WSSTH บทที่ 476 : สถานที่ ถูกเปิดเผย!
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนพาเจ้าหนูน้อยออกจากตระกูลโม่ เขาก็พักผ่อนรอให้เสี่ยวจินหายเมา แล้วก็ออกจากเมืองประจำมณฑลตะวันฉาย มุ่งหน้ากลับเมืองหลวงทันที
สำหรับเขาแล้ว เหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตระกูลโม่ นับว่าเป็นเรื่องขำขันชวนหัวเรื่องหนึ่งเท่านั้น..
แค่ 3,000,000 เหรียญทองยังจะนับเป็นอะไรได้? ตัวเขามีเงินอยู่หลายสิบล้านเหรียญทองด้วยซ้ำ!
หากจะโทษใครก็คงต้องโทษนายน้อยตระกูลโม่นั่นล่ะ ที่มันอยู่ดีไม่ว่าดี ดันแส่มาหาเรื่องเขาเอง!
หลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวง ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ได้มุ่งหน้ากลับบ้านแต่อย่างใด เขากลับมุ่งหน้าไปยังตระกูลต้วนทันที...นี่เพราะเขามีข้อสงสัยบางประการที่ต้องไถ่ถามให้กระจ่าง
แล้วต้วนหลิงเทียนก็ตรงไปหาประมุขตระกูลต้วนโดยไม่รอช้า เมื่อมาถึงเขตที่พักตระกูลต้วน
“ประมุข ข้าได้ยินมาจากท่านลุงนี่ ...ว่าหลังจากบิดาของข้าหายตัวไปที่บึงแห่งความตาย ทางตระกูลต้วนได้ส่งผู้เชี่ยวชาญออกไปตามหาบิดาของข้าที่บึงแห่งความตายคนหนึ่ง...ท่านช่วยกล่าวบอกข้าได้หรือไม่ ว่าผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเป็นผู้ใด และมีนามว่าอะไร?”
ถึงแม้ต้วนหรู่หัวจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ดีๆ ต้วนหลิงเทียนถึงได้กล่าวถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่มันก็กล่าวตอบออกไปโดยดี “ผู้เชี่ยวชาญที่เจ้าว่า...ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสรุ่นก่อตั้งตระกูลต้วนของเรา อีกทั้งท่านยังเป็นถึงตัวตนระดับผู้เชี่ยวชาญครึ่งก้าวธรรมชาติ ...ท่านเรียกว่า ต้วนโหยว!”
ต้วนโหยว!
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง
ที่แท้โครงกระดูกที่เขาพบพานในบึงแห่งความตายนั่น ก็เป็นของผู้อาวุโสนามว่าต้วนโหยว ที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อนจริงๆ...!
เมื่อรวมกับจดหมายในแหวนมิตินั่น ก็นับว่าเขาสามารถยืนยันฐานะอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน!
“เทียนน้อย แล้วใยอยู่ดีๆเจ้าถึงได้กล่าวถามเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า?” ต้วนหรูหั่วถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ข้าแค่อยากรู้น่ะ” ต้วนหลิงเทียนยิ้ม แน่นอนว่าเขาไม่พูดความจริงออกไป
ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะปิดบังอะไร ...แต่นี่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการไปรบกวนอะไรผู้อาวุโสท่านนี้อีกแล้ว หลังจากที่ตัวท่านเองก็ได้จากไปเป็นเวลานานแล้ว...
เขาจะปล่อยให้อาวุโสท่านนั้น ได้นอนหลับอย่างสงบในโถงที่ซ่อนเร้นอยู่ในบึงแห่งความตายนั่น...
หลังจากที่ได้รู้เรื่องที่อยากรู้ ก็กล่าวได้ว่าการมาครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียนบรรลุผลแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรอื่นอีก จึงกล่าวคำอำลาต้วนหรูหั่วและจากไป
หลังจากที่ออกจากเขตที่พักตระกูลต้วน ต้วนหลิงเทียนก็เดินทางไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพล เพื่อไปตามหาอาจารย์ประจำชั้นของเขา สมัยร่ำเรียนอยู่ฝ่ายดาวกุนซือที่สถาบันบ่มเพาะขุนพล อีกทั้งฐานะที่แท้จริงของคนผู้นี้ก็เป็นถึงผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้อีกด้วย!
“สหายน้อย... มิใช่เจ้าเองก็กลับมาตั้งนานแล้วหรอกหรือ ใยถึงได้พึ่งมาหาข้าเอาป่านนี้เล่า? นี่ข้ายังคิดว่าเจ้าลืมข้าไปหมดสิ้นแล้วเสียอีก...” ซื่อหมาฉางฟงอดแซวต้วนหลิงเทียนขึ้นมาไม่ได้ เมื่อพบหน้ากันอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มแห้งๆ ออกมาอย่างละอาย “พอดีข้าติดปัญหาเรื่องจุดรอคอยในการบ่มเพาะพลัง...ก่อนหน้านี้ข้าเลยยุ่งๆอยู่กับมันเล็กน้อย ฮะๆ”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องอะไรขนาดนั้น... ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ว่าแต่...ข้าได้ยินข่าวมาว่า เพียงเจ้ากลับมาไม่ทันไร ก็ทำให้คณะเอกอัครราชทูตของอาณาจักรตะวันฉายยอมจำนนรับความพ่ายแพ้ และหนีกลับไปแทบมิทันเลยเช่นนั้นหรือ...กระทั่งเจ้ายังใช้ความสามารถพิสดารล้ำลึกมิใช่น้อยอีกด้วย...!” ซื่อหม่าฉางฟงจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง “นอกจากนี้ศิษย์น้องที่เจ้านำมานั่น...ก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งแล้ว! ข้าล่ะอยากรู้ยิ่งนัก...ว่าศิษย์พี่ของมันเช่นเจ้า ยามนี้มีระดับบ่มเพาะเท่าไหร่แล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นสายตาที่จับจ้องมองมาอย่างเร่าร้อนของซื่อหม่าฉางฟง เขาเพียงขยับร่างเล็กน้อย เร่งเร้าพลังงานต้นกำเนิดออกมา
วู้มมม!!
พริบตาต่อมา เงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 1,000 ตัวที่แลคล้ายกับมีชีวิตก็ปรากฏขึ้นเหนือต้วนหลิงเทียน พวกมันต่างเตรียมพร้อมที่จะสำแดงพลังกันอย่างฮึกเหิม!
“วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7!” ซื่อหม่าฉางฟงร้องอุทานออกมาด้วยความตะลึง ในใจยังรู้สึกทึ่งไม่น้อย..!
ถึงแม้ว่ามันจะเตรียมพร้อมมานาน และคาดเดาได้แต่แรกว่าระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนจะต้องเหนือล้ำกว่าศิษย์น้องของเขา แต่มันก็ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนกลับทะลวงไปถึงด่านวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ได้แล้วเช่นนี้!
ผู้ฝึกยุทธ์วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ด้วยวัยเพียง 23 ปี เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?
“ถึงแม้ว่าจะเป็นทั่วทั้งราชฮาณาจักรต้าฮั่นก็ตาม...ข้าเกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ที่มีอายุเพียง 23 ปี ยังหาได้ยากเย็นนัก...”ซื่อหม่าฉางฟงพึมพำความในใจออกมา
ในขณะที่ซื่อหม่าฉางฟงกำลังตะลึงกับระดับพลังต้วนหลิงเทียน ตัวต้วนหลิงเทียนเองก็ลอบส่งพลังวิญญาณออกไปหยั่งถึงระดับบ่มเพาะของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
และมันก็น่าตกใจไม่น้อย ที่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี อาจารย์คนของเขาคนนี้ ก็ตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 4 ได้แล้ว!
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็นั่งสนทนาบอกเล่าเรื่องราวสารทุกข์สุกดิบกับซื่อหมาฉางฟงอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะอำลาจากมา
เมื่อออกมาจากห้องซื่อหม่าฉางฟง ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงบางคนขึ้นมาได้ เขาเลยแวะไปหาจ่านฉง ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการด้วยเช่นกัน
จ่านฉงเองก็ช่วยเขาเอาไว้ไม่น้อยเมื่อหลายปีที่แล้ว ตัวเขาเองก็จดจำเอาไว้เสมอ
...
ณ อาณาจักรพนาคราม สถานที่ตั้งของนิกายหิมะจันทรา สาขาแห่งหนึ่งของนิกายไตรพนาคราม ...
นิกายหิมะจันทรานี้ก็เคยดำรงอยู่ในตำแหน่ง 1 ใน 5 นิกายใหญ่ของอาณาจักรพนาคราม
ตอนนี้หลังจากที่นิกายสะบั้นคีรีและนิกายกระบี่ 7 ดาวถูกทำลายล้างไป 3 ใน 5 นิกายที่เหลือ ก็ควบรวมเข้าด้วยกัน...
สุดท้ายชื่อนิกายหิมะจันทรา ก็จมจ่อมลับหายไปในสายธารแห่งกาลเวลา...
ฟุ่บ!
ร่างที่บอบบางหนึ่งปราดวูบมาด้วยความว่องไวคล้ายสายฟ้า กระพริบวูบข้ามผ่านประตูทางเข้านิกายไปด้วยความฉับไวไม่คิดหยุดรั้งสักเพียงนิด ทำให้ศิษย์เฝ้าประตูถึงกับประหลาดใจขึ้นมา
“นั่นมิใช่ศิษย์พี่หญิงหลิวเยว่หรอกหรือ?” หนึ่งในพวกมันจดจำได้ว่าผู้ที่รีบร้อนพุ่งผ่านไป เมื่อครู่นั้นเป็นใคร
ศิษย์เอกของประมุข ชวีรุ่ย หนึ่งในสามผู้นำระดับสูงของนิกายไตรพนาคราม!
เรียกได้ว่าตอนนี้ ชวีรุ่ย เป็นเพียงอดีตประมุขนิกายจันทราเท่านั้น...
“ศิษย์พี่หลิวเยว่ช่างแลดูรีบร้อนนัก คงมีเรื่องเร่งด่วนอันสำคัญเป็นแน่” อีกคนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเรื่องที่มันคาดเดาออกมา
สถานที่ตั้งของอดีตนิกายหิมะจันทรานี้ ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวสะอาดตลอดทั้งปี แลไปคล้ายถูกโอบอุ้มไปด้วยม่านผ้าสีเงินอันกระจ่างละลานตา
"ท่านอาจารย์!" เสียงที่ตะโกนออกมาอย่างเร่งร้อน ทำลายความสงบเงียบในหุบเขาที่อุดมไปด้วยหิมะในทันใด
สตรีที่อายุราวๆ 30 ปี ที่ยามนี้ยืนอยู่หน้าตำหนักที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน คนยังหายใจหอบถี่ ไอร้อน กลับกลายเป้นควันโขมงโฉงฉางพ่นออกมาจากปากไม่หยุด หยาดเหงื่อที่หลังร่วงหล่นลงพื้น กลิ้งเกลือกอยู่ไม่นานก็กลับกลายเป็นหยดน้ำแข็งก้อนหนึ่ง...
“เข้ามา” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านในตำหนัก
สตรีที่เหนื่อยหอบนางนั้นไม่รอช้า รีบก้าวเดินเข้าไปในตำหนักหลังนั้นโดยพลัน ก่อนที่นางจะมองไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกล แล้วเข้าไปก้มกราบกรานคารวะคราหนึ่ง “ท่านอาจารย์”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าไหมสะอาดสะอ้านสวยงาม โบกพัดขนนกในมือเบาๆ ท่วงท่าของมันแลดูสงบและโดดเด่นไม่น้อย
“เยว่...ใยเจ้าถึงได้แลดูเร่งร้อนถึงเพียงนี้กันเล่า?” ชายวัยกลางคนนี้ที่แต่งกายสุภาพ จนคล้ายจะเป็นนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิอันมีนามว่า ชวีรุ่ย อดีตประมุขนิกายหิมะจันทรา กล่าวคำไถ่ถามออกมาด้วยความสงสัย ขณะมองไปยังศิษย์เอกของมันด้วยแววตาประหลาดใจ
“ท่านอาจารย์ ข้ามีเบาะแสของต้วนหลิงเทียนแล้ว!” ใบหน้าของหลิเยว่ขึ้นสีเผยความตื่นเต้นออกมาไม่น้อย ขณะกล่าวคำ
"อะไร?!" ม่านตาของชวีรุ่ยหดแคบลงโดยพลันเมื่อได้ยินคำกล่าวศิษย์เอก "ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด?"
ในขณะที่กล่าวคำ น้ำเสียงชวีรุ่ยช่างเย็นสะท้านหนาวเหน็บนัก
ในวันที่นิกายไตรพนาครามได้ทำลายล้างนิกายกระบี่ 7 ดาวจนราบพนาสูรนั้น ...ต้วนหลิงเทียน ได้เล็ดรอดหลบหนีไปได้! นี่ทำให้นิกายไตรพนาครามระดมกำลังทั้งหมดออกตามหาตัว ต้วนหลิงเทียนแทบจะพลิกแผ่นดิน! ต่างครุ่นคิดถึงสถานที่ซ่อนตัวอีกฝ่ายจนหัวแทบระเบิด ทว่าทั้งหมดกลับคว้าน้ำเหลว ไม่อาจพบเจอตัวคน...
ต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นอัจฉริยะของนิกายกระบี่ 7 ดาว ที่สามารถเอาชนะนายน้อยคมมีดหลงอวิ๋น 1 ในนายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 แห่งอาณาจักรพนาครามได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 23 ปี!
พวกมันทั้งหมดนึกภาพออกเลยว่า ในอนาคตเมื่อต้วนหลิงเทียนเติบโตขึ้นมา อีกฝ่ายจะเป็นมหาภัยพิบัติสำหรับนิกายไตรพนาครามได้ถึงขีดขั้นใด!!
ดังนั้นไม่ว่าพวกมันจะทำอย่างไรก็ตาม ต่อให้ต้องขุดพลิกแผ่นดินทุกตารางนิ้ว! ก็จำต้องกระทำ เพื่อตัดรากถอนโคนอีกฝ่าย! ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม!!
หาไม่แล้ว...นิกายไตรพนาคราม คงไร้คืนวันอันสงบสุขตลอดกาล!!
อย่างไรก็ตาม แม้พวกมันจะระดมกำลังและเส้นสายทั้งหมดในการพลิกแผ่นดินตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียนในอาณาจักรพนาคราม พวกมันก็ไร้ซึ่งเบาะแสใดๆ ของต้วนหลิงเทียนแม้เพียงนิด ราวกับอีกฝ่ายอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า...
เรื่องนี้ทำให้พวกมันต่างร้อนรนอยู่ไม่สุขกันนัก!
แต่ทว่าตอนนี้กลับมีข่าวและเบาะแสของต้วนหลิงเทียนแล้ว?!
“เรียนท่านอาจารย์ ยามนี้ต้วนหลิงเทียนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของอาณาจักรเล็กๆแห่งหนึ่งเจ้าค่ะ มันเป็นอาณาจักรที่อยู่ภายใต้อาณัติของอาณาจักรพนาครามเรา เรียกว่าอาณาจักรนภาล่อง!” หลิวเยว่กล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น!
เพราะจะอย่างไร หลังวันแห่งการทำลายล้างวันนั้น ...เหล่าผู้นำทั้ง 3 คนของนิกายไตรพนาครามก็กล่าวคำแถลงการณ์ออกมาอย่างกระจ่างว่า...
ตราบใดที่ศิษย์ของนิกายไตรพนาครามพบเบาะแสที่อยู่ของต้วนหลิงเทียน และแจ้งรายงานเข้ามาจนนำไปสู่การจับกุมตัวล่าสังหารต้วนหลิงเทียนได้สำเร็จ! ไม่ว่าศิษย์คนนั้นจะเป็นศิษย์ระดับใดก็ตาม... มันจะได้รับอาวุธวิญญาณระดับ 5 เล่มหนึ่ง...!
ในอาณาจักรพนาครามแห่งนี้ การดำรงอยู่ของอาวุธวิญญาณระดับ 5 นั้น เป็นอะไรที่พิเศษนัก! มีเพียงชนชั้นระดับผู้นำของขุมพลังที่ทรงอำนาจเท่านั้น ถึงจะสามารถครอบครองอาวุธวิญญาณระดับ 5 ได้
ความเลอค่าของมัน ทุกผู้คนย่อมสามารถจินตนาการได้เป็นอย่างดี...
และเพื่อการตามหาเบาะแสที่อยู่ของต้วนหลิงเทียน ผลตอบแทนที่เหล่าผู้นำทั้ง 3 หารือกันและแถลงออกมาก็คือ...ใช้ 1 ใน 2 อาวุธวิญญาณระดับ 5 ที่ได้มาจากการทำลายล้างนิกายสะบั้นคีรีและนิกายกระบี่ 7 ดาวมาเป็นของรางวัล...!
เมื่อต้วนหลิงเทียนถูกสังหารตกตายแล้วล่ะก็ ศิษย์ที่แจ้งเบาะแสคนนั้น สามารถเลือกอาวุธวิญญาณ 1 ใน 2 ไปได้ทันที!
ตอนนี้หลิวเยว่เอง ก็คล้ายจะเห็นภาพอาวุธวิญญาณระดับ 5 อยู่ในกำมือของนางลางๆ แล้ว
“หืม? อาณาจักรนภาล่องเช่นนั้นหรือ?” ชวีรุ่ยตะลึงไปเล็กน้อย และก็เริ่มเข้าใจอะไรได้ “มิแปลกใจเลย ว่าเหตุใดพวกเราทุ่มกำลังตามหาต้วนหลิงเทียนจนแทบจะพลิกแผ่นดินอยู่แล้ว แต่กลับไร้ซึ่งร่องรอยเบาะแสใดๆสักเพียงนิด ที่แท้ต้วนหลิงเทียนกลับออกจากอาณาจักรพนาคราม! หลบซ่อนอยู่ที่อาณาจักรนภาล่อง!!”
“เยว่ ข้อมูลนี้มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด?” ชวีรุ่ยเผยสีหน้าจริงจังออกมาขณะกล่าวถามหลิวเยว่
“ขอท่านอาจารย์อย่าได้กังวล ข้อมูลนี้...ศิษย์รับรองว่าถูกต้องมิผิดแน่! และเพื่อยืนยันเรื่องนี้ศิษย์ได้เดินทางไปยังอาณาจักรนภาล่องมาด้วยตัวเอง! บางทีท่านอาจารย์อาจจะยังมิรู้...แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ต้วนหลิงเทียนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนักในอาณาจักรนภาล่อง และเขายังได้รับการยอมรับจากทุกผู้คนอีกด้วยว่า...เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรนภาล่อง!” หลิวเยว่กล่าวออกมาช้าๆ “จากข้อมูลที่ข้าไปสืบค้นมาด้วยตัวเอง ต้วนหลิงเทียนนั้น ได้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งหลังจากหายตัวไปนาน ที่พระราชวังในเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่องเมื่อสองเดือนที่แล้ว...นอกจากนี้เขายังมีญาติสนิทมิตรสหายมากมายที่เมืองหลวงนั่น...”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้หลิวเยว่ก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะกล่าวสืบต่อ “หากจำเป็นจริงๆ พวกเราอาจใช้คนเหล่านี้เพื่อบีบให้ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวออกมา!”
“เยว่ ครั้งนี้เจ้าทำได้ดียิ่ง! นับว่าไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง!” ชวีรุ่ยคลี่ยิ้มพึงใจออกมา “เอาล่ะข้าจักไปหาผู้นำหลง และผู้หนำหลู่ก่อน เพื่อจักได้บอกทั้งคู่ถึงข่าวดีนี้”
“และเมื่อใดที่ต้วนหลิงเทียนตกตาย เยว่...เจ้าจักได้รับอาวุธวิญญาณระดับ 5..!” เมื่อกล่าวจบชวีรุ่ยก็ลุกขึ้นมา ก่อนจะทะยานร่างเหินลอยขึ้นฟ้า บินหายลับไปในอากาศ
ทิ้งไว้เพียงหลิวเยว่ที่ยืนกำมือด้วยความตื่นเต้นหนักหนาในตำหนัก...
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง
“แป๊บๆไม่ทันไร ข้าก็กลับมาได้สองเดือนแล้ว...”ภายในลานบ้านด้านหลังที่กว้างขวาง ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนนั่งบ่มเพาะพลังอยู่ในศาลาชมบุปผา โดยมีเจ้าหนูสีทองที่นอนกลิ้งไปมาบนโต๊ะข้างๆ
"จี๊ด จิ๊ด~" เจ้าหนูตัวน้อยที่กลิ้งไปมา พลันหยุดตัวลงก่อนที่จะมองไปยังต้วนหลิงเทียน มันร้องออกมาก่อนจะส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิด "พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านคิดถึงพี่สาวเค่อเอ๋อกับพี่สาวลี่เฟยหรือไม่?"
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า "ป่านนี้เค่อเอ๋อกับเสี่ยวเฟยยังไม่กล้ามา...ข้าสงสัยนัก ว่าพวกนางไปถึงที่ใดกันแน่?"
ไม่ทันที่เจ้าหนูขนทองจะได้ตอบคำอะไร
"นายน้อย!" พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางเข้าลานด้านหลัง
ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำได้ว่า เสียงนี้เป็นของชิ่งหรู
“ชิ่งหรู เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ต้วนหลิงเทียนจับเจ้าหนูตัวน้อยขึ้นมา ก่อนที่จะเดินออกจากลานด้านหลังแล้วเดินออกไปข้างนอก
"นายน้อย มีคนของตระกูลต้วนมาตามหาท่าน" ชิ่งหรูกล่าวรายงานต้วนหลิงเทียน
"หืม? คนจากตระกูลต้วนมาหาข้าเช่นนั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนสงสัยเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินออกมา และไม่นานเขาก็พบว่ามีรถม้ากำลังรอเขาอยู่ข้างหน้า
“เทียนน้อย” ครู่ต่อมาประตูรถม้าก็เปิดออก ก่อนจะมีร่างชายวัยกลางคนเดินออกมา “ข้าจะพาเจ้าไปพบใครบางคน”
ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำผู้มาได้เป็นอย่างดี อีกฝ่ายคืออาวุโสลำดับที่ 4 ของตระกูลต้วน ต้วนหรูหง
ต้วนหลิงเทียนก็ขึ้นรถม้าไปด้วยความสงสัยในใจ “เป็นใครกันหรือ?”
“เดี๋ยวเจ้าจักได้รู้เองเมื่อไปถึงตระกูล” ต้วนหรูหงเก็บงำเอาไว้ไม่ยอมบอกแก่ต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนทำได้เพียงประหลาดใจ และเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ในใจเท่านั้น... ไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงเขตที่พักตระกูลต้วน ตัวเขาก็เดินเข้าไปในตระกูลพร้อมกับต้วนหรูหง มุ่งหน้าไปยังห้องโถงหลักตระกูลต้วนทันที
ก่อนที่จะเข้าไปยังห้องโถงหลัก ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงบทสนทนาที่ดังออกมาจากข้างใน
“น้องสาม อย่าได้กล่าวแล้ว! ทั้งหมดนี้มิใช่ความผิดของเจ้าสักนิด!! ...นอกจากนี้บุตรชายของเจ้ายังมีความหมายและมีความสำคัญกับตระกูลยิ่งนัก! ยามนี้เมื่อเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าสามารถพักผ่อนให้สบายและอยู่อย่างมีความสุขได้เสียที ใดๆล้วนไม่ต้องกังวลอีกแล้ว!!”
ต้วนหลิงเทียนย่อมระบุได้ว่าเสียงที่กล่าวออกมาด้วยความดีใจนี้ เป็นของต้วนหรูหั่ว
ว่าแต่ ‘น้องสาม’ เช่นนั้นหรือ?
เช่นนั้น คนผู้นั้นก็...
รีวิวของคุณ
คุณจะให้ดาวนิยายเรื่องนี้หรือไม่