px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 461 : จามู่ผู้โอหัง


WSSTH บทที่ 461 : จามู่ผู้โอหัง

 

สุดท้ายองค์หญิงปี้เหยาก็ถอนสายตากลับมา ก่อนที่จะเดินไปนั่งข้างราชา

แต่ดวงตาคู่งามกระจ่างใสดั่งหยดวารี ยังอดไม่ได้ที่จะลอบชำเลืองมองต้วนหลิงเทียนอยู่บ่อยครั้ง

ใบหน้าหล่อเหลาที่นางฝันถึงอยู่ทุกค่ำคืน ยามนี้ได้มาปรากฏตัวตรงหน้าของนางอีกครั้ง...

นี่ทำให้ในใจของนางบังเกิดความปั่นป่วน ยากที่จะสงบลงได้แม้จะเนิ่นนานผ่านไป

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกับองค์หญิงปี้เหยาต่างนั่งกันคนละข้างของราชา  มองจากที่ไกลๆแล้วทั้งคู่ช่างดูเหมาะสมกันราวสวรรค์สร้าง

ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ คล้ายหมองลงด้วยถูกบรรยากาศของคนทั้งคู่กลบมิด

คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อย  สายตาสงบหันไปจับจ้องมองชายวัยกลางคนท่าทางกำยำด้านล่าง พร้อมใจคิด ‘มันเป็นเอกอัครราชทูตของอาณาจักรตะวันรุ่งงั้นหรือ?’

ต่อมาสายตาของต้วนหลิงเทียนก็กวาดผ่านไปยังร่างชาย 3 คนที่นั่งข้างเอกอัครราชทูต

พวกมันเป็นชายหนุ่ม และคนที่แก่ที่สุดอายุก็ประมาณ 35 ปี

ส่วนคนที่อายุน้อยสุดก็อายุราวๆ 30 ปี

เพียงไม่นานสายตาที่ร้อนแรงปานจะมอดไหม้ไปด้วยไฟปรารถนาของพวกมัน ก็จับจ้องไปยังองค์หญิงปี้เหยาอย่างยากจะถอนคืน

มุมปากของต้วนหลิงเทียนแสยะยกขึ้นด้วยความรังเกียจเมื่อเห็นภาพนี้

นี่น่ะเหรออัจฉริยะของอาณาจักรตะวันรุ่ง?

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นไกล  เอาเท่าที่ต้วนหลิงเทียนห่วง  ก็นับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับทั้ง 3 ที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรในชีวิต ด้วยระดับบ่มเพาะเพียงเท่านี้

ชายที่อายุน้อยที่สุดของคณะทูตมองไปยังราชา พร้อมกล่าวด้วยความใจร้อนเล็กน้อย “ฝ่าบาท ตอนนี้ทุกคนก็อยู่กันครบแล้ว พวกเราสมควรเริ่มการประลองกระชับมิตรระหว่างอัจฉริยะของอาณาจักรเรากันเลยดีหรือไม่? อัจฉริยะของอาณาจักรนภาล่องท่านพร้อมแล้วหรือยัง? ข้าแทบรอที่จะขอคำชี้แนะจากอัจฉริยะอาณาจักรนภาล่องไม่ไหวแล้ว...”

ราชายังไม่ทันได้กล่าวคำอะไร กลับเป็นชายหนุ่มที่มีอายุราวๆ 32-33 ปีที่อยู่ข้างๆผู้กล่าววาจา อดไม่ได้ที่จะกล่าวโพล่งออกมาพร้อมหัวเราะร่า “ข้าว่าเรื่องที่เจ้าอยากขอรับคำชี้แนะจากอัจฉริยะของอาณาจักรนภาล่อง  คงมิใช่ความต้องการที่แท้จริงของเจ้าหรอก ...ให้ข้าเดา ใจเจ้าคิดแสดงความสามารถให้องค์หญิงปี้เหยารับชม ใช่หรือไม่เล่า?”

“ฮึ่ม! หรือพวกเจ้าไม่ต้องการเช่นข้า?” ชายคนนั้นหน้าม้านไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปถลึงตามองกล่าวตะคอกใส่สหายมัน

“ฮ่าๆๆ! ความแข็งแกร่งของเจ้าอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาพวกเรา 3 คน...ให้พวกข้าชมดูเจ้าแพ้พ่ายต่อหน้าองค์หญิงปี้เหยา ก็สมควรบันเทิงมิน้อย”เสียงของชายอีกคนพลันดังขึ้นมาพร้อมหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

“ในเมื่ออัจฉริยะของอาณาจักรตะวันรุ่งต่าง มิอยากทนรออีกต่อไป เชนนั้นข้าก็ขอประกาศเริ่มต้นการประลองกระชับมิตร ระหว่างอัจฉริยะของอาณาจักรตะวันรุ่งกับอาณาจักรนภาล่องอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้” ราชาเผยท่าทางสงบออกมาในขณะประกาศคำ

วูบ!

เพียงสิ้นเสียงราชาร่างชายหนุ่มอายุน้อยที่สุดของอาณาจักรตะวันรุ่งก็ปราดพุ่งออกมายืนบริเวณที่ว่าง ที่เว้นเอาไว้ในทันใด

สายตาของ จามู่ กวาดมองไปยังเหล่าอัจฉริยะหนุ่มของโต๊ะต่างๆ หลังจากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงเจตนายั่วยุ “ข้า จามู่ ได้ยินมาเนิ่นนานแล้วว่าผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรนภาล่องมีมากมายดั่งฝูงเมฆบนฟ้า  ผู้ใดยินดีออกมาชี้แนะข้าบ้าง”

“ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!” ทันใดนั้นคนของตระกูลซู ที่มีอายุอานามราวๆ 27-28 ปีที่น่างอยู่ด้านซ้ายของประมุขตระกูลซู พลันลุกขึ้นก่อนจะเหินร่างไปประจันหน้ากับจามู่

“ซูอี้ จากตระกูลซูแห่งอาณาจักรนภาล่อง”  คนของตระกูลซูพยักหน้าให้จามู่พร้อมกล่าวออกมาช้าๆ

“ถึงแม้ว่านี่จักเป็นการมาเยือนอาณาจักรนภาล่องครั้งแรกของข้า  แต่ยามที่ข้ามาถึงเมืองหลวงก็พอได้ยินเสียงคำร่ำลือของตระกูลซูมายู่บ้าง ว่าเป็นถึง 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง...เช่นนั้นวันนี้ให้ข้าได้รับรู้ความแข็งแกร่งของตระกูลซูเสียหน่อย  ล่วงเกินแล้ว!”

ฟุ่บ!

ทันใดนั้นร่างของมันพลันพุ่งไปดุจกระสุนปืนใหญ่ไปทางซูอี้

เหนือขึ้นไปบนฟ้าปรากฏเงาทะมึนของร่างช้างแมมมอธโบราณ 100 ตัวก่อเกิดขึ้น. ...

“กำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7!” สีหน้าของซูอี้จางลงไปโดยพลันเมื่อเห็นภาพนี้

เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของจามู่เหนือกว่าที่มันคิดคาดเอาไว้

สีหน้าของซูอี้ลดต่ำลงก่อนที่จะชักดาบวิญญาณออกจากฝักที่ห้อยไว้ตรงเอว แล้วฟาดฟันออกมาตรงๆ

ทันใดนั้นปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณออกมา 70 ตัว พร้อมด้วยความสามารถเพิ่มพูนดาบสำแดง เผยอีก 13 ช้างแมมมอธโบนราณข้างๆ

ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 5 ดาบวิญญาณระดับ 8!

ชู่วว!

ดาบของมันแหวกฝ่าอากาศมาคล้ายอสรพิษร้ายพุ่งไปฉกจามู่

ดาบนี้มีความแข็งแกร่งทั้งสิ้น 83 ช้างแมมมอธโบราณ!

“การกระทำอันเปล่าประโยชน์!” จามู่เผยท่าทีดูแคลนออกมาเมื่อเห็นดาบของซูอี้ ร่างของมันกระพริบฉีกออกข้างหลบดาบของซูอี้อย่างง่ายดาย!

ปงงง!!

เมื่อก้าวฉีกออกข้างหลบดาบซูอี้ได้แล้ว จามู่ยังหยิบยืมสภาวะออกตัวเสริมแรง ยิงหมัดสวนออกไป! เสียงประหนึ่งค้อนมหึมาฟาดทุบดังหนักแน่น อัดระเบิดไปที่กลางอกของซูอี้!

แคร่ก!

ยังมีเสียงแตกหักของกระดูกดังเข้าหูทุกผู้คนอย่างชัดเจนอีกด้วย...!

ซูอี้นั้นไม่ต่างอะไรกับลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร ร่างปลิดปลิวละลิ่วออกมา ก่อนที่จะร่วงไปกลิ้งบนพื้น หมดสภาพ ลมหายใจคนยังรวยรินแทบจะขาดห้วงลงได้ทุกเมื่อ

“เจ้า!!”ประมุขตระกูลซู ซูผอหยา ใบหน้ากลับกลายเป็นถมึงทึง รีบพุ่งร่างไปตรวจอาการบาดเจ็บของซูอี้ในทันใด

มันไม่คิดเลยว่าคนของอาณาจักรตะวันรุ่งจะไร้ไมตรีถึงเพียงนี้

กำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 กลับลงมือด้วยอำมหิตต่อ กำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 5  ...ทำให้ภาพลักษณ์ของมันหาได้ดูโดดเด่นน่ายกย่องอันใดไม่ ..เพียงคนถ่อยอันธพาลก็เท่านั้น

คิ้วของต้วนหลิงเทียนยังขมวดขึ้นด้วยความไม่พอใจ สำหรับเขาการกระทำนี้ของอาณาจักรตะวันรุ่งออกจะเกินเลยไปอยู่บ้าง ประมือกับผู้ที่ด้อยกว่าตัวถึง 2 ขั้น ไม่มียั้งมือออมรั้งพลังสักเพียงนิด นี่ทำให้เขาเริ่มเดือดดาลขึ้นมาแล้ว!

นี่ยังเรียกการประลองกระชับมิตร?

กระชับมิตรมารดามันเถอะ! คนไม่รู้มาชมดูยังคงนึกว่า ศัตรูชำระหนี้แค้นกันด้วยอาฆาตแล้ว!

ตอนนี้นอกจากต้วนหลิงเทียนแล้ว โม่อี้,จ้าวพระยา, ราชา  คนของอาณาจักรนภาล่องทั้งหมดยังเดือดดาลไม่น้อย

อาณาจักรตะวันรุ่งจะกลั่นแกล้งรังแกคนของนภาล่องเกินไป!

ตอนนี้เองเอกอัครราชทูตพลันยืนขึ้นในเวลาพอเหมาะพอเจาะ  มันถลึงตามองไปยังจามู่อย่างรุนแรง “จามู่ นี่เป็นเพียงการประลองกระชับมิตรระหว่างอัจฉริยะของอาณาจักรเรากับอาณาจักรนภาล่อง  เจ้าจักลงมืออย่างไร้ปราณีเช่นนี้ได้อย่างไร! รีบขอโทษฝ่าบาทเสีย!”

อย่างไรก็ตามทุกคนรับรู้และสัมผัสได้ดี ว่าแม้เสียงจะกล่าวดัง แต่น้ำเสียงของเอกอัครราชทูตหาได้แฝงเจตนาตำหนิติเตียนดังปากกล่าวไม่  กระทั่งยังเผยร่องรอยความยินดีสะใจ ซ้ำร้ายแววตามันยังเผยความพึงใจไม่น้อย!

“ขอรับท่านเอกอัครราชทูต”จามู่หาได้ขุ่นขึ้งหมองเคืองอะไรที่ถูกคำกล่าวตำหนิ  มันเพียงยิ้มให้ราชา และประสานมือขึ้นเบื้องหน้า “ขออภัยด้วยฝ่าบาท จามู่เผลอลงมือหนักเกินไป...”

“บาดเจ็บเท่านี้ยังนับเป็นอะไร” ราชาเพียงโบกไม้โบกมือออกมาด้วยท่าทางไม่แยแสอะไร พร้อมกล่าวคำออกมา “ผู้ฝึกยุทธ์ประลองกระทบกระทั่งยากหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ  ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ล้วนไม่นับเป็นอะไร”

“ฝ่าบาททรงปรีชานัก” จามู่ยิ้มกล่าว ก่อนที่จะจับจ้องไปยังองค์หญิงปี้เหยา ประกายตายังเรืองออกมาด้วยความหลงใหลวูบหนึ่ง ก่อนที่จะหันมองไปรอบๆแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงยั่วยุปลุกปั่น “ข้าสงสัยว่าต่อไปอัจฉริยะของอาณาจักรนภาล่องคนใดจะออกมาชี้แนะข้า เพียงอย่าได้ต่ำกว่าระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 แล้ว เพราะออกมาก็เสียเวลาเปล่า!” เมื่อกล่าวจบคำ สายตาของจามู่ยังเผยความดูแคลนออกมาไม่น้อย

“ให้ข้าเอง!” การกระทำนี้ของจามู่ นับว่าเรียกโทสะของคนอาณาจักรนภาล่องได้เป็นอย่างดี!

ตอนนี้เองชายหนุ่มอายุราว 30 ปี จากโต๊ะตระกูลต้วนพลันเดินออกมา สายตามองไปยังจามู่ด้วยท่าทางหยิ่งยโส “จำไว้ให้ดี ผู้ที่เอาชนะเจ้าวันนี้ คือข้า ต้วนเชิ่ง!”

“ต้วนเชิ่ง*? เหอะ!  หลังจากวันนี้เจ้าจักกลายเป็น ต้วนป้าย*!” จามู่สบถทออกมาพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา และพุ่งออกมา จู่โจมต้วนเชิ่งอย่างที่ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว ..(*เชิ่ง = ชนะ , ป้าย = พ่ายแพ้)

สุดท้ายด้วยการชิงความได้เปรียบตั้งแต่แรกเริ่ม ก็ทำให้ต้วนเชิ่งไม่มีโอกาสได้ชักอาวุธ จำต้องแพ้พ่ายไปอย่างไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งจามู่ยังอัดทุบกระดูกต้วนเชิ่งหักไปไม่น้อย

แม้ว่าต้วนเชิ่งเองก็อยู่ในระดับบ่มเพาะกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 แต่เห็นได้ว่ามันขาดประสบการณ์ และไม่อาจเทียบชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมของจามู่ได้ สุดท้ายก็รับมืออย่างป่วนปั่นได้เพียงแค่ 10 กระบวนท่าก่อนจะพ่ายแพ้ จามู่ ไปอย่างไม่อาจทำอะไรได้

“ตั้งแต่วันนี้ เจ้าควรเรียกว่า ต้วนป้าย ฮ่าๆๆ!” จามู่หัวเราะออกมาเสียงดังร่า ท่าทางของมันหยิ่งยโสโอหัง ทำราวกับไร้ซึ่งผู้ใดเทียบเทียมมันได้

ต้วนหรูหั่วประมุขตระกูลต้วน ที่พุ่งร่างพร้อมหยิบโอสถทองประสานกายออกมารักษาต้วนเชิ่ง เมื่อได้ยินวาจาโอหัง สีหน้าของมันก็มืดลงโดยพลัน

ทันใดนั้นมันพลันเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังต้วนหลิงเทยน ที่นั่งอยู่ข้างราชา กล่าววาจาผ่านพลังงานต้นกำเนิดด้วยน้ำเสียง เต็มไปด้วยโทสะ “เทียนน้อย! ล้างแค้นให้ต้วนเชิ่งด้วย!”

“ประมุขอย่าได้กังวลไป  มันโอหังอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้ต้วนหรูหั่วก่อนที่จะส่งเสียงตอบกลับไป

“ให้ข้าลอง!”ตอนนี้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมร่างหนึ่งพุ่งทะยานออกมายืนประจันหน้ากับจามู่

เป็นสหายอันดีของต้วนหลิงเทียน เซี่ยวหยู

"เจ้าเป็นใคร?" จามู่ มองไปยังเซี่ยวหยูพร้อมกล่าวด้วยท่าทางยโส

ภายใต้ทุกสายตาที่จับจ้องมาของทุกคน หลังจากที่ได้ชัยชนะไปถึง 2 ครั้ง ทำให้ตอนนี้จามู่ยิ่งมายิ่งได้ใจ ท่วงท่าเขื่องโขโอหัง ราวกับมันเป็นจ้าวโลก

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ตอนเจ้าแพ้” เซี่ยวหยูยังคงกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ แววตาเย็นชานัก ท่วงท่ายังสงบไม่แยแสอาวรณ์ใดๆ

“สหายผู้นี้ ยังคงเย็นเยือก แลดูเจ๋งนัก”ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมยิ้มอย่างสนุกสนาน  มองเรื่องราวตรงหน้าอดไม่ได้ที่เขาจะหวนนึกถึงวันแรกที่ได้พบเจอเซี่ยวหยู ที่เวทีประลองของงานชุมนุมมังกรซ่อนที่เมืองออโรร่า

ตอนนี้เซี่ยวหยูก็แลดูเย็นชาเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้

“จี๊ดๆ~” หนูสีทองที่นอนหลับอยู่บนไหล่ของต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ยังไม่เดินทางมาวังหลวงก็ได้ตื่นขึ้นมา  และเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะเบื้องหน้าเต็มไปด้วยอาหารมากมาย  ดวงตาของมันก็ลุกวาวกลมโต ไม่รอช้าอะไรกระโจนพุ่งออกมาจัดการคว้าหยิบอาหารบนโต๊ะกัดกินทันที

"หนูสีทองอะไร น่ารักยิ่ง!" เนื่องจากต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่โทนโท่ แน่นอนว่าองค์หญิงปี้เหยาย่อมไม่ได้สนใจอะไรการประลองกระชับมิตรเบื้องล่างสักเพียงนิด สายตาของนางยังคงมองเพียงต้วนหลิงเทียน และเมื่อเห็นว่าหนูสีทองตัว้นอยโดดลงจากไหล่ต้วนหลิงเทียน ดวงตาคู่สวยสดใสดังหยดน้ำก็เผยความหลงใหลเอ็นดูออกมา

"จี๊ดๆ ~" เจ้าเสี่ยวจินที่ได้ยินเสียงชมเชยของปี้เหยา มันก็หันมองมา ก่อนที่จะขยิบตาปิ๊งปั๊งให้ปี้เหยา แล้วหันไปจัดการอาหารเบื้องหน้าต่อ

“หนูสีทองตัวนี้ยังฉลาดคงยิ่งนัก!”ดวงตาของปี้หยาถึงกับเบิกกว้างขึ้นด้วยความอึ้ง ไม่คิดเลยว่าบนโลกยังมีสัตว์เลี้ยงอย่างหนูน้อยที่ฉลาดเฉลียวเช่นนี้

ส่วนต้วนหลิงเทียนยังคงมองไปยังเรื่องราวด้านล่าง

ตอนนี้จามู่เริ่มมีโทสะไม่น้อย เมื่อพบเจอการกระทำอันเย็นชาของเซี่ยวหยู  ร่างของมันพลันพุ่งกระพริบไปราวกระสุนปืนใหญ่อีกครั้ง ยังเงื้อหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดอันเกรี้ยวกราด หมายซัด ตัวเย็นชาเบื้องหน้า!

เซี่ยวหยูยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงเมื่อเผชิญกับการพุ่งมาของจามู่ และท่าทางของเขายังคงเผยความเย็นเยือกสงบไร้หวั่นหวาดปานขุนเขา

“ภาพนี้มัน...ฝ่ามือเอกะ?”ท่าทางนิ่งๆของเซี่ยวหยู พร้อมฉากการพุ่งมาของศัตรูเช่นนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกคุ้นเคยไม่น้อย คิ้วอดไม่ได้ที่จะโค้งขึ้นมา

และความจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก

ฝ่ามือเอกะ!

เซี่ยวหยูที่ยืนนิ่ง พลันเริ่มหมุนวนท่อนแขนช้าๆ ใช้แขนเสื้อลดทอนสภาวะพลังหมัดคู่ต่อสู้ก่อนจะป้ายมือชักนำพลังหมัดของจามู่หมุนวนรอบหนึ่งค่อยสลายหายไป

ขวับบบ!

ร่างจามู่ที่พุ่งมาปานกระสุนพร้อมยิงหมัดออกไปยังเซี่ยวหยู แต่เมื่อมันปะทะกับแขนเสื้อและฝ่ามือของอีกฝ่าย มันก็รู้สึกเหมือนต่อยไปยังปุยนุ่น ไร้ซึ่งแรงกระแทกกระทบอะไร

“จามู่ รีบใช้อาวุธวิญญาณของเจ้า!” ตอนนี้เองสีหน้าท่าทางของเอกอัครราชทูตพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง รีบส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดกล่าวเตือนจามู่โดยพลัน

มันรู้ได้ทันทีว่า วิทยายุทธ์ที่เซี่ยวหยูใช้อยู่นั้น เป็นยอดวิชา หาใช่วิชาไก่กาธรรมดาไม่!

 

รีวิวผู้อ่าน