px

เรื่อง : The Divine Nine-Dragon Cauldron
DND.5 - ทองคำกับเงิน


หลังจากฝึกมาห้าวันเต็มด้วยสายตาเฉียบคมและร่างกายที่ดีพร้อมของเขา ซือหยูก็ได้สำเร็จวิชาทลายจักรวาลระดับสอง อีกก้าวเดียวเขาก็จะสำเร็จวิชาทลายจักรวาลขั้นสูงแล้ว

 

ในขั้นสาม พลังของทลายจักรวาลจะรวดเร็วและรุนแรงขึ้น ว่ากันว่าหากผู้ฝึกสำเร็จวิชาแล้ว หมัดและลูกเตะจะรวดเร็วต่อเนื่องจนไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้สวนกลับ

 

แต่ซือหยูก็รู้สึกว่าพลังของเขายังไม่พอต่อการสำเร็จวิชาทลายจักรวาลขั้นสาม เขาตัดสินใจหยุดฝึกก่อนชั่วคราว

 

ซือหยูไม่มีธนูติดตัวเขาจึงฝึกเคล็ดลับศรทะลวงร้อยศอกไม่ได้ เขาจึงเหลือทางเลือกแค่เงาเมฆา แต่เปิดตำราและค่อยๆอ่าน

 

ในตอนนั้นเขาก็เริ่มกังวล หลังจากที่เขาอ่านไม่นานเขาก็เริ่มสับสน เขาหัวหมุนเพราะไม่เข้าใจเนื้อหาในตำรา

 

“วิชานี้มันยากจะเข้าใจเสียจริง นี่สินะมันถึงต้องการพลังปราณมาก ดูเหมือนข้าจะยังแข็งแกร่งไม่พอ”

 

ซือหยูพบความจริงที่ยอมรับได้ยาก แต่เขาก็ยืนกรานที่จะไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่เลือก

 

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าเข้าใจมันไม่ได้!”

 

ซือหยูลูบแขนเสื้อ จดจ้องสายตาไปที่ตำรา แล้วแววตาคริสตัลของเขาปรากฏก็แปลกออกไป

 

ซือหยูนิ่งราวกับศิลาอยู่สองชั่วโมง จากนั้นเขาก็ล้มลงและหลับไปโดยไม่รู้ตัวว่าเขาได้ใช้พลังของดวงตา แม้ว่าโลกจริงเวลาจะผ่านไปสองชั่วโมงแต่ความจริงแล้วเขาได้ใช้เวลาตลอดยี่สิบชั่วโมงในการเรียนรู้ตำรา! จิตของเขาเหนื่อยล้าจนต้องนอนหลับไป

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็พลิกตัวขึ้นและอ่านตำราต่อไปด้วยความตั้งใจอย่างมาก นั่นทำให้เขาเร่งเวลาไปอีกครั้ง หลังจากสองชั่วโมงเขาก็ผลอยหลับไป

 

อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาเขาก็ตื่นและอ่านตำราต่อ เขาทำแบบนี้ไปตลอดสองวัน

 

เขาใช้เวลาหลับพักผ่อนและอ่านหนังสือแบบนี้ไป 320 ชั่วโมง เขาไม่ได้ดื่มหรือกิน เขาไม่ได้หลับพักผ่อนมาทั้งสิ้น 13 วัน!

 

ถึงตอนนี้เส้นเลือดฝอยในตาเขาเริ่มแตกจนตาแดงและหัวก็หมุน แต่ใบหน้าของเขายังคงยิ้ม

 

“ข้าทำได้! ถึงจะแค่เข้าใจวิชาขั้นแรก แต่มันก็สำเร็จแล้ว!”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

พลังปราณของเขาไม่ได้แข็งแกร่งมาก มันเพียงแค่สูงกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความขยันหมั่นเพียรได้ทำให้เขาเข้าใจตำราในที่สุด

 

ซือหยูย่อเขาและออกแรงขา ร่างกายเขาราวกับวิหคทะยานนภา หนึ่งก้าวของเขาไปได้ไกลประมาณหนึ่งวา ร่างกายของเขาเบาราวกับขนนกและลอยเบาๆ ไปมาในป่า

 

เงาของเขาเหมือนกับสายลมที่กระโดดอย่างงดงามในป่าเทือกเขาราวกับว่ามันเป็นเงาของเมฆาขาว เขาเคลื่อนที่ได้รวดเร็วไปตามธรรมชาติ ทำให้เป็นที่จับจ้องของสายตาเมื่อเขาเคลื่อนไหวไปตามคลื่นลม

 

“องค์หญิงน้อย ดูการเคลื่อนไหวอันงดงามนั่นสิ ดูจากความเร็วของเขา เขาน่าจะสำเร็จระดับสองขั้นกลางแล้ว”

 

สาวน้อยที่สวมเสื้อสีม่วงประหลาดใจ

 

ข้างเธอคือหญิงสาวที่สวมชุดสีเหลืองบางๆเธอมีร่างกายที่สวยงาม ดวงตากลมโตทำให้ดูน่าทะนุถนอม ใบหน้าเธองดงามราวกับถูกสลักอย่างปราณีต ผิวขาวราวกับหิมะคล้ายกับเครื่องเคลือบ

 

หลังจากที่ได้ยินหญิงสาวพูด เด็กสาวก็ลืมตากลมโตมองไปรอบๆ แต่เธอก็ไม่พบใคร สาวสวยจ้องสาวน้อยที่สวมเสื้อที่ม่วง

 

“ฮื่ม! รีบเข้าไปในภูเขาเถอะ ล่าสัตว์มาขายเพื่อซื้อโอสถวิญญาณมาเพิ่มพลังให้ร่ายกายเราแข็งแกร่งขึ้น”

 

“ท่านพ่อหน้าโง่ เขาริบเงินทั้งหมดของข้าทำให้ข้าต้องมาที่ป่านี่! เขาต้องเจอดีแน่!”

 

สาวสวยบ่นด้วยความโมโห

 

หญิงสาวที่สวมเสื้อสีม่วงหัวเราะและรีบไปทางองครักษ์อายุประมาณสิบห้าปีที่ตามเขามา

 

“หลีหมิงไห่ จงจำไว้ว่าเจ้าต้องปกป้ององค์หญิง”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ชายหนุ่มตอบอย่างตื่นเต้น สายตาของเขามองผ่านสาวสวยไปเพื่อเก็บซ่อนความร้อนรุ่มในใจ

 

สาวสวยหันมาจ้องเขาอย่างเหยียดหยัน

 

“ปกป้องข้า? เจ้าน่ะเหรอ? ข้าแค่พาเจ้ามาช่วยแบกของต่างหาก! ข้าไม่ได้จะให้เจ้าปกป้องข้า!”

 

ที่สำนักจะจัดการประลองทุกหกเดือน มันเป็นที่สนใจมาก มันราวกับการสอบในโรงเรียนที่โลก

 

มีศิษย์ร้อยคนอยู่ที่ข้างลานประลองเป็นระยะๆ พวกเขาเป็นศิษย์ที่จะต้องประลองในงานนี้ พวกเขาถูกท้าประลองเพราะปัญหาที่มีต่อกัน

 

“ใครคือซือหยู?”

 

เสียงหวานน่าฟังดังไปทั่วกลุ่มคน

 

ซือหยูเอียงคอ หญิงสาวหน้าตาไม่สวยอายุประมาณ 15 ปีที่สวมเสื้อสีดำหลวมๆ กำลังมองหาเขา

 

ในที่นั้นเอง ฝูงชนก็หลีกทางให้เธอ พวกเขาทั้งเกลียดและกลัวเธอ

 

“เจ้าเป็นคนท้าประลองข้าใช่ไหม? เฉินเฟิง!”

 

ซือหยูไม่ได้กลัว สิ่งที่เขาจะต้องพบเจอ ไม่ว่าจะเร็วจะช้าเขาก็ต้องจัดการมัน

 

หญิงสาวคนนั้นคือเฉินเฟิงอย่างแน่นอน ดวงตาเป็นประกายและยั่วยวน เธอมองหัวจรดเท้า เธอพยักหน้าและหัวเราะเบาๆ

 

“ไม่เลวนี่ เจ้าเป็นแบบที่พี่สาวชอบเลย”

“น่าเสียดายที่ข้าไม่สนใจเพราะหน้าเจ้าน่ะ ข้าต้องพูด ‘ขอโทษ’ ต่อหน้าธารกำนัลแล้วล่ะ”

 

ซือหยูกอดอกยืนขึ้น แม้ว่าเขาจะป้องกันที่จะถูกพิษจากเฉินเฟิง เขาก็หยาบคายต่อเธออยู่ดี

 

ทำไมจะต้องสุภาพกับศัตรูล่ะ?

 

“เฮ้ ดูเจ้าเด็กนั่นสิ อยากตายรึไง? เฉินเฟิงไม่ชอบคนที่ว่าเธอน่าเกลลียดนะ!”

 

“เฮ้ย! เบาๆหน่อย เฉินเฟิงนั่นใจแคบนะ รุ่นพี่ผู้หญิงที่พูดเบาๆว่าเธอน่าเกลียดก็ถูกเฉินเฟิงท้าประลองแล้วโดยพิษนะ”

 

“ที่น่ากลัวของเฉินเฟิงก็คือวิชาพิษของเธอ เจ้าจะไม่รู้ตัวเลยว่าถูกพิษ และเมื่อมันแสดงผลสำนักก็จับเธอไม่ได้คาหนังคาเขา เธออยู่รอดได้มาจนถึงวันนี้”

 

“เจ้าเด็กซือหยูนั่นไม่น่าเลย...เขาต้องทุกข์ทรมานแน่ๆ”

 

ตอนนั้นก็มีกรรมการหนวดสีขาวค่อยๆ เดินมาที่ลานประลอง

 

“เริ่มประลองได้!”

 

เฉินเฟิงไม่ได้แสดงความโกรธออกมาและยิ้มมากกว่าเดิม ไม่ว่าเธอจะยิ้มยังไงมันก็ดูน่ากลัวเพราะหน้าที่เหมือนคางคกของเธอ

 

“หนุ่มน้อย พี่สาวจะดูแลเจ้าอย่างดีเลยล่ะ!”

 

ทุกคำพูดของเธอฟังดูเย็นชาและดุร้าย

 

“เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะชนะ!”

 

ซือหยูพูดอย่างเย็นชา

 

“รอบแรก ศิษย์ระดับทอง หลีหมิงห่าวกับศิษย์ระดับเงิน ซูเซิน”

 

หลีหมิงห่าวสำเร็จระดับสามขั้นต้นแล้ว! ซูเซินก็สำเร็จระดับสามขั้นต้นเช่นกัน

 

หลีหมิงห่าวเป็นศิษย์ที่รับเข้ามาในสำนักพร้อมกันซือหยู หลังจากที่ฝึกในสำนักมาหนึ่งปีเขาก็ได้สำเร็จระดับสาม

 

ซูเซินเป็นศิษย์ระดับเงินรุ่นเก่ากว่า เขาต้องใช้เวลาแค่สองปีในการสำเร็จระดับสาม ซูเซินเก่งกว่าพวกศิษย์ระดับเงินคนอื่น นี่เป็นช่องว่างระหว่างศิษย์ระดับทองคำและเงิน พรสวรรค์ก็ต่างกันด้วย!

 

“ซูเซิน กล้ามากที่ท้าข้า!”

 

หลีหมิงห่าวกอดอกยืนขึ้นมองซูเซินอย่างเหยียดหยาม

 

ซูเซินจ้องหลีหมิงห่าวด้วยแววตาแดงก่ำอย่างเกลียดชัง เขากัดฟัน

 

“หลีหมิงห่าว! มีเจ้าก็ต้องไม่มีข้า! เฉียนเอ๋อกับข้ารักกันมาตั้งแต่ยังน้อย เหตุใจเจ้าจึงแย่งนางไปจากข้า หากข้าไม่ชำระแค้นเสียวันนี้ข้าก็มิใช่บุรุษ!”

 

ซูเซินไม่สบายใจที่ต้องพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คน ซือหยูที่ด้านล่างลานประลองก็ใจเต้นเช่นกันที่ได้ยินเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับเขา

 

หลีหมิงห่าวหัวเราะเสียงดัง

 

“เจ้าพูดถึงหลีเฉียนงั้นหรือ? ฮ่าๆ นางมาหาข้าเอง เหตุใดข้าต้องบังคับนางมาจากเจ้าล่ะ? แม้ว่าข้าจะเพลิดเพลินพอและทิ้งนางไป ข้าก็พูดได้ว่านางไม่เลวเลย”

 

แม้ว่าหลีหมิงห่าวจะอายุเพียงสิบห้าปี การเป็นลูกชายของตระกูลดังก็ทำให้เขาเล่นสนุกกับสตรีได้ตามใจอยาก

 

“โทษตัวเองซะเถอะที่ไม่มีพลังพอจะคว้าหัวใจของสตรีที่เจ้ารักไว้ได้”

 

หลีหมิงห่าวหัวเราะอย่างเย็นชา

 

“ยังไม่สายนะถ้าเจ้าจะเอานังขยะนั่นกลับมา บางทีนางอาจจะเปลี่ยนใจ...ล่ะมั้ง? ฮ่าๆๆ”

 

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

 

ซูเซินโกรธจนถึงขีดสุดและไม่สนเหตุผลใดๆแล้ว

 

“มีดกรีดนภา!”

 

ซูเซินตะโกนเสียงดัง พลังของเขารุนแรงและน่าทึ่ง เขาหยิบมีดสีดำออกมาและเล็งไปที่คอหลีหมิงห่าว

 

การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วน่าทึ่งราวกับหงส์

 

ซือหยูดูการประลองด้วยใจเต้น หากเขาต้องสู้กับซูเซินเขาจะไม่มีโอกาสรอดแน่

 

ชั้นเงาปรากฏออกมาจากมือหลีหมิงห่าวและปกคลุมด้านหลังมีดของซูเซิน พวกเขาพลิกตัวไปมา ทันใดนั้นนิ้วทั้งห้าของหลีหมิงห่าวที่ทำท่าจงอยวิหคก็โจมตีถูกข้อมือของซูเซิน

 

ซูเซินเจ็บจนต้องปล่อยมีดและเปิดโอกาสให้หลีหมิงห่าวต่อยไปที่อกของซูเซิน

 

อ๊ากก----

 

ซูเซินร้องเสียงดังราวกับถูกฟ้าผ่าและกระเด็นไปข้างหลัง เขากระอักเลือดออกมาจำนวนมาก

 

ดวงตาของซือหยูสั่นระริก

 

“เขาแข็งแกร่ง! ถึงจะระดับเดียวกันซูเซินก็ป้องกันการโจมตีของหลีหมิห่าวไม่ได้”

 

ซือหยูตัวแข็งทื่อ

 

ด้านศิษย์ระดับเงินที่มาดูการประลองก็ตกใจมาก

 

“ในหมู่ศิษย์ระดับเงินซูเซินอยู่ละดับที่สาม ถึงเขาจะแข็งแกร่งขนาดนั้นเขาก็แพ้อย่างอนาถ!”

 

นี่เป็นความต่างของศิษย์ระดับทองคำและเงิน! ไม่เพียงพรสวรรค์ที่แตกต่าง พลังวิชาบ่มเพาะของต่างกันมากเช่นกัน

 

บุปผาไร้ใจเป็นวิชาบ่มเพาะระดับกลางขณะที่มีดกรีดนภาเป็นวิชาบ่มเพาะพื้นฐาน เมื่อเทียบกันแล้วความต่างของพลังย่อมมาก

 

หลีหมิงห่าวเดินลงจากลานประลองด้วยความผ่อนคลาย เมื่อเขาเดินผ่านซูเซินเขาก็หยิบป้ายรหัสศิษย์สำนักของซูเซินไปด้วย ศิษย์ทุกคนจะมีป้ายรหัสของตัวเองเพื่อระบุตัวตนในสำนัก ป้ายรหัสของหลีหมิงห่าวเป็นสีทองสดใสส่วนของซือหยูเป็นสีเงินหม่น

 

ในตอนนั้นป้ายรหัสศิษย์ของซูเซินบนอกเขาก็สีหมองลง แสงสีเงินพุ่งเข้าใส่ป้ายของหลีหมิงห่าวและสีทองสดใสของมันก็สว่างขึ้นเล็กน้อย

 

เมื่อเห็นเช่นนั้นหลีหมิงห่าวก็ถ่มน้ำลาดรดหน้าซูเซิน

 

“พลังยุทธแค่นี้เองเหรอ! เสียเวลาชะมัด!”

 

พลังยุทธเป็นพลังที่สำนักจะใช้วัดพลังของศิษย์ คนที่มีพลังยุทธน้อยอย่างซือหยูจะได้ป้ายรหัสสีหม่นและเป็นป้ายเงินเทาๆ นั่นหมายถึงระดับพลังต่ำที่สุด

 

หากมีพลังยุทธมากอย่างหลีหมิงห่าว ป้ายรหัสศิษย์ก็จะเป็นสีทองสว่าง

 

นอกจากการประลองและพื้นฐานการบ่มเพาะของศิษย์แต่ละคนแล้ว ป้ายรหัสศิษย์ยังเปล่งแสงตามพลังของศิษย์อีกด้วย

 

ทางเดียวที่ศิษย์ระดับเงินจะกลายเป็นศิษย์ระดับทองคำคือการต่อสู้และดูดซับพลังยุทธให้แข็งแกร่งขึ้น และเมื่อถึงวันที่พลังยุทธเต็ม ในตอนนั้นป้ายรหัสศิษย์ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสีทองและศิษย์คนนั้นจะถือว่าเป็นศิษย์ระดับทองคำอย่างเป็นทางการ

 

จากนั้นหากศิษย์ระดับทองคำอยากจะได้ทรัพยากรที่มากขึ้น ทางสำนักก็จะเปิดประตูต้อนรับเป็นอย่างดี

 

ศิษย์ระดับเงินทุกคนใฝ่ฝันจะได้เป็นศิษย์ทองคำ

 

ศิษย์จำนวนมากมองหลีหมิงห่าวจากไปด้วยความนับถือ พวกเขาไม่กล้าหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ การประลองต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้นแต่ก็ไม่มีศิษย์ทองคำอยู่ด้วยเลย

 

“รอบที่สิบ ศิษย์ระดับเงิน เฉินเฟิงกับศิษย์ระดับเงิน เซ็งเถา”

 

ซือหยูคอยดูเพราะมันเป็นโอกาสที่เขาจะได้เห็นเฉินเฟิงต่อสู้

 

รีวิวผู้อ่าน