px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 490 : หวังฉงตกอยู่ในอันตราย!


WSSTH บทที่ 490 : หวังฉงตกอยู่ในอันตราย!

 

 

ค่าทำขวัญปลอบประโลมจิตใจ?

เมื่อได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน ที่เผยเจตนาเพียงต้องการทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น... เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายรวมถึงประมุขตระกูลหวง ก็ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ในฐานะที่ตระกูลหวงเองก็เป็นถึง 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่ประจำเมืองวายุทมิฬเหมือนกันกับตระกูลหม่า  ความมั่งคั่งของตระกูลหวงเองก็มิใช่เล็กน้อย!  เงินไม่กี่ล้านยังจะนับเป็นอะไรได้?

อย่างไรก็ตามสีหน้ายินดีและสบายอารมณ์ของพวกมันก็ต้องกลับกลายเป็นมืดหน้าดำคล้ำราวน้ำหมึกอีกครั้ง

เนื่องจากจำนวนเงินที่ต้วนหลิงเทียนเรียกร้อง  ไม่ใช่ไม่กี่ล้าน...แต่เป็นหลายสิบล้านเหรียญทอง...!

“นิ..นี่มัน เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้...?”

ตอนนี้เองผู้อาวุโสหลักที่มีระดับครึ่งก้าวธรรมชาติ ที่เป็นผู้จับเจ้าเสี่ยวจินไปขายที่โรงประมูลตระกูลหม่า  สีหน้าก็บิดเบี้ยวดั่งขบเคี้ยวบอระเพ็ด

เพราะจะอย่างไรแล้วเงินที่ตัวมันได้จากโรงประมูลวันนั้นก็น้อยนิดนัก เพียงไม่กี่ล้านเหรียญทองเท่านั้น

แต่ทว่าวันนี้ชายหนุ่มเบื้องหน้ากลับเรียกร้องออกมามากมายเป็นสิบเท่าของเงินที่มันได้รับในวันนั้น..!

ชายหนุ่มคนนี้จะไม่เรียกร้องมากเกินไปหน่อยหรือ!

"อะไร? หรือว่าเงินแค่นี้ยังมากเกินไป?" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มอย่างเฉยเมย "ประมุขหวง...เงินเพียงเท่านี้ข้ารู้ดี ว่าด้วยความสามารถตระกูลหวงแล้ว ย่อมหยิบจ่ายออกได้ไม่มีปัญหา...จริงสิ ขนาดตระกูลหม่ายังเข้าใจอะไรง่ายกว่าพวกเจ้านัก พวกมันไม่ได้กล่าววาจาอะไรสักคำ ก็ยื่นส่งเงิน 100,000,000 เหรียญทองออกมาแล้ว..."

ตระกูลหม่า? 100,000,000 เหรียญทอง??

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้ออกมา ระดับสูงทั้งหลายของตระกูลหวงก็อึ้งค้างไปราวกับวิญญาณตัวบ้าใบ้เข้าสิง

“ประมุขหวง ข้าจะให้เวลาท่านทบทวนสัก 3 ลมหายใจแล้วกัน...หากท่านไม่เต็มใจจ่ายออก...หากสหายน้อยของข้าเกิดคับแค้นใจ จนอยากแก้แค้นขึ้นมา  ตอนนั้นเรื่องราวคงไม่อาจแก้ไขได้ด้วยเงินแล้วนะ...” รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน

"จี๊ดด ~" เจ้าหนูขนทองตัวน้อยที่ยืนอยู่บนไหล่ ก็สะบัดมือน้อยๆ เรียกกระบี่วิญญาณระดับ 5 ออกมาทันที  มันจี้ชี้ไปยังหน้าประมุขตระกูลหวง ก่อนที่จะแยกเขี้ยวยิงฟัน สายตามจับจ้องไปเขม็งราวกับจะกล่าวว่า 'หากพวกเจ้าไม่จ่ายค่าเนื้อย่างของข้ามาแต่โดยดี  พวกเจ้าทั้งหมดตาย!'

มุมปากของประมุขตระกูลหวงถึงกับกระตุกขึ้นมาตงิดๆ  สุดท้ายมันก็ทำได้แค่เพียงทำใจยอมรับเรื่องราว ใช้เงินประนีประนอมหย่าศึก

มันไม่ได้สงสัยในวาจาของต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย

หากพวกมันล่าช้าจนพ้นผ่านไป 3 ลมหายใจแล้วล่ะก็... เจ้าหนูขนทองอันเป็นสัตว์อสูรปีศาจแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 3 นี่จะต้องลงมือเล่นงานพวกมันแน่นอน !

“ประมุขหวงนับว่าเป็นคนฉลาด เข้าใจสถานการณ์อย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ...!”หลังจากที่ได้รับเงินแล้ว ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มสดใสออกมา ก่อนที่จะมองไปยังผู้อาวุโสตระกูลหวงที่จับตัวเจ้าเสี่ยวจินมาขาย "ผู้อาวุโส ครั้งต่อไปที่ท่านคิดจับสัตว์อสูร ท่านก็ต้องเปิดตาให้กว้างและมองให้กระจ่าง...หาไม่แล้วเพียงการกระทำของท่านคนเดียว อาจทำให้ตระกูลหวงทั้งตระกูลต้องล้มละลายเอาได้..."           

คำพูดทิ้งท้ายก่อนลาจากของต้วนหลิงเทียน  ทำให้หน้าของอาวุโสหลักของตระกูลหวงผู้นั้นแดงแป๊ดขึ้นมาโดยพลัน

มันหายใจออกมาอย่างรุนแรงไม่กี่ครั้งหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไป สุดท้ายก็กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ด้วยโทสะอารมณ์ที่ปะทุในอกยากระบาย...

หยาดโลหิตหลั่งรินรดพื้น ก่อเกิดบุปผาสีเลือดออกมาประหนึ่งกุหลาบเบ่งบาน แลดูไปสวยงามนัก!

เมื่อต้วนหลิงเทียนเดินออกมาจากเขตที่พักของตระกูลหวงแล้ว เขาก็ยิ้มแย้ม และมีความสุขนัก “ตอนนี้หากนับรวมเงินที่ตระกูลหวงให้มา...เงินที่ข้ามีตอนนี้สมควรเป็น 200,000,000 เหรียญทองแล้ว”

"จี๊ดๆ ~" เจ้าหนูขนทองเองก็ร่ำร้องเสียงแหลมออกมาสองครั้ง ก่อนที่จะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง "พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านอย่าลืมเนื้อย่างของข้านะ ... "

“เรื่องนี้เจ้าเลิกกังวลได้เลยเสี่ยวจิน  ต่อไปเวลาเราไปหาอะไรกิน ทุกๆครั้งข้าจะสั่งเนื้อย่างมาให้เจ้ากินผู้เดียวเต็มโต๊ะเลยดีหรือไม่?”ต้วนหลิงเทียนตอนนี้อารมณ์ดีนัก เขาจึงให้สัญญาเจ้าเสี่ยวจินว่ามันจะได้กินเต็มคราบ

"ฮิฮิ ...พี่ใหญ่หลิงเทียนดีที่สุดเลย" น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาครั้งนี้ของเจ้าหนูน้อย เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ตอนนี้กล่าวไปก็ดึกดื่นครึ่งคืนแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับเจ้าหนูน้อยเองก็กำลังเดินกลับไปเพื่อพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม หนทางหลังจากที่เดินออกจากตระกูลหวงเองก็มืดสนิทแทบไร้แสงไฟ

ดึกดื่นเช่นนี้ ตามรายทางก็ยากจะพบเห็นผู้ใดออกมาเดินเพ่นพ่าน...

แต่ทันใดนั้นเอง เบื้องหน้าของต้วนหลิงเทียน ปรากฏร่าง 2 ร่างที่กำลังเดินออกมาจากตรอกแคบๆสวนมา  ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรพิเศษ  แต่ทว่าบทสนทนาที่ทั้งสองคุยกันนั้นกลับสะกิดใจ และเรียกร้องความสนใจของต้วนหลิงเทียนในทันที..

“พี่สี่ สตรีที่เรียกว่าหวังฉงนั่น ที่แท้เป็นผู้ใดกันหรือ? เหตุใดลูกพี่หวู่ถึงได้ต้องเป็นผู้ลงมือออกไปจับตัวนางมาด้วยตัวเองเช่นนี้กันเล่า?”

“ชู่ว! เจ้า กล่าวให้เบาหน่อย!...อย่าได้ถามมากความในเรื่องที่เจ้าไม่สมควรถามแล้ว...ข้างกายสตรีผู้นั้นมีผู้เชี่ยวชาญที่น่าสะพรึงกลัวติดตามอยู่  หากมิใช่เพราะเงินจำนวนมหาศาลที่หัวหน้าหานมอบให้แล้วล่ะก็  ลูกพี่หวู่คงมิคิดเสี่ยงตาย อาศัยจังหวะที่ผู้เชี่ยวชาญน่ากลัวนั่นปิดด่านบ่มเพาะพลังไปจับตัวสตรีนางนั้นมาหรอก  ...นี่หากผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นล่วงรู้เข้าล่ะก็... พวกเราทั้งหมดได้ตกตายกันสิ้นแน่!”

ถึงแม้น้ำเสียงของทั้งสองคนจะกล่าวกันเบาเพราะต่างกระซิบกระซาบ แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมได้ยินชัดเจน

หวังฉง?

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นมาโดยพลัน

เขาจดจำได้ว่า ภรรยาของพี่ใหญ่จาง ที่เขาพบในเหลาอาหารแห่งเมืองโบราณชั่วนิรันดร์นั้น..ก็มีนามว่าหวังฉง..

“ผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวคอยติดตามเคียงข้างนางเช่นนั้นหรือ? พวกมันคงไม่ได้กำลังกล่าวถึงพี่ใหญ่จางกันอยู่หรอกนะ?” ต้วนหลิงเทียนเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา

พี่ใหญ่จางที่ว่าก็คือ จางโฉวหย่ง ที่ต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยได้ทำความรู้จัก ที่เหลาอาหารในเมืองโบราณชั่วนิรันดร์

ต่อมาจางโฉวหย่งและหวังฉงก็เลือกที่จะละทิ้งเหลาอาหารหยกนิรันดร์ หมายออกเดินทางท่องเที่ยว กระทั่งยังเดินทางมาส่งต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยถึงนิกายกระบี่ 7 ดาว

“ข้าลองตามไปดูก่อนดีกว่า” ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะสะกดรอยตามไปดูเรื่องราวให้แน่ชัด

สุดท้ายจากการลอบสะกดรอยตามคนทั้ง 2 นั่นมา ต้วนหลิงเทียนก็มาถึงเขตที่พักหรูหรา มีระดับไม่น้อย

ที่ดินบริเวณนี้ดูจากสภาพแวดล้อมแล้วสมควรเป็นของขุนนาง หรือผู้มีอิทธิพลและมีความมั่งคั่งไม่น้อย

“หัวหน้าหาน...” ต้วนหลิงเทียนที่เร้นกายอย่างเงียบงันอยู่นอกห้องโถงหลัง ลอบเจาะช่องมองไป เห็นชายทั้ง 2 คนกำลังทักทายชายวัยกลางคนในห้องโถงหลักที่สวมชุดแพรไหมอย่างดี ตัวชุดปักด้วยลายสีทองสง่างามไม่น้อย

“พวกเจ้าทั้ง 2 เป็นผู้ใด?” ชายวัยกลางคนในชุดแพรปักลาย กลับไม่รู้จักทั้ง 2 คนที่มาเยือน

"หัวหน้าหาน พวกเราเป็นใครหาใช่เรื่องสำคัญไม่ ...เรื่องที่สำคัญก็คือ งานที่ท่านมอบให้ลูกพี่หวู่กระทำนั้น  ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว.." หนึ่งในชายหนุ่มทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมยิ้มแสยะ

“น้องชาย...เรื่องที่เจ้ากล่าว มันหมายถึงเรื่องอันใดกัน?” ถึงแม้ว่าชายในชุดแพรปักลายจะยังมีสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง แต่ด้วยพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกไป ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ชัดเจนถึงจังหวะลมหายใจของชายวัยกลางคนที่เปลี่ยนเป็นถี่กระชั้นขึ้นมา...

‘นับว่าคนๆนี้เป็นคนที่ระวังตัวแจเลยทีเดียว...’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ

“หัวหน้าหาน...มีสตรีนางหนึ่งเรียกว่า หวังฉง ซึ่งตอนนี้ถูกจับมาเป็นแขก ที่ห้องพิเศษของลูกพี่หวู่...” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวออกมาตรงๆ

“อะไร? เป็นความจริงรึ?!” เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ คราวนี้ชายวัยกลางคนหาได้มีท่าทีสงบอีกต่อไป มันเผยท่าทียินดีออกมาอย่างบ้าคลั่ง “พี่หวู่ สามารถจับนังสารเลวนั่นได้จริงๆ!?”

“ถูกแล้ว...ผู้เชี่ยวชาญที่มักติดตามเคียงข้างนางไม่ห่าง พึ่งปิดด่านบ่มเพาะพลัง ทำให้ลูกพี่หวู่วางแผนเรียกตัวนางออกมาจากบ้านพัก ก่อนที่จะลักพาตัวนางมากักขังไว้ที่ห้องพิเศษของลูกพี่หวู่  ...เรื่องนี้สมควรตองเร่งรีบมิน้อยเช่นนี้ลูกพี่จึงให้พวกเรามาหาหัวหน้าหาน  เพื่อมิให้เกิดปัญหาจากความล่าช้าใดๆ... หัวหน้าหานท่านเองก็ต้องรีบสักหน่อยแล้ว หากผู้เชี่ยวชาญนั่นออกฌานแล้วเกรงว่า...”

"ฮ่าๆๆ ... ดี! ดี! เอาล่ะข้าจะตามพวกเจ้าทั้งสองไปเสียตอนนี้เลย นำทาง!" ชายวัยกลางคนที่เรียกว่าหัวหน้าหานหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น ก่อนที่จะให้ชายหนุ่มทั้งสองนำทาง นำพามันออกจากเขตที่พักส่วนตัวของมัน

“นังสารเลวหรือ...เช่นนั้นคงไม่ใช่พี่สะใภ้หวังฉงสินะ..?”ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวไปแล้ว หวังฉงไม่ใช่สตรีที่จะไปมีเรื่องราวกับใคร และไม่สมควรทำให้ผู้คนในเมืองที่ห่างไกลอย่างเมืองวายุทมิฬนี่โกรธแค้นอะไรเช่นนี้ได้เลย

นี่เพราะเขาเองก็รู้จักหวังฉงไม่น้อย

บางทีสตรีนางนี้อาจจะมีนามหวังฉงเช่นเดียวกัน และบังเอิญมีผู้ติดตามที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงติดตามนางด้วยเช่นกัน...

อย่างไรก็ตาม... ระแวงพันครั้งไม่เป็นไร วู่วามครั้งเดียวนับว่าใหญ่หลวง!...เพื่อความปลอดภัยแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังคงสะกดรอยตามพวกมันไป!

หากหวังฉงที่พวกมันกล่าวถึง เป็นภรรยาของพี่ใหญ่จางจริงๆ  หากเขาปล่อยให้นางประสบภัยเพราะความเลินเล่อด่วนสรุปของเขาล่ะก็  ถึงตอนนั้นคิดเสียใจก็สายไปแล้ว...

ต้วนหลิงเทียนก็สะกดรอยทั้ง 3 ไป จนถึงตรอกที่ไม่ค่อยสะดุดตาและเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่งของมุมเมืองวายุทมิฬ

บริเวณพื้นที่ตรงนี้ยังนับว่าห่างไกลจากเขตชุมชนมาก

หากไม่ใช่เพราะลอบสะกดรอบตามทั้ง 3 คนมาล่ะก็ ต้วนหลิงเทียนคงหาสถานที่แห่งนี้ไม่พบ

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นชายหนุ่มทั้ง 2 นำชายวัยกลางคนชุดแปรปักลายเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่ง

ในบ้านหลังนี้ บริเวณลานด้านหลังมีสุนัขตัวเขื่องเฝ้าหน้าประตูอาคารหลังหนึ่งเอาไว้

"โฮ่ง โฮ่ง ~" สุนัขเห่าออกมาอย่างดุร้ายทันที เมื่อเห็นชายวัยกลางคนในชุดแพรปักลาย ที่ไม่คุ้นตาคุ้นกลิ่น

“ถุงเงิน อย่าได้เห่าแล้ว เขาเป็นพวกเดียวกับเรา.. เงียบเสียบเด็กดี” ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเดินเข้าไปลูบหัวสุนัขเบาๆพร้อมยีหัวมันเล็กน้อยทำให้มันเงียบลง

“หัวหน้าหาน ลูกพี่หวู่กำลังรอท่านอยู่ด้านในห้อง เชิญเถอะขอรับ” ทั้งสองพาหัวหน้าหานไปถึงหน้าประตู ก่อนที่จะเชิญอีกฝ่ายเข้าไปพร้อมลั่นดาลปิดประตูอย่างแน่นหนา

ต้วนหลิงเทียนที่ชมดูเรื่องราวอยู่ก็พลันพุ่งร่างเข้าลานด้านหลังติดตามไป  และทันทีที่เห็นสุนัขกำลังจะอ้าปากเห่า ประกายตาของต้วนหลิงเทียนก็เรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง  พลังวิญญาณหลังไหลสู่ตราประทับจิต ใช้ออกด้วยอำนาจจิตพันมายาลวงตาทันที  สะกดเจ้าหมาตัวเขื่องให้ติดอยู่ในภาพลวงตา จนมันเคลิ้มหลับไป...

เพียะ!!

ทันใดนั้นเองเสียงตบฟาดพลันดังออกมาจากในห้องอย่างชัดเจน  ครู่ต่อมาก็เป็นเสียงหัวหน้าหานแผดดังขึ้น “อีนังสารเลวหวังฉง เจ้าคงไม่คิดสินะว่าเจ้าจักมีวันนี้!...เจ้าช่างกล้าและถือดีนัก บังอาจมาแย่งเส้นทางการค้า และกล้ายึดกิจการของบิดา!  วันนี้บิดาจักดูว่าผู้ที่เคียงข้างเจ้านั้น จักมาช่วยเหลือเจ้าได้อย่างไร”

เพียะ! เพียะ! เพียะ! เพียะ! เพียะ!

...

เสียงกระหน่ำตบดังขึ้นไม่หยุดยั้ง...

“หานเจี้ยนเจ้ามันต่ำช้าน่ารังเกียจชวนให้ข้าขยะแขยงยิ่งนัก...ตัวเองด้อยความสามารถ แพ้พ่ายต่อความสามารถด้านการค้าของข้า ถึงขั้นต้องมาอาศัยวิธีต่ำช้ำเช่นนี้เพื่อจัดการกับข้า...ไม่คิดเลยว่าตัวสารเลว ถ่อยสถุลไร้สามารถเช่นเจ้า จักมีปัญญาไต่เต้าจนกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้ากู่จงได้ ” น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูดังขึ้น และในน้ำเสียงก็บ่งบอกถึงอารมณ์ดูแคลนของผู้พูดได้อย่างชัดเจน

“เฮอะ! ข้าจักใช้วิธีเช่นนี้แล้วจักอย่างไร? หรือข้า หานเจี้ยนอัน ผิดที่มีสหายเลิศล้ำ ถึงขั้นมีความสามารถลักพาตัวเจ้าได้?!  พี่หวู่ผู้นี้เป็นสหายอันดีของข้า ก็เสมือนเป็นหุ้นส่วนการค้าของข้า...!  เจ้าจักมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งติดตามเคียงข้างแล้วจักอย่างไร?  สุดท้ายก็มิใช่ว่าเจ้าต้องตกอยู่ในกำมือของพี่หวู่หรอกหรือ?” หนาเจี้ยนอันกล่าวออกมาด้วยโทสะ น้ำเสียงยังหยิ่งผยองและแฝงจิตสังหารเอาไว้ “วันนี้ข้าจักฆ่าอีนังสารเลวเช่นเจ้า!  สำนึกไวเสียอีหมูตัวเมีย! ว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าอย่าได้ริอาจมาแข่งขันกับข้า!  ตาย!!”

“พี่สะใภ้!”เมื่อต้วนหลิงเทียนได้ยินน้ำเสียงของสตรีนางนี้ เขารู้สึกคุ้นเคยไม่น้อย และหลังจากที่นึกอยู่ครู่หนึ่งเขาก็จดจำได้

เสียงนี้เป็นเสียงหวังฉง ภรรยาของพี่ใหญ่จางโฉวหย่งแน่นอน!

“ทั้งหมดหยุดมือให้ข้า!!” ต้วนหลิงเทียนไม่คิดลังเล หรือรีรออะไรอีก เขาตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมพุ่งร่างถีบทำลายประตูจนพังพินาศ พุ่งเข้าห้องมาอย่างว่องไวดุดันราวกับกระสุนปืน

เพียงกวาดสายตามองผ่านปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็รู้  ว่าห้องนี้เป็นห้องที่ดัดแปลงเป็นห้องขัง และมีไว้ทรมานผู้คน!

ในห้องขังนี้มีเสาหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง  ทั้งเสานั้นยังมัดร่างสตรีคนหนึ่งเอาไว้  ถึงแม้ใบหน้าของสตรีนางนี้จะถูกทุบตีทำร้ายจนมีสภาพน่าเวทนา กระทั่งกำลังจะถูกฟาดจนตกตาย  แต่ศีรษะของนางไม่เคยก้มลงต่ำแม้แต่น้อย นางยังเชิดหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวทระนงไม่คิดยินยอมสยบ  ความเด็ดเดี่ยวนี้อาจทำให้บุรุษบางคนถึงกับต้องละอาย...

แน่นอนว่านางคือหวังฉง

ภรรยาของจางโฉวหย่ง!

“พี่สะใภ้!”สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นมืดมนลงโดยพลันเมื่อเห็นรอยฟกช้ำและรอยมือเต็มใบหน้าของหวังฉง เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงยะเยือก “เสี่ยวจิน”

ทันใดนั้นร่างน้อยๆ ที่นั่งอยู่บนไหล่ของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งวูบไปดั่งเส้นแสงสีทอง ตัดทำลายเชือกที่พันธนาการร่างหวังฉงเอาไว้ทันที ทำให้หวังฉงมีอิสระอีกครั้ง

“น้องหลิงเทียน!” เดิมหวังฉงคิดว่าครั้งนี้ชีวิตของนางคงจบสิ้นแล้ว แต่จู่ๆก็มีคนปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเหลือชีวิตของนางเอาไว้อย่างไม่คิดฝัน กระทั่งผู้มาช่วยครานี้กลับเป็นสหายน้อยของนางคนหนึ่ง

“เด็กน้อยเจ้าเป็นผู้ใด! มิรู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด?  ข้า หวู่จี้ พยัคฆ์โลหิต! ในเมืองวายุทมิฬนี้กระทั่ง 3 ตระกูลใหญ่ยังต้องเกรงใจข้า!  มิกล้าแหยมต่อข้าแม้แต่น้อย!  แล้วเจ้า! เด็กน้อยเช่นเจ้าอาศัยอะไร ถึงได้กล้าแส่มาสอดเรื่องของบิดา....ในเมื่อเจ้ารนหาที่เองเช่นนี้ วันนี้ก็อย่าหวังจักได้กลับไปทั้งยังหายใจ! ” ชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ ใส่เสื้อกั๊ก เผยแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามมัดใหญ่ ทั้งท่อนแขนยังสักรูปพยัคฆ์สีแดงฉานเอาไว้  ใบหน้าของมันเผยจิตฆ่าฟันขณะกล่าวคำกับต้วนหลิงเทียน

หานเจี้ยนอันที่สวมชุดผ้าแพรปักลาย เหลือบมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย้ยหยัน

“อ่อ...เช่นนั้นหรือ?” ต้วนหลิงเทียนเพียงแค่นเสียงเย้ยหยันออกมา

ผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวธรรมชาติกล้าเขื่องโขต่อหน้าเขา?

“พยัคฆ์โลหิตเช่นนั้นหรือ?!  วันนี้ข้าจักทำให้เจ้ากลายเป็นพยัคฆ์ตายโหง!!” ทันใดนั้นเองเสียงเข้มๆอันเต็มไปด้วยโทสะอารมณ์อันรุนแรงจากข้างนอกพลันดังขึ้นกึกก้องในห้องหับ!

ทั้งน้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยโทสะอารมณ์อันเกรี้ยวกราด...!!

 

รีวิวผู้อ่าน