WSSTH บทที่ 462 : ความไม่เป็นธรรมของฮายี
ใบหน้าของจามู่ลดต่ำลงโดยพลัน ทั้งยังเผยความจริงจังขึ้นไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของเอกอัครราชทูต มือมันพลันขยับวูบไปคล้ายสายฟ้า หมายคว้าชักดาบวงโค้งที่ห้อยอยู่ข้างเอวออกจากฝัก มารับมือคู่ต่อสู้
แต่มันจะยังมีเวลากระทำเช่นนั้นหรือ?
"เหอะ!" ในพริบตาที่จามู่เอื้อมมือลงไปหมายชักดาบที่เอว เซี่ยวหยูก็ลงมือต่อเนื่อง แขนเสื้อที่ห้อยตกลงถูกสะบัดออกมาอีกครั้ง ฟาดไปยังมือที่จับด้ามดาบทำให้มันไม่อาจชักดาบออกได้ ก่อนที่มันจะตวัดขึ้นมาตบฟาดพลังฝ่ามือ ซัดไปยังหัวไหล่ ทั้ง 2 และกลางอกจามู่ด้วยความเร็วสูง ราวกับจะรู้ว่าจามู่ต้องการทำอะไร...เซี่ยวหยูก็ปิดผนึกกระบวนท่าของมันหมดทั้งสิ้น
“อ๊าคคค!!” จามู่ร้องดังลั่น เสียงกระดูกแตกดังขึ้นอย่างสยดสยอง ร่างของมันถูกซัดปลิวไปกระแทกพื้นอย่างน่าเวทนา
หลังจากที่ถูกซัดปลิวกลิ้งไปกับพื้น ร่างจามู่ก็นอนดิ้นโอดโอยเพราะความเจ็บปวด ไม่อาจลุกขึ้นมาได้ด้วยลำพัง ทั้งร่างชโลมไปด้วยเหงื่อกาฬ ปากยังกระอักโลหิตไม่หยุด
เซี่ยวหยูได้ชัย!
“ดี!” ตอนนี้เหล่าคนของนภาล่องก็ร้องออกมาคำหนึ่งอย่างสะใจ
โดยเฉพาะประมุขตระกูลเซี่ยวนั้นฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริ!
นี่เพราะก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะตระกูลซูหรือตระกูลต้วน ก็ล้วนแพ้พ่ายจามู่ไม่เป็นท่าทั้งสิ้น ทว่าทางด้านเซี่ยวอยู่กลับเอาชนะจามู่ได้ขาดลอย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกียรติยศที่ตระกูลเซี่ยวได้รับครานี้คงไม่ใช่น้อยๆ
“ฮ่าๆๆๆ...ดี!”ราชาเองยังสรวลออกมาอย่างยินดี
ถึงแม้มันจะทำราวกับไม่ได้แยแสแพ้ชนะอะไรมากมาย แต่ทุกครั้งที่อัจฉริยะของอาณาจักรนภาล่องแพ้พ่าย ในใจของมันก็อดที่จะบังเกิดความผิดหวังขึ้นมาเสียไม่ได้
ทว่าตอนนี้เซี่ยวหยูกลับทุบตีอัจฉริยะของอาณาจักรตะวันรุ่งจนนำพาชัยชนะกลับมาได้ ตัวมันก็รู้สึกพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย
“เจ้าเรียกว่าอะไรหรือ?”ราชามองไปยังเซี่ยวหยูก่อนที่จะกล่าวถาม
“ฝ่าบาท ข้าเรียกว่าเซี่ยวหยูพะย่ะค่ะ”ใบหน้าของเซี่ยวหยูหาได้มีความเย็นชาดั่งก่อนหน้าไม่ เมื่อเผชิญหน้ากับราชา ใบหน้ามันมีเพียงความเคารพนับถือ
“ฝ่าบาท เซี่ยวหยูเป็นสหายที่ดีของข้า”ต้วนหลิงเทียนมองไปยังราชาก่อนที่จะส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิด
เขาทำเช่นนี้เพราะหวังว่าต่อไปราชาจะให้ความสำคัญกับเซี่ยวหยูมากขึ้น
นี่นับเป็นเรื่องที่สำคัญต่ออนาคตเซี่ยวหยูอย่างมาก...
เซี่ยวหยูเป็นสหายของเขา และเขาหวังว่าเซี่ยวหยูจะประสบความสำเร็จในอาณาจักรนภาล่อง
ตาของราชาหรี่ลงในทันใดเมื่อได้ยินเสียงต้วนหลิงเทียน หลังจากนั้นมันก็มองไปยังเซี่ยวหยูอีกครั้งอย่างลึกซึ้ง “เซี่ยวหยู ข้าจักจดจำเจ้าไว้...และข้าจะมอบรางวัลให้เจ้าอย่างเหมาะสม เมื่อการประลองกระชับมิตรระหว่างอัจฉริยะของสองอาณาจักรจบสิ้นลง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เซี่ยวหยูรีบกล่าวตอบออกมาอย่างตื้นตัน ท่าทางยินดีและปลื้มปิติอย่างถึงที่สุด
เรื่องนี้นับว่าต่างจากต้วนหลิงเทียนนัก ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของเซี่ยวหยูจะนับว่าไม่ใช่ชั่ว แต่จะอย่างไรมันก็จำกัดอยู่แค่อาณาจักรนภาล่องแห่งนี้เท่านั้น
ทว่าอนาคตของต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่ใช่อะไรที่จะหยุดอยู่ที่อาณาจักรนภาล่อง
ส่วนด้านเซี่ยวหยูนั้น หากไม่มีอะไรเหนือความคาดฝันบังเกิดขึ้น มันคงต้องใช้ทั้งชีวิตในอาณาจักรนภาล่อง
และในสายตาของเซี่ยวหยู ราชา ก็คือตัวตนที่สูงส่งที่สุดในแดนดิน..
เมื่อตอนนี้ตัวตนสูงส่งเช่นนั้นคิดมอบรางวัลให้ แม้มันจะประหลาดใจและดีใจไม่น้อย แต่ก็ยังแฝงความกริ่งเกรงเช่นกัน
“เหล่าสาวกของตระกูลเซี่ยวนับว่า หาได้ธรรมดาไม่...ที่สำคัญยังเยาว์นัก ยังคงมีเวลาให้เติบโตแข็งแกร่งขึ้นได้อีกมากมาย ความสามารถยังนับว่าเหนือกว่าอัจฉริยะของตระกูลต้วนและตระกูลซูเสียอีก”เอกอัครราชทูตมองไปยังเซี่ยวหยูพร้อมประกายตาเย็นเยือก รอยยิ้มเสแสร้งของมันฉายชัดบนใบหน้ากล่าวออกมาช้าๆ
เห็นได้ชัดว่าวาจาของมันหมายสร้างความร้าวฉานแตกแยก
“เอกอัครราชทูต คำนี้ท่านผิดแล้ว” เมื่อใบหน้าของคนตระกูลซูและตระกูลต้วนเริ่มมืดลง เซี่ยวหยูเพียงแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาขณะมองไปยังเอกอัครราชทูตของตะวันรุ่ง “ตระกูลซูและตระกูลต้วน ก็ไม่ต่างจากตระกูลเซี่ยว ต่างเป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ผู้เชี่ยวชาญเองก็มีมากมายดั่งเมฆ”
“ไม่ว่าจะเป็นตระกูลซู หรือตระกูลต้วน ทั้งสองตระกูลมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ที่กระทั่งทำให้ข้ารู้สึกต่ำต้อยด้อยสามารถ! นอกจากนี้อายุของอัจฉริยะที่ว่า ยังไม่แก่กว่าข้า!”
“พี่น้องเซี่ยวหยู วาจาเจ้าใช่เกินเลยไปหรือไม่?...อายุเจ้าตอนนี้ข้าดูแล้วมากสุดคงมีเพียง 25 ปี แต่ตระกูลต้วนกับตระกูลซูยังจะมีอัจฉริยะเหนือกว่าเจ้า? กระทั่งอายุน้อยกว่าด้วย?” เอกอัครราชทูตตะวันรุ่งย่อมไม่เชื่อคำกล่าวเซี่ยวหยู
“เชื่อไม่เชื่อสุดแล้วแต่ท่าน...คนของตระกูลซูนั้น เดินทางออกจากเมืองหลวงไปไม่นานมานี้ และก่อนที่เขาจะจากไป ก็มีพลังบ่มเพาะและฝีไม้ลายมือเหนือกว่าข้า ส่วนคนของตระกูลต้วน...ข้าคิดว่าอีกไม่นานเอกอัครราชทูตคงได้เห็นเขาเร็วๆนี้” เซี่ยวหยูกล่าวจบก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะชำเลืองมาทางต้วนหลิงเทียนพร้อมยิ้ม
ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมยิ้มบางๆ
เขาย่อมเดาได้ว่าคนที่เซี่ยวหยูกล่าวหมายถึงใคร
ซูหลี่
มือกระบี่หนุ่ม ผู้แสนทระนงที่เขาและเซี่ยวหยูได้พบเจอที่ ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กสมัยยังเยาว์ หลังจากนั้นต่างก็เข้าร่วมสถาบันบ่มเพาะขุนพล และกลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน
แต่ตระกูลซูโชคร้ายนัก... ด้วยตัวโง่งมบางกลุ่มในตระกูลไม่กี่คน กลับบีบบังคับให้ซูหลี่ต้องจากไป กระทั่งบัดนี้ยังไร้ซึ่งข่าวคราวใดๆ
ทว่าสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้กระจ่างก็คือ ก่อนที่ซูหลี่จะจากไป ไม่ว่าจะพรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์หรือระดับบ่มเพาะ ล้วนเหนือกว่าเซี่ยวหยู
ส่วนตระกูลต้วนนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ว่าเซี่ยวหยูหมายถึงเขา
ท่าทางปั้นยากขุ่นขึ้งของต้วนหรูหั่วประมุขตระกูลต้วน คลายลง ก่อนที่จะเหลือบมองไปยังต้วนหลิงเทียน ค่อยเผยรอยยิ้มยินดีออกมา
‘ถูกแล้ว...อัจฉริยะวัยเยาว์ของตระกูลต้วน หาได้เป็นสองรองใครไม่!’
มันยังเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า กระทั่งเหล่าตระกูลใหญ่แห่งอาณาจักรพนาคราม ยังไม่มีอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เทียบเทียมกับต้วนหลิงเทียนได้ด้วยซ้ำ
ส่วนทางด้านตระกูลซู ซูผอหยา กลับเม้มปากก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างขื่นขม
มันย่อมคาดเดาได้ ว่าอัจฉริยะในวาจาของเซี่ยวหยูนั้น คือซูหลี่ แต่ทว่า... ‘ซูหลี่ยังนับเป็นคนของตระกูลซูอยู่หรือ’
มันอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาด้วยอารมณ์สะทกสะท้อน
"แล้วข้าจักรอดูชม!" เอกอัครราชทูตเหลือบมองไปที่เซี่ยวหยูด้วยสายตาไม่แยแส ก่อนที่จะหันกลับมามองอัจฉริยะคนอื่นของตัว “ฮายี เจ้าลองไปรับรู้ความสามารถของ พี่น้องเซี่ยวหยู สักครา...อืม จดจำไว้ด้วย อย่าได้บังเอิญลงไม้ลงมือหนักจนผู้อื่นพิการเสียล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นมาโดยพลัน
เอกอัครราชทูตของอาณาจักรตะวันฉายกลับกล่าวคำ พิการ ออกมาเห็นได้ชัดว่าที่มันกล่าวออก เหตุเพราะมีแรงจูงใจซ่อนเร้นบางประการ
“ขอรับ ท่านเอกอัครราชทูต” ฮายีที่ถูกเอกอัครราชทูตเรียกนี้ คือชายหนุ่มที่กล่าววาจาหยอกล้อกับจามู่ก่อนหน้านี้ ร่างของมันเองก็กำยำไม่น้อย ก้าวอาดๆออกมาเบื้องหน้ามีสภาวะขู่ขวัญไม่น้อย ร่างยังแผ่แรงกดดันไร้สภาพออกมาสะกดข่มผู้คน
ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเห็นเซี่ยวหยูถูกกระตุ้นจนคนคล้ายจะพุ่งไปทุบตีกับอีกฝ่าย เขารีบใช้พลังวิญญาณแผ่ซ่านหยั่งตื้นลึกหนาบางฮายีโดยพลัน
กำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9
ต้วนหลิงเทียนรับรู้ระดับบ่มเพาะของมันได้ในทันที!
"พี่น้องเซี่ยวหยู ข้าเองก็สุขใจไม่น้อย ที่เจ้ากรุณาทุบตีสั่งสอนจามู่แทนข้า ...หากเป็นช่วงเวลาปกติ ข้าคงเชิญเจ้ามาจิบสุราสักจอก แต่ยามนี้ใต้เท้าของข้า...ทำให้ข้าสิ้นไร้ทางเลือก จำต้องต่อยตีกับเจ้าแล้ว " ฮายีก้าวเดินออกมาเผชิญหน้ากับเซี่ยวหยู ก่อนจะแย้มยิ้มเผยฟันขาวราวหิมะ ช่างตัดกับสีผิวดำทมิฬของมันนัก
เซี่ยวหยูมองลึกไปยังฮายี “ในเมื่อเจ้าเองก็ตรงไปตรงมา ข้าเองก็ไม่ใช่คนอ้อมค้อม...ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
ยอมรับความพ่ายแพ้!
นอกจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ทุกคนอดที่จะบังเกิดความสับสนงุนงงออกมาไม่ได้ เมื่อได้ยินคำเซี่ยวหยู
เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่คิดคาดว่าเซี่ยวหยูจะตัดสินใจกระทำเช่นนี้
ต่างสับสนงงงวยนัก
เมื่อครู่เซี่ยวหยูยังเผยทีท่าราวกับจะทุบตีอีกฝ่ายเสียให้ได้
แต่ตอนนี้ใยเปลี่ยนใจไวนักเล่า?
ในขณะที่คนส่วนมากยังไม่ทันฟื้นสติรู้สึกตัว เซี่ยวหยูก็เดินไปนั่งข้างประมุขตระกูลเซี่ยวเรียบรอยแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาและวาจากล่าวถามด้วยความสงสัยของประมุขตระกูลเซี่ยว เซี่ยวหยูก็ตอบกลับโดยการส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิด “ท่านประมุข ฮายีผู้นี้ อยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 แล้ว”
ใบหน้าของประมุขตระกูลเซี่ยวมืดลงโดยพลัน ท่าทางยังไม่น่าดูอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆ...ข้าคิดว่าอัจฉริยะหนุ่มของอาณาจักรนภาล่อง หาได้ธรรมดาไม่ แต่มิคิดเลยว่าจักเป็นเพียงผู้ที่ขลาดเขลายอมแพ้ เลือกหลบหนีตั้งแต่มิทันได้สู้รบ!” ใบหน้าของเอกอัครราชทูตเองก็มืดลงไม่แพ้กัน เมื่อเห็นเซี่ยวหยูยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งยังแสดงความเสียดายออกมา
“ข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ตอนนี้ข้ายังมิใช่คู่ต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9” เซี่ยวหยูเหลือบไปมองฮายี ก่อนที่จะกล่าวออกมาช้าๆ
"เจ้า... เจ้ารู้ได้อย่างไร?" หน้าของฮายีแปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัว มันบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองไม่น้อย
มันมั่นใจว่าตั้งแต่มาถึงอาณาจักรนภาล่อง มันยังไม่ได้สู้รบตบมือกับใคร กล่าวกันตามหลักเหตุผลแล้วไม่สมควรมีใครล่วงรู้ระดับบ่มเพาะที่แท้จริงของมัน
แต่ตอนนี้กลับถูกเปิดโปงโดยเซี่ยวหยู! มันขบคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายล่วงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!!
หน้าของเอกอัครราชทูตตะวันรุ่งเริ่มดำคล้ำ ก่อนที่จะลดต่ำลงเล็กน้อย เหลือบตามองไปยังฮายีอย่างดุร้าย “ฮายี ก่อนหน้านี้เจ้าก็อยู่ด้วยมิใช่หรือไรยามข้าให้บทเรียนแก่ เก๋อหลู่ เรื่องที่มันเปิดเผยระดับบ่มเพาะวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นแรกออกไป...ข้ากล่าวเตือนเจ้าซ้ำๆ ว่าอย่าได้เปิดเผยระดับบ่มเพาะออกไปจนกว่าจักถึงวันนี้! แล้วนี่คือสิ่งที่เจ้ารับปากข้าหรือ!?”
เห็นได้ชัดว่าเอกอัครราชทูตของตะวันรุ่ง คิดว่าฮายีเผยระดับบ่มเพาะออกไปเพราะความเลินเล่อ หาไม่แล้วผู้คนของอาณาจักรนภาล่อง จะล่วงรู้ระดับบ่มเพาะของฮายีได้อย่างไร...?
"ใต้เท้า ข้า ... ข้ายังมิได้สู้กับผู้ใด...และยังมิได้เผยความแข็งแกร่งของระดับบ่มเพาะเลยสักครั้ง! ตั้งแต่มาถึงอาณาจักรนภาล่อง ... " ฮายีส่งเสียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอมพร้อมใจรับข้อกล่าวหานี้
ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 !
คำกล่าวที่ออกมาจากปากของเซี่ยวหยู ทำให้คนของนภาล่องตกใจไม่น้อย และเมื่อพวกมันเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของเอกอัครราชทูตของตะวันรุ่ง พวกมันก็ยืนยันได้ ว่าคำกล่าวของเซี่ยวหยูเป็นจริง!
ดูเหมือนผู้ฝึกยุทธ์คนที่สองของอาณาจักรตะวันรุ่ง จะมีระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9!
ตอนนี้เหล่าอัจฉริยะของ 3 ตระกูลใหญ่ ที่คันไม้คันมืออยากออกไปฟัดกับอีกฝ่ายสักตั้ง พลันหน้าซีดลงไปโดยพลัน ก้นพวกมันที่เผยอคิดจะลุกออกไป รีบทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ไม่กล้าผลีผลามลุกขึ้นไปอีก
เรื่องตลกอะไร!
ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 ไม่ใช่อะไรที่พวกมันจะรับมือได้สักนิด!
ตอนนี้พวกมันรู้ว่าตัวเองก็มีโชคไม่น้อย!
โชคดีที่เซี่ยวหยูหยั่งรู้ระดับบ่มเพาะของฮายี หาไม่แล้วพวกมันต้องพบพานหายนะเป็นแน่!
ต้วนหลิงเทียนมองเรื่องราวตรงหน้าด้วยความสงบ
เหตุผลที่เซี่ยวหยูยอมรับความพ่ายแพ้ในทันที เป็นเพราะเขาส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดไปกล่าวเตือนอีกฝ่าย
เซี่ยวหยูให้น้ำหนักคำพูดและการกระทำของต้วนหลิงเทียนอย่างมาก และไม่ได้แคลงใจสงสัยอะไรในคำกล่าวของต้วนหลิงเทียนสักเพียงนิด ยอมรับความพ่ายแพ้ออกมาตรงๆทันที
ด้วยเหตุนี้แผนของเอกอัครราชทูต ที่คิดให้ฮายีสั่งสอนเซี่ยวฉินจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า
"ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 ... " ในตอนนี้ ทุกสายตาของทั้ง 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ต่างจับจ้องมองไปยัง นี่เฝิน ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของจวนเจ้าพระยาอย่างพร้อมเพรียง
นี่เฝิน พระยาน้อย ของจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ มีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ กำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9
ในบรรดาอัจฉริยะของอาณาจักรนภาล่อง ที่มีอยู่ในตอนนี้ คงมีเพียงต้วนหลิงเทียน และนี่เฝินที่มีความสามารถในการรับมือ ฮายี
ทั้งหมดมองว่า...ต้วนหลิงเทียนคือไพ่ตายใบสุดท้าย!
เพราะจะอย่างไรทางอาณาจักรตะวันรุ่งก็ยังหลงเหลือมือดี อันมีระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 อยู่ทั้งคน
อันที่จริงก่อนหน้านี้...ทั้งหมดก็คิดว่าครานี้อาณาจักรนภาล่องต้องแพ้พ่ายแล้วอย่างแน่นอน...
แต่เมื่อพวกมันได้เห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามา พวกมันก็เสมือนได้เห็นแสงแห่งความหวัง อันสว่างสดใสอยู่ที่ปลายอุโมงค์...
เท่าที่พวกมันรู้ ต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่องไปยังอาณาจักรพนาครามหลายปี และคงได้เข้าร่วมกับนิกายอันน่าเกรงขามเหล่านั้นไปแล้วแน่แท้....เช่นนั้นความแข็งแกร่งในปัจจุบันสมควรเพิ่มพูนขึ้นไปอีกหลายขุม!
รีวิวของคุณ
คุณจะให้ดาวนิยายเรื่องนี้หรือไม่