px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 469 : บึงแห่งความตาย!


WSSTH บทที่ 469 : บึงแห่งความตาย!

 

"เอาล่ะท่านอาวุโสหลัก เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกล่าวแล้ว..." ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยึดถือวาจาที่จริงใจของต้วนเฉินเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรสักเท่าไร..

นั้นเพราะตอนนี้ ตัวเขาไม่ได้ต้องการแรงสนับสนุนอะไรจากตระกูลต้วนเพื่อ มาชดใช้ให้เขาและมารดาอีกต่อไปแล้ว..

ที่เขามอบโอสถสู่ธรรมชาติให้ตระกูลต้วนครั้งนี้  มันก็ไม่ต่างอะไรจากการสะสางเรื่องราวหนี้บุญคุณครั้งก่อน  ที่ต้วนหลิงเทียนเคยให้สัญญากับตระกูลต้วนเอาไว้ในตอนนั้น ...กล่าวได้ว่าต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์กันไป...

เขาเพียงกระทำตามสัญญาที่เขากล่าวไว้ในวันนั้น มันก็เท่านั้น

ส่วนความรู้สึกที่มีต่อตระกูลต้วนนั้น ...กล่าวได้ว่าเขาไม่ได้แยแสใส่ใจอะไร  คล้ายเป็นดั่งคนแปลกหน้ากันมาตั้งเนิ่นนานแล้ว

หลังจากที่ออกจากตระกูลต้วนไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ และส่งมอบโอสถสู่ธรรมชาติ เม็ดสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ให้แก่นี่เหวี่ย

"เทียนน้อย นี่มันโอสถอันใดรึ?" นี่เหวี่ยเหลือบมองเม็ดยากลมๆ ที่ส่องสว่างปานดวงตะวันในมือด้วยความสงสัย

แสงสว่างคล้ายดั่งเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงชัชวาลบนเม็ดโอสถ  ทั้งยังคล้ายมีชีวิตม้วนวนไปมาเช่นนี้...มันบ่งบอกให้รู้ได้ทันที ว่ามันหาใช่โอสถธรรมดาสามัญเป็นแน่...

"ท่านลุงนี่ นั่นคือโอสถสู่ธรรมชาติ"ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมคลี่ยิ้ม

นี่เหวี่ยตื่นตะลึงไปในทันใด เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ คนรีบกล่าวถามออกมาอย่างตื่นเต้นราวเด็กน้อย "นี่มัน...เทียนน้อย! เจ้าบอกลุงมาเร็วเข้า ว่าเจ้าไปได้โอสถสู่ธรรมชาตินี่มาแต่ที่ใดกัน?"

"อ่า...แล้วลุงนี่จะเชื่อหรือไม่เล่า...หากข้าบอกว่า  โอสถเม็ดนี้ข้าเป็นคนหลอมปรุงมันขึ้นมาด้วยตัวเอง?" ดวงตาของต้วนหลิงเทียนส่องประกายสนุกสนานออกมาวูบหนึ่งขณะยิ้มถามออกมา

ท่าทางตื่นเต้นดีใจของนี่เหวี่ยพลันชะงักค้างไปในทันใด มันหันมาจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเลื่อนลอย “เทียนน้อย โอสถสู่ธรรมชาติมันจักได้รับการหลอมกลั่นจากเจ้าได้อย่างไร...มันเป็นถึงโอสถระดับ 5 ...โอสถระดับ 5 นี่มันย่อมสามารถหลอมกลั่นได้จากน้ำมือของผู้หลอมโอสถระดับ 5 เท่านั้น...” ในขณะที่กล่าวใกล้จบน้ำเสียงของนี่เหวี่ย เริ่มสั่นเครือขึ้นมา

ถึงแม้ว่าตัวมันเองจะเคยประหลาดใจและตื่นตะลึงจากการกระทำของต้วนหลิงเทียนมาแล้วหลายครั้งหลายคราว  แต่ตอนนี้มันไม่กล้าเชื่อมั่นเช่นนั้น

ผู้หลอมโอสถระดับ 5 ...

นับตั้งแต่ครั้งอดีตย้อนกลับไปในวันวานผ่านพ้นมาจนถึงตอนนี้ ...ดูเหมือนอาณาจักรนภาล่องของมัน จะไม่เคยปรากฏผู้หลอมโอสถระดับ 5 มาก่อนแม้แต่คนเดียว!

ถึงแม้ว่าจะเป็นหัวหน้าสมาคมผู้หลอมโอสถแห่งเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง แต่ตัวตนระดับนั้นก็ยังเป็นเพียงผู้หลอมโอสถที่รอนแรมมาจากอาณาจักรพนาคราม และมันก็ยังเป็นเพียงผู้หลอมโอสถระดับ 6 เท่านั้น!

ฟู่ววว!

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาความคิดในหัวของนี่เหวี่ยได้ตรงเผง และเมื่อเขาเห็นท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งของนี่เหวี่ย เขาก็สนุกสนานไม่น้อย  เขาเพียงยิ้มบางๆ ก่อนที่จะหงายฝ่ามือออกมา ก่อนที่เหนือฝ่ามือจะปรากฏเปลวเพลิงสีฟ้าอันร้อนแรงลุกโชนขึ้นอย่างสงบ

"ปะ ... เปลวเพลิงหลอมโอสถระดับ 5!" ถึงแม้ว่านี่เหวี่ยจะไม่ใช้ผู้หลอมโอสถระดับ 5 และกระทั่งไม่เคยเห็นเปลวเพลิงระดับ 5 ด้วยตาตัวเองมาก่อนก็ตาม...

แต่คนที่ไม่เคยกินหมู ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่งมาก่อนใช่หรือไม่?  แน่นอนว่ามันย่อมต้องเคยพบพานผ่านตาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเปลวเพลิงหลอมโอสถจากบันทึกโบราณมาอยู่บ้าง...!

จากที่มันรู้มา เปลวเพลิงหลอมโอสถระดับ 5 จะมีสีฟ้า

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนดับเปลวเพลิงหลอมโอสถบนมือไป นี่เหวี่ยก็อึ้งค้างอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่จะคืนสติกลับมา และหันมองไปยังต้วนหลิงเทียน ราวกับมองคนแปลกหน้า “เทียนน้อย...ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใยเฝินถึงได้กล่าวว่าเจ้านี่มันตัวประหลาดในหมู่ตัวประหลาด ไม่ธรรมดาในหมู่พวกไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง...ดูเหมือนคำกล่าวของลูกเฝินครั้งนั้นจะถูกต้องแล้ว”

ต้วนหลิงเทียนไม่เคยคิดเลยว่านี่เหวี่ยที่อึ้งค้างไปอยู่เนิ่นนาน พอกล่าวคำออกมา จะกล่าวถึงเรื่องเช่นนี้ นี่ทำให้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกถึงคามอับจนหนทาง ไร้คำจะกล่าวขึ้นมาบ้าง

“ผู้หลอมโอสถระดับ 5 ด้วยวัย 23 ปีหรือ...เกรงว่าเรื่องนี้หากจะกล่าวออกไป ไม่ต้องกล่าวถึงอาณาจักรนภาล่องและอาณาจักรพนาคราม ต่อให้เป็นอาณาจักรศิลาทมิฬ กระทั่งราชอาณาจักรต้าฮั่นเองก็คงต้องตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว” นี่เหวี่ยส่ายหัวออกมาพร้อมระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ แววตายังเผยความซับซ้อนนัก

ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มอย่างไม่แยแสอะไร

ราชอาณาจักรต้าฮั่นหรือ?

อย่าได้กล่าวถึงราชอาณาจักรต้าฮั่นเลย...ต่อให้เป็นดินแดนรอบนอก อันดิบเถื่อนที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะดั่งดาราเกลื่อนฟ้า ก็ยังไม่น่าจะมีใครบรรลุกลับกลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 5 ตั้งแต่อายุ 23 ปีเช่นนี้...

อย่างน้อยๆในช่วงชีวิตทั้ง 2 ชาติภพของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด มันก็เคยพบพานผู้หลอมโอสถระดับ 5 อันเป็นอัจฉริยะมามากมาย

แต่คนที่อายุเยาว์วัยและอัจฉริยะที่สุดนอกจากมันเองก็มีอายุอยู่ที่ 30 ปีแล้ว...

จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดนั้น ก่อนที่มันจะเตรียมพร้อมเข้าสู่ การกำเนิดใหม่เพื่อใช้ช่วงชีวิตที่ 3  ผู้หลอมโอสถระดับอัจฉริยะที่บรรลุสู่ผู้หลอมโอสถระดับ 5 ด้วยวัย 30 ปีคนนั้น ก็ได้กลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 2 !  นั่นทำให้ผู้คนสามารถจินตนาการขีดขั้นความสูงส่งของผู้หลอมโอสถได้เป็นอย่างดี...

“เดี๋ยวก่อน...ข้ารู้มาว่าเปลวเพลิงหลอมโอสถระดับ 5 นี้มัน...จำเป็นต้องใช้พลังงานต้นกำเนิดในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ขึ้นไปมิใช่หรือ!? มันถึงจักสามารถยกระดับพัฒนาเปลวเพลิงให้บรรลุสู่ระดับ 5 ได้!...เทียนน้อย หรือเจ้า..” นี่เหวี่ยมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังราวกับจะยืนยันเรื่องราวบางประการ

“ลุงนี่ ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว...ตอนนี้ข้าได้ทะลวงด่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 เรียบร้อยแล้ว” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าลงพร้อมยิ้มแย้มขณะกล่าวคำกับนี่เหวี่ย

วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7

หลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียน อารมณ์ที่เคยสงบลงก่อนหน้าของนี่เหวี่ยพลันกระพือพุ่งขึ้นอีกครั้ง...

“เกรงว่าหากบิดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่และเขาล่วงรู้ว่ามีบุตรชายที่น่าตื่นตะลึงเช่นนี้  ต่อให้เขานอนหลับอยู่ยามค่ำคืนก็คงตื่นและลุกขึ้นมาหัวเราะแล้ว...”นี่เหวี่ยสุดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะระบายออกมาช้าๆ

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นมาโดยพลัน

หากบิดาอายุสั้นของเขายังมีชีวิตอยู่เช่นนั้นหรือ?

ตอนนี้ในใจของต้วนหลิงเทียนมีเรื่องราวมากมายแล่นพล่านในใจ  เมื่อเขากลับจากจวนเจ้าพระยา เขาก็เดินไปหาลี่หลัวทันที เมื่อกลับถึงบ้าน

"ท่านแม่...ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านพ่อเขาเดินทางไปที่ใดกันแน่?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาตามตรง

"เทียน..ลูก...ใยอยู่ดีๆเจ้าถึงได้กล่าวถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้?" ลี่หลัวงุนงงไปไม่น้อย

"ข้าคิดจะไปลองสำรวจแถวๆนั้นดู... บางทีข้าอาจจะยืนยันได้ว่าท่านพ่อที่แท้ยังมีชีวิตอยู่หรือ...จากเราไปแล้ว" ต้วนหลิงเทียนเผยท่าทีจริงจังออกมาในขณะที่กล่าวคำ

“ไม่!!”สีหน้าของลี่หลัวแปรเปลี่ยนเป็นสลดไปวูบหนึ่ง  ก่อนที่จะเผยความจริงจังและหนักแน่นออกมา “เจ้าห้ามไปที่นั่นเด็ดขาด ห้ามไปเด็ดขาด!!”

ตอนนี้อารมณ์ลี่หลัวนับว่ารุนแรงและเอาจริงเอาจังอย่างถึงที่สุด

และยิ่งลี่หลัวกลับกลายเป็นเช่นนี้ นี่ยิ่งทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก “ท่านแม่ ท่านเป็นไรไปแล้ว?”

“เทียน...ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ลูกห้ามไปที่นั่นเด็ดขาด...แม่เสียพ่อไปคนนึงแล้ว...แม่เสียเจ้าไปอีกคนไม่ได้...”ลี่หลัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งยังเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาแล้ว

"ท่านแม่ท่านกล่าวอะไรกัน ... ? ท่านไม่มีทางเสียข้าไปหรอก" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขารู้สึกว่าตอนนี้มารดาออกจะกังวลเกินความจำเป็นไปบ้าง "ท่านแม่..ตอนที่ท่านพ่อเดินทางไปยังที่แห่งนั้น ข้าได้ข่าวว่าระดับบ่มเพาะของเขาพึ่งจะตัดผ่านไปยังวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นแรกไม่ใช่หรือไร  ตอนนี้ระดับบ่มเพาะของข้าก็ไม่ได้ด้อยกว่าท่านพ่อในปีนั้นแล้ว เช่นนั้นมันก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร... "

"ไม่ได้!" ลี่หลัวยืนกราน พร้อมยื่นคำขาดออกมาอย่างไม่คิดจะอ่อนข้อ "ลูกเทียน...แม่รู้ว่าเจ้าต้องการจะออกไปตามหาพ่อเจ้าเพื่อแม่...แต่สถานที่แห่งนั้นมันลึกลับและอันตรายเกินไป  หลังจากที่พ่อเจ้าหายตัวไป ทางตระกูลต้วนก็ได้ส่งหนึ่งในผู้อาวุโสที่อยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษผู้ก่อตั้ง ซึ่งเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญครึ่งก้าวธรรมชาติออกไปยังที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบเรื่องราวแล้ว..."

“แต่สุดท้ายผู้อาวุโสระดับนั้นยังกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับเขาได้อันตรธานหายไปในอากาศว่างเปล่า ไม่มีการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด...” เมื่อกล่าวจบสีหน้าท่าทางของลี่หลัวก็เต็มไปด้วยความกลัว

ตัวตนระดับผู้เชี่ยวชาญครึ่งก้าวธรรมชาติ ยังไม่มีชีวิตรอดกลับมาหลังจากไปยังสถานที่แห่งนั้น?

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งรู้สึกคันในหัวใจยากจะเกานัก!

แน่นอนว่าตอนนี้เขาเองก็เริ่มตระหนักได้แล้ว ว่าสถานที่แห่งนั้นย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ‘สถานที่นั่นมันเป็นยังไงกันแน่นะ  ถึงขั้นทำให้ผู้เชี่ยวชาญครึ่งก้าวธรรมชาติเข้าไปแล้ว แต่กลับมาไม่ได้แบบนี้?’

"เอาล่ะท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว ...ข้าไม่คิดว่าสถานที่นั่นมันน่ากลัวขนาดนี้ ดังนั้นท่านอย่าได้กังวลแล้ว ข้าไม่คิดจะไปหรอก" ต้วนหลิงเทียนแสร้งเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาขณะกล่าวคำ

ใบหน้าลี่หลัวค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่า รอยยิ้มนี้มันช่างฝืดนัก...เป็นมารดาของเขากำลังฝืนยิ้มทั้งที่เสียใจ

‘ดูเหมือนท่านแม่จะคิดถึงพ่อที่หายตัวไปของข้าอีกแล้ว’ ต้วนหลิงเทียนทอดถอนอยู่ในใจ

‘เอาล่ะท่าทางก่อนอื่นในช่วง 2-3 วันนี้ข้าคงต้องไปสืบถามเรื่องราวว่ามันเป็นสถานที่แห่งไหนกันแน่...แล้วข้าคงต้องอยู่นิ่งๆที่บ้านอีกสักพักแล้วค่อยออกเดินทางไปสำรวจดู ไม่อย่างนั้นน่าจะเผยพิรุธให้ท่านแม่สงสัยแน่นอน’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาตัดสินใจไปแล้ว

การรับปากแม่เขาว่าจะไม่ไปที่นั่น เป็นเพียงการพลิกแพลงรับมือสถานการณ์ไปตามความเหมาะสมเท่านั้น

แน่นอนว่าเขาไม่คิดทำให้มารดาของเขาต้องเป็นกังวล

แต่แน่นอนไม่ว่าจะยังไง เขาต้องไปดูที่นั่นให้เห็นมันกับตา!

“ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวจิน ข้าไม่เชื่อว่ายังมีที่ใดในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ ที่ข้า ต้วนหลิงเทียนไม่อาจไปได้!” ประกายตาของต้วนหลิงเทียนพลันเรืองวูบวาวโรจน์ขึ้นมาแวบหนึ่ง

ตอนนี้เสี่ยวจินเป็นถึงสัตว์อสูรปีศาจระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 3 และมันยังเข้าใจครึ่งก้าวพลังสายฟ้าขั้นสูงแล้ว!

แม้จะกวาดตามองไปทั่วทั้งอาณาจักรนภาล่อง ตัวตนของเสี่ยวจินถือว่าอยู่ ณ จุดสูงสุด

เช้าวันรุ่งขึ้นต้วนหลิงเทียนก็เดินทางไปยังจวนเจ้าพระยาอีกครั้ง และไปกล่าวถามเรื่องราวกับนี่เหวี่ย

"ลุงนี่ ท่านรู้หรือไม่ ว่าบิดาของข้าหายตัวไปที่ไหนกันแน่ เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้?" ต้วนหลิงเทียนไม่คิดอ้อมค้อมเคาะรอบๆพุ่มไม้ใดๆ เขาฟาดลงกลางป้อง กล่าวถามเรื่องราวออกมาตรงๆ

ทว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ สีหน้าของนี่เหวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันใด "เทียนน้อย ที่นั่นเจ้าห้ามเฉียดไปเด็ดขาด... "

"ลุงนี่...ข้าแค่อยากรู้เฉยๆว่ามันเป็นที่ไหนเท่านั้น  ข้าไม่ได้ตั้งใจจะไปที่น่ากลัวแบบนั้นแต่แรกแล้ว" ต้วนหลิงเทียนแทบพูดไม่ออก เพราะสีหน้าท่าทางของนี่เหวี่ย แทบจะเหมือนกับมารดาของเขาไม่ผิดเพี้ยนเลย

แน่นอนว่าเขารู้ดีว่านี่เหวี่ยเป็นกังวลเรื่องนี้ และไม่คิดเปลี่ยนแปลงความตั้งใจในการห้ามปรามเขา

นี่เหวี่ยพอได้ระบายลมหายใจออกมาเมื่อได้ฟังคำกล่าวต้วนหลิงเทียน “ประเสริฐ...นับว่าเป็นเรื่องดีแล้วเทียนน้อย   ที่เจ้ามิคิดย่างกรายไปยังที่แห่งนั้น... ข้าเกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์แรกสัมผัสธรรมชาติเองก็ตาม หากย่างกรายเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น  เกรงว่ามันก็ยังมิอาจรอดชีวิตกลับมาได้ ...ในปีนั้นทางตระกูลต้วนเองก็ได้ส่งผู้อาวุโสที่มีระดับครึ่งก้าวธรรมชาติไปยังสถานที่แห่งนั้น สุดท้ายผู้อาวุโสก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย มิต่างอันใดกับบิดาเจ้า!”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ เรื่องนี้เองเขาก็ได้ฟังจากมารดาของเขามาแล้ว

ครู่ต่อมาภายใต้การค่อยๆไถ่ถามไปทีละนิด และเรื่องราวที่นี่เหวี่ยเล่าออกมา ต้วนหลิงเทียนก็พอจะทราบสถานที่ๆ บิดาของเขาที่ไม่รู้ว่าแน่ชัดว่าตอนนี้ยังอยู่หรือตายไปแล้ว หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อนหน้า

ที่แห่งนั้นเป็นบึงแห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับการขนานนามจากผู้คนของอาณาจักรนภาล่องว่า...บึงแห่งความตาย มันนับเป็นบึงมรณะที่ไม่ว่าผู้ใดย่างกรายเข้าไป ต้องเป็นอันมอดม้วยมรนา

ภายในบริเวณบึงแห่งความตายนั้น สามารถพบพานกับสัตว์อสูรที่อันตรายได้ง่ายดาย  และยังมีสัตว์อสูรที่อันตรายอย่างมากอาศัยอยู่ในบริเวณส่วนลึกของบึง

อย่างไรก็ตามส่วนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของบึงแห่งความตายหาใช่สัตว์อสูรไม่  แต่กลับเป็นตัวบึงแห่งนี้เอง...

เมื่อผู้ใดย่างเท้าดำดิ่งลงหนองน้ำในบึงแห่งความตายแล้ว ...คนผู้นั้นย่อมไร้หนทางที่จะเหยียบย่ำเท้าขึ้นฝั่งได้อีกเลย...นั่นทำให้ไร้ซึ่งข้อมูลของบึงแห่งความตายแห่งนี้

มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายหลายคนที่ก้าวเท้าเข้ามาท้าทายอาถรรพ์และความอันตรายของบึงแห่งความตายนี้  แต่ก็ไม่เคยมีใครสามารถเล็ดรอดกลับมาบอกเรื่องราวความลึกลับของบึงแห่งความตาย  หรือไขความลี้ลับของหนองน้ำอันลึกลับนี้ได้เลย...ว่าที่แท้แล้วก้นบึงนั้น มันมีสิ่งใดดำรงคงอยู่กันแน่  ต่างกลับกลายเป็นอาหารของบึงแห่งความตายทั้งสิ้น...

“บึงแห่งความตายเช่นนั้นหรือ?” ประกายตาต้วนหลิงเทียนส่องสว่างวาววับขึ้นมาด้วยความสนใจ

“บริเวณรอบๆพื้นที่ก่อนที่จะถึงตัวบึงมรณะคงไม่พ้นเป็นป่าหนาทึบ เต็มไปด้วยสัตว์อสูร รวมถึงสัตว์อสูรปีศาจอันตรายที่ซุกซ่อนตัว คอยพรากชีวิตผู้คนไปจากความมืด ซึ่งนับเป็นปัญหาสำหรับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆที่มองไม่เห็นการซ่อนตัวของพวกมัน...แต่ภายใต้พลังวิญญาณอันละเอียดอ่อนของข้า มันก็เหมือนลานกว้างธรรมดาโล่งๆที่ไม่มีอะไรเล็ดรอดสัมผัสข้าไปได้...!”

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ใช้เวลาทั้งหมดฝึกฝนและอยู่กับลี่หลัว ไม่ได้ไปไหนเลยเป็นระยะเวลา 10 วัน...

หลังจากที่พ้นผ่านไป 10 วันแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็บอกลี่หลัวว่าจะออกเดินทางจากเมืองหลวงสักระยะ

การออกจากเมืองหลวงครั้งนี้เขาไม่ได้พาโม่อี้ออกไปด้วย   เขาพาเพียงเสี่ยวจินไปเท่านั้น

และเมื่อลี่หลัวกล่าวถามว่าเขาจะไปไหน  เขาก็กล่าวตอบออกไปว่าจะไปหาสหายเก่าที่เมืองออโรร่าเสียหน่อย แน่นอนว่าลี่หลัวย่อมไม่สงสัยอะไร

บึงแห่งความตายนั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตของมณฑลตะวันฉาย ซึ่งมณฑลนี้นับว่าอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง และระยะทางของมันก็ไม่ได้ห่างไกลสักเท่าไร

ด้วยความรวดเร็วของเสี่ยวจิน เพียงเหินบินอยู่ 1 ชั่วโมง ต้วนหลิงเทียนและเสี่ยวจินก็ลอยตัวอยู่เหนือเมืองประจำมณฑลตะวันฉายแล้ว

ส่วนสถานที่ตั้งที่แน่ชัดของบึงแห่งความตายนั้น  มันอยู่ทางทิศเหนือของเมืองประจำมณฑลตะวันฉาย...

"มณฑลตะวันฉายงั้นรึ? เอทำไมชื่อนี้กลับคุ้นหูข้านักนะ...ดูเหมือนข้าจะไปเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง" ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดในใจเล็กน้อยในขณะที่นั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวจิน  เมื่อมองลงไปยังเมืองประจำมณฑลตะวันฉายเบื้องล่าง

เขาแน่ใจว่าไม่เคยก้าวเท้ามายังเมืองประจำมณฑลตะวันฉายนี่มาก่อนเลยในชีวิต และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางมา...

"ช่างมันแล้วกัน ถ้าข้าจำไม่ได้ เช่นนั้นมันก็ไม่น่าจะสำคัญอะไร...เลิกคิดให้รำคาญใจดีกว่า ... เสี่ยวจิน เจ้าบินไปตรงนู้นเร็ว" ต้วนหลิงเทียนชี้ไปยังทิศเหนือ พร้อมกล่าวกับเสี่ยวจินที่ขยายร่างใหญ่โต

"จี๊ด จี๊ด ~" เจ้าหนูสีทองที่ตัวไม่น้อยแล้วตอนนี้ ร้องออกมารับคำคราหนึ่ง ก่อนที่ร่างใหญ่โตของมันจะสั่นไหวเพียงครู่ ค่อยกลับกลายคล้ายดาวตกลุกหนึ่ง พุ่งลัดผืนฟ้าไปยังทิศเหนือของเมืองประจำมณฑลตะวันฉาย ด้วยความเร็วสูง...

 

รีวิวผู้อ่าน