WSSTH บทที่ 474 : โม่ถู
"ถงลี่!" ต้วนหลิงเทียนสามารถจดจำสตรีที่มีอายุราวๆ 25 ปีนางนั้นได้ เพียงแค่เหลือบมองผ่านครั้งเดียวเท่านั้น ...
ถงลี่คนนี้ นับเป็นนางสารเลวเอาแต่ใจคนหนึ่ง ที่เขาเคยสั่งสอนบทเรียนให้นางไป ในยามที่เขามาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่องครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน
หลังจากนั้นเขาก็ได้รับรู้ว่า ที่แท้ถงลี่กลับเป็นลูกพี่ลูกน้องกับองค์ชาย 5 เชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรนภาล่อง
ในตอนนั้นถงลี่เองก็พยายามรังควาญเขา และกระทำเรื่องราวมากมายหลายอย่าง กระทั่งองค์ชาย 5 เองก็คิดเอาชีวิตเขาหลายครั้งหลายครา...
แต่นับว่าพวกมันยังโชคร้ายนัก ที่ความพยายามของพวกมันกลับสูญเปล่าทุกครั้ง ไม่ได้บังเกิดผลอะไร...
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นถงลี่ หรือองค์ชาย 5 ก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีอะไร...
ถงลี่ถูกทำลายตันเถียนจนกลับกลายเป็นคนพิการไม่อาจบ่มเพาะพลังได้อีกชั่วชีวิต
ส่วนองค์ชาย 5 ก็ตายเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่ง ในท้องพระโรงของวังหลวงในวันที่มันคิดกบฏ
“ข้าก็ว่าแต่แรกแล้ว ว่าทำไมชื่อเมืองตะวันฉายถึงได้คุ้นๆติดอยู่ที่ปากของข้านัก...ไม่ใช่ว่าถงลี่อะไรนี่เป็นบุตรีของผู้ว่าการประจำมณฑลตะวันฉายหรอกหรือไง?” ต้วนหลิงเทียนกระจ่างขึ้นมาโดยพลัน เขายังอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงเหลาอาหารของเมืองหลวงในวันนั้น...วันที่ทุกเรื่องราวความบาดหมางทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น
ในวันนั้นเขาเองก็ได้สั่งสอนถงลี่ไปไม่น้อย และเมื่อเขาสั่งสอนนางจบสิ้นเขาก็ได้ยินอัตลักษณ์ของนาง กระทั่งมีคนไม่น้อยที่เข้าข้างนาง
"ดูเหมือนนางกับข้าจะมีโชคชะตาต้องกันไม่น้อย หึหึ" อยู่ดีๆรอยยิ้มลี้ลับก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของต้วนหลิงเทียน
ส่วนทางด้านถงลี่นั้น เมื่อนางพึ่งเดินเข้าเหลาอาหารมา นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมาอย่างไม่เกรงใจโดยพลัน และนั่นทำให้ใบหน้าของนางลดต่ำลงด้วยความไม่พอใจ
นางเป็นถึงบุตรีผู้ว่าการประจำมณฑลตะวันฉาย ยังจะมีใครกล้าเสียมารยาทกับนางเช่นนี้อีกกัน?
ไม่รอช้าสายตาของถงลี่ ก็จับจ้องมองไปยังเจ้าของสายตาเอาเรื่องนั่นโดยพลัน ประกายตานางยังแฝงความดุร้ายไม่น้อย...
อย่างไรก็ตามเมื่อถงลี่มองไปยังร่างที่จ้องนางไม่วางตาจนชัดกระจ่าง สีหน้าและแววตาของนางก็ละม้ายคล้ายผู้พบผีสางกลางวันแสกๆ คนกลับกลายเป็นซีดเซียวเขียวคล้ำ ซ้ำแววตายังเต็มไปด้วยความหวาดผวา ทั่วร่างยังสั่นระริกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้!
"เป็นมัน...เป็นมันจริงๆ " ตอนนี้ภาพเรื่องราวความหลังในวันวานคล้ายปรากฏขึ้นที่ละฉากๆเบื้องหน้านาง แต่ทว่ายามนี้ร่างกายถงลี่กลับไร้ซึ่งความเคียดแค้นชิงชังและอาฆาตพยาบาทดั่งกาลก่อน เพียงแผ่ซ่านความหวาดกลัวออกมาเท่านั้น
ตอนนี้สถานะและอัตลักษณ์ของบุรุษตรงหน้า หาใช่อะไรที่นางจะล่วงเกินได้...
แม้กระทั่งผู้ช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ แรงหนุนที่ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดเทียบได้อย่างพี่ชายอันเป็นถึงองค์ชาย 5 ของนาง ยังต้องกลับกลายเป็นคนตาย เพราะการกระทำของบุรุษเบื้องหน้า
"ไงถงลี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ...เจ้าสบาย?" เมื่อเห็นคนที่รู้จักมักจี่ทั้งที ต้วนหลิงเทียนจะพลาดการทักทายได้อย่างไร? เขาส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดไปยังถงลี่โดยพลัน พร้อมยิ้มอ่อนๆ
ถงลี่ร่างสะท้านปานต้องอัสนียามแล้ง เพียงเสียงต้วนหลิงเทียนดังขึ้นในหู ก็ดูเหมือนวิญญาณนางต้องของร้อนลวก คนสะท้านสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง สีหน้ายังซีดลงคล้ายศพ
"ลี่ มีอันใดหรือ?" ตอนนี้เองชายหนุ่มที่เดินเคียงข้างถงลี่ ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวถงลี่
มันพยายามมองไปตามทิศทางสายตาของถงลี่ และสายตาของมันก็ไปตกยังร่างของต้วนหลิงเทียนเข้าให้
ใบหน้าของมันอดไม่ได้ที่จะบึ้งตึงขึ้นมาโดยพลัน “ลี่ น้องรู้จักมันหรือ? มีปัญหาอันใดเล่า ให้พี่ช่วยจัดการ สอนสั่งบทเรียนมันดีหรือไม่?”
แม้มันจะมิใช่ยอดฝีมืออะไร แต่มันก็หาใช่ชนชั้นอันต่ำทรามสักเท่าไรไม่ ย่อมรับรู้ได้ทันทีว่าสายตาของถงลี่ยามมองไปยังบุรุษเบื้องหน้า เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถึงมันไม่รู้ว่าจะมีเรื่องราวอะไร แต่มันก็คิดจะแสดงความโดดเด่น รับบทเจ้าชายขี่ม้าขาวช่วยเหลือหญิงงามสักครา
“ข้า...ข้ารู้สึกอาการมิค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ข้าขอตัวกลับจวนก่อน” ถงลี่ฟื้นสติจากอาการเหม่อลอย และเมื่อได้ยินวาจาที่ชายหนุ่มด้านข้างกล่าวสีหน้าของนางก็กลายเป็นหวาดผวาขึ้นมาโดยพลัน
สอนสั่งบทเรียนให้เขาหรือ?
ยามนี้เกรงว่าทั่วทั้งอาณาจักรนภาล่อง คงมิมีผู้ใดหาญกล้าเอ่ยวาจา ว่าจักสั่งสอนบุรุษผู้นั้นแล้ว...!
เมื่อกล่าวจบคำ ถงลี่ก็ไม่รอช้า ย่างก้าวว่องไวสะบัดก้นหายลับจากไปในทันใด
"น้องลี่ รอพี่ด้วย!" สายตาของชายหนุ่มดุร้ายคล้ายจะยิงลำแสงความร้อนได้ มันหันมาถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างขัดใจ ก่อนที่จะติดตามถงลี่ไป
กริยาท่าทางของถงลี่นับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย
“อะไรกัน...ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?” ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพร้อมยิ้มอย่างสนุกสนาน แล้วไม่นานก็เลิกสนใจ
พร้อมกันนั้นสำรับอาหารก็ถูกเสี่ยวเอ้อยกมาจัดวางพอดี เขาก็ไม่รอช้า ยกชามคว้าตะเกียบจัดการอาหารเบื้องหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ต้วนหลิงเทียนกับเจ้าหนูตัวน้อยที่สั่งอาหารมาเพิ่มอีกหลายจาน ก็เริ่มอิ่มหนำสำราญไม่น้อย
และเรื่องที่ต้องตะลึงก็คือ เจ้าหนูตัวน้อยดันทะลึ่งยกชามสุราของเขาไปซดเสียหมดถ้วย โดยไม่ถามไถ่สักคำว่านั่นคืออะไร ทั้งยังราวกับติดใจไม่น้อย มันซดเอาๆดังอึกๆ และไม่นานเจ้าหนูน้อยก็คล้ายหนูกังฟู ผู้กำลังฝึกฝนหมัดเมาตัวหนึ่งด มันเดินโซซัดโซเซเป๋ไปเป๋มา ออกกระบวนท่ากับเนื้อย่างอย่างเมามัน
สุดท้ายฤทธิ์สุราก็สำแดงเดชเลิศล้ำ นำพาให้เจ้าหนูขนทองตัวน้อยเป็นอันต้องผล็อยหลับไป ...แผ่หลาสิ้นสภาพพร้อมพุงป่องๆ
“เจ้าตัวน้อยนี่ มันไม่ได้ใช้พลังงานต้นกำเนิดป้องกันอาการมึนเมาจากฤทธิ์สุราหรือยังไง?” ต้วนหลิงเทียนเผยท่าทางประหลาดใจไม่น้อยเมื่อพบเห็นเรื่องราว ตรงหน้า
ต้วนหลิงเทียนจะไปรู้ได้อย่างไร...ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเสี่ยวจินมันได้ลิ้มรสสุรา...พอมันดื่มกินเข้าไปถ้วยใหญ่ สติของมันก็ถูกฤทธิ์สุราเล่นงานเข้าให้แล้ว ดังนั้นมันจะไปรู้ได้ยังไงว่าพลังงานต้นกำเนิดสามารถป้องกันอะไรได้?
“ดูเหมือนข้าต้องพักที่เมืองนี้ซะแล้วคืนนี้...สหายตัวน้อยนี่คงไม่ตื่นขึ้นมาสักพัก” ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนที่จะหยิบตัวเงินออกมาพร้อมเรียกเสี่ยวเอ้อมาเก็บค่าอาหาร
หลังจากที่จ่ายเงินแล้ว เขาก็เตรียมที่จะเดินออกไปจากเหลา
มิคาดตอนนี้กลับมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากหน้าเหลา
ครู่ต่อมาก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคนกลุ่มหนึ่ง พวกมันมีรูปร่างกำยำล่ำสันท่าทางดุร้าย ติดตามชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามา เดินเข้ามาในเหลาอาหารอย่างกร่างๆ
การมาของชายทั้ง 6 นับว่าทำให้ในเหลาเริ่มวุ่นวายส่งเสียงดังไม่น้อย ลูกค้าในเหลาที่อยู่ห่างจากทางเข้า ต่างหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน
“เฮ่ พวกเจ้าดูนั่นสิ ...ดูท่าว่า นายน้อยตระกูลโม่จักมีเรื่องอีกแล้ว...”
“หืม? นายน้อยตระกูลโม่ ที่กำลังจักวิวาห์กับบุตรีท่านผู้ว่าการประจำมณฑล นายหญิงน้อยถงลี่น่ะหรือ?.. นี่ยังมีผู้ใดหาญกล้าบาดหมางกับนายน้อยตระกูลโม่ แห่งเมืองตะวันฉายนี่อีกหรือไร!?”
“เป็นผู้ใดกันนะ ช่างกล้าหาญยิ่งนัก!”
...
ในเหลาเริ่มคึกคักขึ้นมาโดยพลัน
“นายน้อยโม่ถู...ท่าน” เจ้าของเหลารีบกุลีกุจอวิ่งมาต้อนรับโดยพลัน มันจับจ้องมองไปยังร่างชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัว
“เหอะ!” มิคาดชายหนุ่มหาได้สนใจเจ้าของเหลาไม่ มันไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย เพียงมองไปยังชายหนุ่ม ที่กำลังเตรียมจะออกจากเหลา ก่อนที่จะตะโกนออกมาด้วยความโผงผางเสียงดังฟังชัด “เป็นมันผู้นั้น!”
ทันใดนั้นร่างชายวัยกลางคนทั้ง 5 กลับแปรเปลี่ยนไปคล้ายพยัคฆ์ดุร้าย พวกมันพุ่งร่างไปรุมล้อมชายหนุ่มผู้หนึ่งโดยพลัน
ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำชายหนุ่ม ที่พาผู้คนมารุมล้อมเขาคนนี้ได้ดี
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนที่เดินมากับถงลี่ก่อนหน้าหรือไร?
“โม่ถู นายน้อยตระกูลโม่งั้นหรือ?” คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อย เขาย่อมได้ยินบทสนทนาของลูกค้าในเหลา ที่นั่งรอบๆ
ตอนนี้ในสายตาของต้วนหลิงยังเทียนเผยความประหลาดใจออกมาเช่นกัน ในขณะที่มองเรื่องราวรอบๆ ในใจยังคิดไปอย่างสนุกสนาน ‘ไม่คิดเลยว่าจะยังมีชายใดคิดสั้นแต่งงานกับสตรีอย่างถงลี่...แล้วตระกูลโม่อะไรที่ว่า ก็คงเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองตะวันฉายนี่สินะ’
ต้วนหลิงเทียนเริ่มคาดเดาเรื่องราวความเป็นไปได้หลายอย่าง
ส่วนสีหน้าท่าทางของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ยังคงเฉยชาไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ถึงแม้จะมีร่างชายวัยกลางคนปิดล้อมเอาไว้ถึง 5 คนก็ตาม และท่วงท่ายังคล้ายหนักแน่นมั่นคง ราวกับต่อให้เขาไท่ซานถล่มทลายลงตรงหน้าก็ไร้ครั่นคร้าม
“เจ้าเป็นนายน้อยของตระกูลโม่หรือ?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “อะไรกัน? หรือถงลี่ไม่ได้บอกเจ้า ว่าข้าเป็นใคร?”
ต้วนหลิงเทียนจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าหลังจากที่ถงลี่เห็นเขา ร่างนางก็สะท้านไปด้วยความหวาดกลัว นางจะมีอารมณ์มาอธิบายเรื่องราวความเป็นไปอะไรให้คู่หมั้นของนางกัน?
บางทีตอนนี้กระทั่งถงลี่ที่กลับไปหมกตัวอยู่ในจวนผู้ว่าเรียบร้อยแล้ว ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคู่หมั้นของนาง จะนำลูกน้องมาหาเรื่องต้วนหลิงเทียนเช่นนี้
“ข้ามิสนใจว่าเจ้าจักเป็นผู้ใด มากจากไหน หรือมีสัมพันธ์อันใดกับน้องลี่ของข้า! ...แต่ในเมื่อเจ้ากล้าทำให้นางไม่สบายใจ ข้าจักสั่งสอนบทเรียนให้เจ้า!” ใบหน้าของโม่ถูคลี่ยิ้มเย็นชาออกมา สีหน้าแววตามันไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ราวกับเรื่องราวทุกอย่างอยู่ในกำมือของมันหมดสิ้นแล้ว
“อะไร? สั่งสอนบทเรียนให้ข้างั้นหรือ?” ทันทีที่ได้ฟังต้วนหลิงเทียนก็เผยความตะลึงออกมาโดยพลัน ก่อนที่จะหัวเราะออกมา “เจ้าแน่ใจหรือ ว่าคิดจะสั่งสอนบทเรียนให้แก่ข้า? เจ้าอย่าได้ตำหนิข้าเล่า! ว่าข้าไม่กล่าวเตือนเจ้า...เมื่อเจ้าคิดกระทำสิ่งใด เจ้าก็ต้องเตรียมรับผลการกระทำของเจ้าเอาไว้... ถ้าลูกน้องของเจ้ากล้าลงมือต่อข้าวันนี้ ข้าจะไปเดินเล่นที่ตระกูลโม่ของเจ้าสักครา”
คำกล่าวของต้วนหลิงเทียนนั้น แน่นอนว่าผู้คนในเหลาย่อมได้ยิน นี่ทำให้คล้ายในเหลาบังเกิดพายุคลื่นเสียงขึ้นมาโดยพลัน
“ชายหนุ่มผู้นี้ช่างหยิ่งยโสยิ่ง!”
“เขากล้าที่จะข่มขู่นายน้อยตระกูลโม่หรือ? ยังกล้ากล่าววาจาว่าจักไปเยือนตระกูลโม่ ทั้งๆที่ยามนี้ถูกนายน้อยและข้ารับใช้ทั้ง 5 รุมล้อมเอาไว้เช่นนี้เนี่ยนะ...นี่ชายหนุ่มผู้นี้ที่แท้เป็นตัวโง่งมหรือมีความเป็นมาที่มิธรรมดากันแน่..”
“ไม่ว่าข้าจักมองอย่างไร ข้าก็มิคิดว่าชายหนุ่มที่แลดูโดดเด่นเช่นนี้เป็นตัวโง่งม”
ทุกคนในเหลาสนทนากันอย่างออกรส ต่างคาดเดากันไปมาอย่างสนุกสนาน
ส่วนทางด้านโม่ถูนั้น มันถึงกับต้องก้มหน้าเหลือบตามองต้วนหลิงเทียนโดยพลัน เมื่อได้ยินวาจาอหังการของต้วนหลิงเทียน การกระทำนี้ของอีกฝ่ายนับว่าสุดที่มันจะคิดคาดนัก
ส่วนลูกน้องทั้ง 5 ที่โม่ถูพามา ตอนนี้ต่างก็ทำเพียงแค่รุมล้อมต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ไม่กล้าวู่วามลงมืออะไร เห็นได้ชัดว่าพวกมันก็เลือกที่จะรอคำสั่งของนายน้อย
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” สุดท้ายโม่ถูก็จับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาช้าๆ...
สำหรับมันแล้วหากชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้เสแสร้งทำตัวลึกลับ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีพื้นหลังไม่ธรรมดาจริงๆ
หากเป็นอย่างหลังนั่น นับว่าทำให้มันต้องกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำถามของโม่ถู เขารู้ดีว่าตอนนี้โม่ถูเริ่มบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบคำถามโม่ถูแต่อย่างไร กระทั่งยังไม่แยแสจะสนใจตอบมันด้วยซ้ำ สุดท้ายก็หันไปหยิบเสี่ยวจินที่เมาแอ๋ขึ้นมา ก่อนที่จะก้าวเดินอาดๆฝ่าวงล้อมออกจากเหลาอาหารไป
ส่วนข้ารับใช้ทั้ง 5 ของโม่ถูทำได้เพียงยืนมองไปยังต้วนหลิงเทียนอย่างจนใจเท่านั้น ไม่กล้าลงมือหยุดยั้งอีกฝ่ายแต่อย่างไร
เพราะถึงบัดนี้นายน้อยของพวกมัน... ยังไม่ได้กล่าวคำสั่งการอันใดเลย..!
“บัดซบ!” สีหน้าท่าทางของโม่ถูกลับกลายเป็นบิดเบี้ยว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันถูกผู้อื่นไม่เห็นหัวเช่นนี้?
มันกัดฟันดังกรอดๆด้วยความอาฆาต และเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกล้าเดินผ่านหน้าออกจากเหลาไป มันก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด “จับตัวบัดซบนี่เสีย! แล้วรุมทุบตีมันให้ตายต่อหน้าข้า!! ”
เสียงตะโกนแผดดังด้วยโทสะอันเกรี้ยวกราด เข้าหูของชายวัยกลางคนทั้ง 5 ในทันใด
ทีท่าเมินเฉยไม่เห็นหัวของต้วนหลิงเทียน ทำให้ชายหนุ่มนามโม่ถูสุดจะทน โทสะอารมณ์ในอกปะทุขึ้นมาเต็มที่...
ตอนนี้มันไม่หลงเหลือความคิดหรือเหตุผลใดๆ!
ในหัวของมันสุมไปด้วยโทสะอารมณ์ ...หัวร้อนหนักหนาแล้ว!
เมื่อได้ยินคำสั่งประหารอันเย็นชาของโม่ถู ชายวัยกลางคนทั้ง 5 ก็พยักหน้ารับคำ ต่างพุ่งร่างไปหมายจัดการต้วนหลิงเทียนโดยพลัน
เหนือขึ้นไปจากร่างพวกมัน เริ่มมีเงาร่างช้างแมมมอธโบราณปรากฏออกมา...
ระดับบ่มเพาะของข้ารับใช้ตระกูลโม่ทั้งหลายเปิดเผยออกมาโดยพลัน
ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มชายวัยกลางคนนั้น อยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 5... ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น อยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7...
"หืม?" ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเดินออกจากเหลามาได้ไม่นาน ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารและเจตนาฆ่าฟันจากด้านหลัง ทั้งยังได้ยินเสียงลมแรงที่กำลังพัดพุ่งเข้ามา
ต้วนหลิงเทียนหันกลับมามองโดยพลัน
มุมปากของต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มออกมาอย่างอำมหิต เมื่อเห็นร่างชายวัยกลางคนอันเป็นข้ารับใช้ทั้ง 5 ของนายน้อยตระกูลโม่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เริ่มขยับตัว
เขาพุ่งร่างกลับเข้าไปในเหลาอาหารด้วยความเร็วสูง รวดเร็วเสียจนร่างของชายวัยกลางคนทั้ง 5 ยังไม่ทันได้ข้ามผ่านธรณีประตูเหลาออกมาด้วยซ้ำ
เมฆลมประสานเคลื่อนคล้อย!
ตอนนี้ร่างต้วนหลิงเทียนคลับคล้ายใต้ฝุ่นอันรุนแรงลูกหนึ่ง ร่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงก่อเกิดมรสุมคุ้มคลั่งในเหลา สายลมหอบใหญ่พัดพาทุกสิ่งให้ล้มระเนระนาด
เพียงเสี้ยวพริบตาที่ต้วนหลิงเทียนพุ่งผ่าน ไม่ว่าโต๊ะใดก็ตาม ล้วนพลิกคว่ำโดยพลัน ผู้ที่โชคร้ายหน่อยก็เป็นผู้ที่กำลังกินอาหาร
ทุกคนในเหลาอาหารเองรวมถึงเจ้าของเหลา และคนของตระกูลโม่ล้วนถูกสายลมแรงนี้พัดพากระทบใบหน้า จนแสบตาไม่น้อย ต่างหลับตาลงด้วยสัญชาตญาณป้องกันอันตรายทันที
และในเสี้ยวพริบตาที่พวกมันหลับตาลงนี้เอง..
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
เสียงหนักหน่วง 5 เสียงดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน หากผู้ใดที่โสตประสาทการรับรับฟังไม่ค่อยดี ย่อมไม่อาจแยกแยะเสียงทั้ง 5 นั่นออกจากกันได้!
และเมื่อทุกคนลืมตาขึ้นมา ภาพเรื่องราวตรงหน้าก็ทำให้พวกมันตะลึงอึ้งค้าง ราวคนบ้าใบ้
ตอนนี้ข้ารับใช้ตระกูลโม่ทั้ง 5 กำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นในสภาพน่าเวทนา ต่างร่ำร้องโหยหวนโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด...!
ท่าทางอันน่าเวทนาที่ทั้ง 5 แสดงออกมา...ทำให้ผู้คนรอบๆ ล้วนหนาวไปถึงไขสันหลัง
“ชายหนุ่มผู้นี้ น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”
“ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ทั้ง 5... ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัสในเวลาชั่วพริบตา...สวรรค์!”
“ชายหนุ่มผู้นี้แลแล้วยังมีอายุเพียง 22-23 ปีเท่านั้น! ใยเขาถึงได้ทรงพลังอำนาจ และมีความแข็งแกร่งได้ถึงขีดขั้นนี้กันเล่า?! นี่นับว่ายากที่จักจินตนาการยิ่งนัก!!”
“ข้าว่ามีโอกาสสูงยิ่ง ที่ชายหนุ่มผู้นี้...จักบรรลุระดับวิญญาณแรกก่อตั้งแล้ว!”
ตอนนี้ในเหลาบังเกิดความปั่นป่วนอลหม่านขึ้นมาในทันใด
ส่วนต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางเศษซากโต๊ะที่กระจัดกระจายและ ผู้คนที่ร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดทั้ง 5 ก็เพียงยืนด้วยท่าทางเฉยชาไม่ได้แยแสอะไร เพียงสัมผัสได้ว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมองมาอย่างตื่นตาตื่นใจเท่านั้น
รีวิวของคุณ
คุณจะให้ดาวนิยายเรื่องนี้หรือไม่