px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 478 : ผู้มาเยือนจากแดนไกล...


WSSTH บทที่ 478 : ผู้มาเยือนจากแดนไกล...

 

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าบิดาที่หายตัวไปเนิ่นนานกับมารดาของเขา... สมควรมีเรื่องราวที่ต้องพูดคุยสนทนากันมากมายนับไม่ถ้วน

เขาจึงเลือกที่จะเดินจากมาเงียบๆ ด้วยไม่อยากอยู่รบกวนทั้งคู่...

"ข้าล่ะไม่คิดเลยจริงๆ ว่าอยู่ๆข้าจะกล่าวยอมรับท่านพ่อง่ายๆ ทั้งยังกล่าวตอบออกไปทันทีเช่นนี้ ... " เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ตระกูลต้วน ตัวต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง

ตอนนั้นเขาไม่ทันได้คิดอะไรด้วยซ้ำ  ปากกลับกล่าวคำเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพ่อออกไปเสียแล้ว...

“บางทีนี่คงเป็นเพราะความผูกพันทางสายเลือดล่ะมั้ง” ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ

แต่จะอย่างไรทั้งหมดก็ล้วนดีแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้วนหลิงเทียนล้วนยอมรับได้ทั้งสิ้น ทั้งยังยินดีและมีความสุขไม่น้อยที่ต้วนหรูเฟิงกลับมา

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยินดีและมีความสุขสำหรับตัวเอง..

ตัวเขานั้นเคยชินกับชีวิตเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว  ไม่ว่าบิดาจะกลับมาหรือไม่กลับมา สำหรับเขาแล้วก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขามากนัก

เขาเพียงยินดีและมีความสุขกับมารดาของเขา...

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผันผ่านมานี้ ...วันเวลาของมารดาเขานับว่ายากลำบาก และเคี่ยวกรำใจนางไม่น้อย   นางต้องทรมานและอดทนมาไม่น้อยกว่าที่จะเลี้ยงดูเขามาจนเติบโตได้...  และสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวใจนางเอาไว้คือความเชื่อมั่นเท่านั้น...  สองบ่าของนางแบกรับเรื่องราวร้ายๆมามากมายเกินพอแล้ว

ดังนั้นตลอดมาต้วนหลิงเทียนจึงรู้สึกเป็นทุกข์และเจ็บปวดที่เห็นมารดาของเขาลำบากเช่นนี้เสมอ...

ตอนนี้เมื่อบุรุษที่มารดาเขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกคืนวันกลับมา ...มารดาเขาสมควรมีความสุขได้แล้ว และต่อไปนางคงไม่ต้องอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้างอีกต่อไปแล้ว...

"จี๊ดๆ ~" ทันใดนั้นเองเสียงเจ้าหนูตัวน้อย ที่เงียบไปนานก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน

"เสี่ยวจินเจ้าเป็นไรหรือ มีอะไรหรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนหยิบเจ้าหนูตัวน้อยลงจากบ่าก่อนที่จะกล่าวถามด้วยความสงสัย

เจ้าหนูขนทองตัวน้อย กระพริบดวงตาคู่หยกของมัน ก่อนที่จะจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลังเล ค่อยกล่าวคำออกมา “พี่ใหญ่หลิงเทียน...ตอนแรกที่บิดาของท่านมองมาที่ข้า...ข้ารู้สึกหวาดกลัว และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว...กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวนั่น...ช่างคล้ายกับกลิ่นอายที่ข้าสัมผัสได้ตอนอยู่บึงแห่งความตายในวันนั้นยิ่งนัก”

บึงแห่งความตาย?

คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นมาโดยพลัน

เขาเองก็จดจำเรื่องราววันนั้นได้ชัดเจน

ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าหนูตัวน้อยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่าง  นั่นทำให้เจ้าเสี่ยวจินสามารถนำพาเขาตามร่องรอยกลิ่นอายนั่นไปจนถึงโถงในถ้ำใต้ดินนั่นได้

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวจินก็สัมผัสกลิ่นอายที่น่ากลัวนั่นได้แค่ไม่นานเท่านั้น เพราะผู้ที่น่าจะเป็นเจ้าของกลิ่นอายนั่น มันกลับเลือกที่จะทำร้ายเขา  แต่อนิจจามันไม่อาจทำอะไรดวงจิตและยึดครองร่างของเขาได้...และสุดท้ายมันก็ดับสูญตกตายสลายหายไป!

“กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวนั่นที่เสี่ยวจินว่า...แน่นอนว่ามาจากเจ้าของดวงจิตลึกลับทรงพลังนั่น...”ต้วนหลิงเทียนนึกขึ้นมา เรื่องนี้เขาย่อมคาดเดาได้...

"เสี่ยวจิน เจ้ารู้สึกอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า ...เจ้าของกลิ่นอายน่ากลัวที่เจ้าว่า มันสมควรหายไปตลอดกาลแล้ว" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขาคิดว่าเจ้าเสี่ยวจินอาจจะเข้าใจอะไรผิดไป

เจ้าหนูตัวน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้มันทำได้เพียงก้มหน้าลงต่ำ ไม่ได้กล่าวคำแย้งอะไรออกมา

นั่นเพราะในยามที่ต้วนหรูเฟิงมองมาตอนนั้นมันก็เพียงสัมผัสได้เพียงพริบตาเดียว อีกทั้งกลิ่นอายที่ว่ายังเบาบางนัก และหลังจากที่มันรับรู้ ยังไม่ทันที่จะกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน กลิ่นอายที่ว่านั่นก็แทบจะหายไปไม่มีเหลือแล้วด้วยซ้ำ

นั่นทำให้จนถึงตอนนี้เสี่ยวจินเองก็ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำ ว่าเป็นมันรู้สึกไปเองหรือไม่...

หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิวเทียนก็ได้ยินเสียงลี่หลัวเรียกเขาดังขึ้นจากลานบ้านด้านหลัง

ต้วนหลิงเทียนก็พาเจาหนูตัวน้อยไปยังลานด้านหลังอีกครั้ง

เมื่อเดินเข้ามาเขาก็เห็นว่ายามนี้มารดาเขากำลังนอนหนุนตักบิดาของเขาต้วนหรูเฟิง  ทั้งตอนนี้แก้มของมารดาเขายังแลแดงระเรื่อ ดวงตาของนางก็แลดูสดใสและอ่อนโยนขึ้นมากนัก ยังมีร่องรอยเปียกชื้นอยู่บ้าง

“ท่านแม่ ข้ายินดีกับท่านด้วย ในที่สุดความฝันและความหวังของท่านก็เป็นจริงแล้ว...” นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนเห็นว่ามารดาเขาดูดีและมีความสุขมากขนาดนี้

ตอนนี้เขาแทบจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความสุขที่อบอวนรอบๆตัวมารดา กระทั่งใบหน้าของนางยังแสดงความยินดีสุขใจอันล้นเหลือออกมาได้อย่างชัดเจน

“ลูกเทียนเจ้ามานี่เร็วเข้า  มาให้พ่อของเจ้าได้มองหน้าเจ้าให้ชัดเจน”ลี่หลัวกล่าวเรียกต้วนหลิงเทียนออกมาพร้อมรอยยิ้มที่คลี่บานปานบุปผาสะพรั่ง

ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปหาทั้งคู่ทันที

“หลัว...หลายปีมานี้นับว่าลำบากเจ้ามากแล้ว เจ้าคงผ่านเรื่องราวหนักหนามาไม่น้อย...ข้าเองก็ได้รับรู้แล้วว่า ตลอดเวลาที่ผ่านเจ้ากับลูกเทียนต้องประสบพบเจออันใดมาบ้าง  ข้ารับรองว่าหลังจากนี้ไป ข้าจะไม่ห่างเจ้าไปไหนอีกแล้ว!”ต้วนหรูเฟิงมองภรรยาร่างบางที่นอนหนุนตัก ก่อนที่จะเผยสีหน้ารู้สึกผิดออกมา เมื่อหวนนึกถึงวันเวลาและเรื่องราวตลอดหลายปีที่นางผ่านมาเพียงลำพัง

ลี่หลัวเมื่อได้ฟังเพียงพยักหน้ารับเบาๆ ท่าทางแลดูมีความสุขนัก

ครอบครัวทั้งสามนั่งสนทนากัน เต็มไปด้วยความสุขความยินดี

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดที่จะให้มารดาเขาเป็นกังวลอะไร เลยไม่กล่าวถึงเรื่องที่บิดาสูญเสียพลังงานต้นกำเนิดออกมา...และต้วนหลิงเทียนกระทำตัวเป็นเพียงผู้ฟังที่ดีเท่านั้น เพราะทั้งคู่ต่างสนทนากันถึงเรื่องราวความหลัง

และเรื่องราวความหลังที่ว่า...ล้วนเป็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่ต่างยังเป็นเด็กเท่านั้น!

ในตอนนั้นเจ้าของร่างต้วนหลิงเทียนนี่ยังไม่เกิดมาด้วยซ้ำ

“อะไรกัน! ที่แท้ข้ากลับมีลูกสะใภ้ในอนาคตอยู่แล้วถึง 2 คนเช่นนั้นหรือ?!” ดวงตาของต้วนหรูเฟิงทอประกายสว่างวูบขึ้นมา เมื่อได้ยินลี่หลัวกล่าวถึงเค่อเอ๋อและลี่เฟย หลังจากนั้นมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทยนพร้อมยิ้มกริ่ม “ลูกเทียนเจ้านี่ ไม่เลว ไม่เลว...เรื่องนี้เจ้านับว่าก้าวหน้าเหนือล้ำกว่าบิดาแล้ว”

“อะไรเล่า พี่เฟิง หรือท่านอยากมีสตรีเคียงข้างทั้งซ้ายขวาด้วยเช่นนั้นหรือ?”ลี่หลัวที่ลุกมานั่งข้างๆต้วนหรูเฟิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนคล้ายสายน้ำ และแทบไม่มีความผิดปกติใดๆในน้ำเสียงแม้แต่น้อย

ทว่าสีหน้าของต้วนหรูเฟิงพลันมืดลงโดยพลัน “หลัวข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น... หลัวเจ้าฟังข้าก่อน...ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริงๆ!”

ต้วนหลิงเทียนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นบิดาง่วนอยู่กับการอธิบายซ้ำๆแก้ไขความเข้าใจผิดของมารดา

หลังจากนั้นเวลาก็ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

“พี่เฟิง ท่านนั่งคุยกับลูกไปก่อนเถิด จะได้สนิทสนมกันให้มากเข้าไว้...ข้าจะไปเตรียมทำอาหารค่ำก่อนแล้ว” แล้วลี่หลัวก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากลานด้านหลังไปด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข คล้ายการทำอาหารนี่น่ายินดีและสนุกสนานนัก

คนเรานั้นเมื่อมีความสุข ไม่ว่าใดๆในโลกล้วนน่ายินดีทั้งสิ้น!

คำกล่าวนี้นับว่าสามารถอธิบายลี่หลัวได้อย่างชัดเจน...

สำหรับลี่หลัวแล้ว ในโลกหล้าคงไม่มีอะไรประเสริฐไปกว่าสามีที่หายตัวไป 20 กว่าปีกลับมาอีกแล้ว...

“ท่านพ่อ...เกิดอะไรขึ้นกับพลังงานต้นกำเนิดของท่านกันแน่...ข้าสัมผัสได้ว่าตันเถียนของท่านยังอยู่ดี ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ   นี่ท่าน...ไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้แล้วจริงหรือ?” ต้วนหลิงเทียนมองไปยังต้วนหรูเฟิงพร้อมกล่าวถามออกมาอย่างจริงจัง

“ลูกเทียนเจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องนี้แล้ว พ่อมิได้เป็นใด...เท่านี้พ่อก็มีความสุขและยินดีหนักหนาแล้ว  เพียงได้กลับมาเจอหน้าแม่เจ้ากับเจ้าอีกครั้ง  ใดๆอื่น ล้วนไร้ซึ่งความสำคัญแล้ว...”ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจ

ราวกับว่าพลังงานต้นกำเนิดนั้น ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีก็แล้วแต่ มันมิได้นำพาอะไรแม้แต่น้อย...

ต้วนหลิงเทียนก็เงียบไปไมซักไซร้ใดๆอีก

หรือบิดาเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้แล้วกัน?

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ  แต่ดูจากท่าทางของบิดาเขาแล้ว  เขาก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทุกข์ร้อน และคิดจะบ่มเพาะพลังอะไรอีกต่อไป...

หรืออาจมีเหตุผลบางประการที่ทำให้บิดาเขาไม่อาจบ่มเพาะพลังได้อีกแล้วกัน...?

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา และสุดท้ายก็เลิกถามอะไรเรื่องนี้อีกต่อไป

“เอาล่ะท่านพ่อ ไม่สำคัญหรอกว่าท่านจะบ่มเพาะพลังได้หรือไม่ได้...ถึงแม้ท่านจะไม่มีพลังฝึกฝนอะไร แต่ท่านก็ยังเป็นสามีของมารดาข้า! เป็นบิดาของข้า ต้วนหลิงเทียน!” ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมคลี่ยิ้ม “เหมือนที่อา 4 กล่าวไว้วันนี้ เพียงท่านกับท่านแม่ใช้ชีวิตให้มีความสุขและอยู่อย่างสงบเถิด พวกท่านสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่  ถึงแม้ข้าจะไม่กล้ากล่าวคำมั่นในเรื่องอื่นใด แต่เรื่องนี้ข้ามั่นใจว่าจะทำให้พวกท่านได้อยู่อย่างสงบสุข!”

“ลูกเทียน...”คำกล่าวของต้วนหลิงเทียน ทำให้ต้วนหรูเฟิงเงียบไปอยู่นาน กว่าจะเอ่ยเสียงผ่านพ้นลำคอออกมาได้

อย่างไรก็ตามแม้จะเอ่ยเสียงเรียกขานผ่านพ้นลำคอออกมาได้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงเรียกชื่อเท่านั้น คำอื่นใดล้วนไม่อาจกล่าวออก...

เสียงเรียกนี้ยังเต็มไปด้วยความพึงพอใจและภูมิใจอย่างถึงที่สุด

เด็กน้อยที่ยังอยู่ในท้องภรรยาเขาด้วยซ้ำในวันนั้น...หลังจากผ่านไปหลายสิบปี วันนี้อีกฝ่ายกลับเติบโตและประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงมากมายถึงเพียงนี้แล้ว...

ในฐานะบิดาแล้วเขาย่อมภูมิใจในตัวต้วนหลิงเทียน และมีความสุขนัก

ไม่นานหลังจากที่ลี่หลัวพาแม่บ้านสองคนไปช่วยเตรียมอาหาร  มื้อค่ำก็ถูกตระเตรียมจนเสร็จเรียบร้อย อาหารมากมายถูกยกมายังศาลาที่ลานด้านหลัง ก่อนที่ทั้ง 3 จะกินมื้อแรกอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข

"จี๊ด~" ในระหวางที่คนกำลังกินอาหารอยู่นั้น เจ้าหนูตัวน้อยก็ออกมากินกับเค้าด้วยเช่นกัน จมูกของมันดมฟุดฟิดไปทั่ว ไม่รู้ว่าจะหยิบกินสิ่งใดก่อนดี ทั้งหมดล้วนน่ากินทั้งสิ้น

ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกอบอุ่นและมีความสุขไม่น้อย กับมื้อค่ำในวันนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมองข้างๆแล้วพบว่ามื้อค่ำนี้ ...กลับไร้ซึ่งสตรีทั้งสองข้างกาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวังเวงและเศร้าลงเล็กน้อย...

“เฮ่อ...ไม่รู้ป่านนี้เค่อเอ๋อกับเสี่ยวเฟยเป็นอย่างไรบ้าง  อยู่ไหนกันแล้ว...”  นอกจากมารดาแล้วก็มีเพียงสตรีทั้งสองที่ทำให้เขาต้องเป็นกังวลในใจและห่วงหามากมายขนาดนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เมื่อได้เห็นแม่กับพ่ออยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นมา “จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าพวกนางจะไปไหน ป่านนี้สมควรต้องกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ..”

ยามดึกคืนนั้นนับว่าประหลาดนักที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้บ่มเพาะพลังใดๆ เขาเพียงเอนหลังนอนลงบนเตียง เฝ้าคิดถึงสตรีทั้งสองเท่านั้น

ไม่รู้เมื่อไหร่ แต่สุดท้ายเขาก็ผล็อยหลับไป...

และในคืนนี้ เขาก็ฝันว่าทั้งเค่อเอ๋อและลี่เฟยได้กลับมาแล้ว...

อย่างไรก็ตามเมื่อตื่นขึ้นมาวันพรุ่ง สองแขนที่เอื้อมคว้าไปข้างกาย กลับจับต้องได้เพียงความว่างเปล่า ต้วนหลิงเทียนก็รับรู้ได้อย่างกระจ่างชัด...ว่าทั้งสองยังไม่ได้กลับมา...

“แต่จะอย่างไร...พวกนางก็ไปกับปรมาจารย์ฉินเซียง  สมควรปลอดภัยไร้เรื่องราวใดๆ” ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะปลอบตัวเอง เขาคิดถึงทั้งสองมากนัก

สุดท้ายหลังจากผ่านไป 5 วัน

กลับมีผู้มาเยือนจากแดนไกล...และผู้มาเยือนนี้กลับเป็นสตรีที่สวยสง่า ที่มีใบหน้าอิดโรยเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล...

ดูแล้วผู้มาเยือนนี้คือ ปรมาจารย์ ขุนเขาเหยากวง ฉินเซียง ไม่ผิดแน่!

ตอนนี้ใบหน้างามสง่าของฉินเซียงเย็นชาลงราวกับมีชั้นน้ำแข็งเคลือบเอาไว้  ดวงตาคู่สวยของนางยังแดงไม่น้อยคล้ายกับมีความแค้นแฝงเร้นอยู่อย่างหนักหนา

"ปรมาจารย์ท่าน...ท่านรู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่..." เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นสีหน้าท่าทางของฉินเซียง  เขาก็รู้ได้โดยพลันว่า ฉินเซียงคงรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนิกายกระบี่ 7 ดาวแล้ว ...เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น...

ฉินเซียงพยักหน้าลง ในแววตานางตอนนี้เอ่อล้นไปด้วยจิตฆ่าฟันอันแรงกล้า “ข้ามิคิดเลย ว่าข้าจากไปเพียงหนึ่งปี กลับเกิดหายนะร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นมาได้...ประเสริฐนัก นิกายไตรพนาคราม!  ประเสริฐนักนิกายไตรพนาคราม!!”

นิกายกระบี่ 7 ดาวนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นบ้านหลังที่ 2 สำหรับฉินเซียง

นอกจากพี่หญิงใหญ่ที่ฉินเซียงนับถือแล้ว  กล่าวได้ว่าที่ชีวิตของนางทุกวันนี้ประสบความสำเร็จเช่นนี้ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา ดูแลสอนสั่งนางมา และยังคอยดูแลใส่ใจให้ความรักนางมาจนเติบโต...

อาจารย์ของนางก็เป็นผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายกระบี่ 7 ดาว  และเป็นถึงผู้อาวุโสที่มีระดับบ่มเพาะสูงถึงหยั่งรู้ธรรมชาติขั้นที่ 4 คนหนึ่งในนิกายกระบี่ 7 ดาว...

ถึงแม้ว่าตอนนี้ระดับบ่มเพาะของตัวนางเองจะก้าวหน้าเหนือล้ำอาจารย์ของนางไปแล้ว  แต่ในหัวใจของนางนั้นอาจารย์ไม่ได้ต่างอะไรไปจากบิดาบังเกิดเกล้าของนาง!

ทว่าตอนนี้อาจารย์ที่ดูแลนางมากลับต้องมาถูกสังหาร...!

ทั้งนิกายที่คอยฟูมฟักส่งเสริมให้นางเติบโตมาจนมีทุกวันนี้กลับถูกทำลายล้าง!!

“ปรมาจารย์ขุนเขาอย่าได้กังวล  ข้าจะให้พวกบัดซบนิกายไตรพนาคราม  ชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกมันกระทำกับเรานิกายกระบี่ 7 ดาวเป็นทบเท่าทวี!” จิตสังหารอันอำมหิตน่าพรั่นพรึงเริ่มแผ่ซ่านออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน แววตาที่ทอประกายคมกล้าเริ่มมืดลงอย่างน่ากลัว  เสียงที่กล่าวยังเย็นยะเยือกเหน็บหนาวนัก “หนี้เลือด ล้างด้วยเลือด!”

“หนี้เลือด ล้างด้วยเลือด!”ฉินเซียงเองก็พยักหน้าพร้อมกล่าวประกาศเจตนารมณ์ออกมาเช่นกัน ในแววตายังเผยประกายเย็นเยือกออกมาวูบหนึ่ง

“ปรมาจารย์ แล้วเค่อเอ๋อกับลี่เฟยเล่า...พวกนางอยู่ที่ใดหรือ ใยพวกนางไม่มานี่พร้อมกับท่านเล่า?” ต้วนหลิงเทียนมองไปยังฉินเซียงก่อนที่จะกล่าวถามออกมาอย่างจริงจัง

ประกายเย็นชาในแววตาของฉินเซียงค่อยๆจางลง  เมื่อได้ยินคำถามต้วนหลิงเทียน นางเพียงเผยยิ้มออกมาบางๆบนใบหน้า พร้อมกล่าว “เจ้าอย่าได้กังวลอันใดไป ตอนนี้พวกนางทั้งสองนับว่าอยู่ในสถานที่ๆปลอดภัยยิ่งนัก...มิมีผู้ใดสามารถรังแกพวกนางได้แน่นอน!”

"หืม?" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังฉินเซียงด้วยความสงสัย คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย “ ปรมาจารย์ฉินเซียง...หรือพวกนางไม่ได้กลับมาพร้อมท่าน?”

“ไม่” ฉินเซียงส่ายหัวไปมา “พวกนางยังคงอยู่ที่ดินแดนรอบนอก...ข้ากลับมาคนเดียวตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว และเมื่อข้ากลับไปพบร่องรอยการถูกทำลายล้างของนิกาย ข้าจึงเริ่มสืบเรื่องราวและสุดท้ายก็พบว่านิกายถูกพวกไตรพนาครามทำลายล้าง!”

“หลังจากนั้นข้ายังสืบได้ว่า อาวุโสเผิงเป็นผู้ที่พาเจ้าหนีออกมาในวันนั้น...และข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเค่อเอ๋อเคยกล่าวบอกข้าเอาไว้ ...ว่าพวกเจ้ามาจากอาณาจักรนภาล่อง  ข้าก็เลยเร่งเดินทางมาที่อาณาจักรนภาล่อง”

 

รีวิวผู้อ่าน