่นี่ได้

หากยกกองกำลังบุกมาคงใช้เวลามากกว่าสองเดือน แต่นี่ขนาดวูชินเดินทางมาทั้งยังกวาดล้างดันเจี้ยนทั้งหมดยังใช้เวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น

หากเขาขี่อาชาแห่งความมืดตรงไปยังเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเวลาที่ใช้คงน้อยกว่ากันมากกว่าครึ่ง

"ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่นี้มาก่อน"

วูชินส่ายหัวมองรอบๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา

ต้นกกที่ใหญ่กวาคนทิ่มแทงออกมาจากผืนดินและเน่าเปื่อยผุพัง มันมีเพียงตอไม้ผุๆเน่าๆ ส่งกลิ่นเหม็นทำให้บรรยากาศดูน่าขนลุก

เขาได้เห็นซากศพของนกยักษ์ รวมทั้งโครงกระดูกของไวเวิร์นและซากมอนสเตอร์ที่เน่าเปื่อยอีกจำนวนมาก

หากเมืองทั้งเมืองถูกยักษ์บุก หรือ พวกมอนสเตอร์กวาดล้าง มันคงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับที่นี่

"หืม จากกลิ่นฉันไม่คิดว่านี่คือน้ำมัน แล้วมันคืออะไรกัน?"

ของเหลวสีดำเหนียวเหนอะหนะเจิ่งนองปกคลุมพื้นที่ไปทั่วบริเวณ

"เราใกล้ถึงแล้ว มันควรจะอยู่ตรงนั้น "

เธอได้รับการชี้นำจากเทพธิดา จนฝ่าป่าวงกตมายามาได้ และตอนนี้เธอกำลังจะถึงที่หมาย

พวกเขาเดินผ่านป่าแห่งความตาย ผ่านหนองน้ำสีดำทมิฬ จนมาถึงขอบหลุมลึก หลุมหนึ่ง

มันราวกับว่าหลุมลึกนี้เกิดขึ้นจากอุกบาตขนาดใหญ่

ใจกลางหลุม พบสิ่งก่อสร้างขนาดเล็ก ที่ปกคลุมไปด้วยต้นมอสสีดำ

มันดูคล้ายๆกับหินแหลมๆ แต่มันไม่น่าจะใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

"นั่นคืออะไร?"

"มันคือวิหารของเทพธิดาอาเรีย"

"เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้ถามเรื่องนี้"

วูชินเดินไปรอบๆ ก่อนที่จะเอาเท้าสะกิดพื้นดินข้างๆ

แกรกๆ

พื้นดินร่วนและแตกกระจายออกมาเป็นเศษชิ้นเล็กๆ มันใช่ดินอย่างที่คิด

"ท่านหมายถึงกระดูกพวกนี้เหรอ?"

ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นเศษหินอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายมันคือกระดูก

ไม่รู้ว่าเป็นกระดูกคนหรือมอนสเตอร์หรือสัตว์ ... แต่กระดูกมากมายหลายพัน ไม่สิหลายหมื่น กองทับถมจนกลายเป็นพื้น

“... .”

วูชินเดินนำหน้าไปอย่างเงียบๆ เมโลดี้ที่ตามหลังเขาไปก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา

"เธอเคยมาที่นี่ก่อนรึเปล่า?"

"นี่เป็นครั้งแรกของข้า"

เธอคงต้องมาที่นี่เพื่อเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เมโลดี้เดินทางมา เพื่อรับไอเทมศักดิ์สิทธิ์ นี่หมายความว่าก่อนหน้านี้เมโลดี้นับเป็นสาวกที่เทพธิดาอาเรียเชื่อถือมากที่สุด ถึงขนาดส่งไอเทมศักดิ์สิทธิ์ให้ทั้งที่ยังไม่ได้เจอ

"นี่คือ…"

วิหารของเทพธิดาอาเรีย

เมโลดี้เรียกมันว่าวิหาร เขาเลยคิดไปเองว่าต้องเป็นอย่างวิหารอื่นๆ ...

วูชินและเมโลดี้ได้เดินมาถึงใจกลางของหลุมอุกกาบาต และพวกเขาพบกับสิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งแปลกๆ

"ทำไมมันดูเอียงๆไม่สมดุล?"

“...”

เธอไม่รู้จะตอบวูชินยังไง เธอเองก็ไม่เคยมาไกลถึงขนาดนี้ เธอแค่มาที่นี่โดยได้รับการชี้นำของเทพธิดาอาเรียเท่านั้น

แควกกก!

มอสสีดำที่ปกคลุมอยู่ถูกฉีกขาดออก เพื่อเผยให้เห็นสิ่งที่มันปกคลุมอยู่

แคว่กๆ แซ่กๆ!

เมื่อฉีกมอสทิ้งลงมา ประตูทางเข้าก็เผยให้เห็น

วูชินเงียบลงเมื่อได้เห็นสิ่งที่ อยู่ด้านหลังต้นมอส มันเป็นประตูทางเข้าที่ไม่สมควรมีบนโลกนี้

“... .”

"โอ้เทพธิดา"

เมื่อประตูเปิดออก เมโลดี้ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาที่หลั่งไหลเข้ามา เมโลดี้จึงคุกเข่าลงกับพื้นก่อนที่จะทำความเคารพออกมา

แต่ปฏิกิริยาของเธอและวูชินช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

"นี่มันยานอวกาศชัดๆ"

ตอนนี้เขาไม่มีเหตุผลมารองรับเรื่องราวครั้งนี้ มันคืออะไรกันแน่?

ถ้าเขาอยากรู้เหตุผล และเบื้องหลังของเรื่องทั้งหมด เขาต้องเผชิญหน้ากับมัน

วูชินก้าวผ่านประตูทางเข้า เพื่อเข้าไปด้านใน

รีวิวผู้อ่าน