px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 492 : ดั่งกาลเหินบิน...


WSSTH บทที่ 492 : ดั่งกาลเหินบิน...

 

 

"พี่ใหญ่จาง...เรื่องนี้ท่านต้องเกรงใจข้าด้วยหรือ? " ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย "จริงสิ แล้วนี่พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไปไงมาไงกันเล่า  ถึงได้มาอยู่ที่เมืองวายุทมิฬนี่ได้?  กระทั่งพี่สะใภ้ยังไปมีเรื่องราวกับตัวต่ำช้าอย่างเจ้าหานเจี้ยนอัน อะไรนั่นอีก?"

“ข้าว่า...พวกเราค่อยสนทนา หลังจากออกจากที่นี่ก่อน ดีหรือไม่?” จางโฉวหย่งเหลือบมองไปยังซากศพไร้หัว รวมถึงปัสสาวะที่เจิ่งนองบนพื้นส่งกลิ่นคละคลุ้ง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ค่อยหันไปมองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวเสนอ

“อ่า...ก็ดีนะพี่ใหญ่จาง”ต้วนหลิงเทียนเองก็พยักหน้ารับคำ ก่อนที่เขากับเสี่ยวจินจะเดินตามจางโฉวหย่งและหวังฉงไปถึงที่พักขนาดใหญ่ที่ทั้งสองอาศัยอยู่

“หัวหน้า” ชายวัยกลางคนสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้า รีบโค้งคำนับหวังฉงอย่างสุภาพ

หวังฉงเพียงพัยกหน้ารับคำเบาๆ

“หืม? หัวหน้าหรือ?” คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นมา ด้วยประหลาดใจเล็กน้อย

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนกับเสี่ยวจิน ก็ติดตามจางโฉวหย่งและหวังฉงมาถึง ทางเข้าลานกว้างขนาดใหญ่ สุดลานก็มีบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งกว้างขวางไม่น้อย ทั้งยังสงบร่มรื่น มีความเป็นส่วนตัว เห็นได้ชัดว่านี่สมควรเป็นบ้านพักของหวังฉงและจางโฉวหย่ง

ตลอดทางที่ผ่าน ข้ารับใช้ทั้งหลายยามพบเจอหวังฉงก็ล้วนเรียกหานางว่าหัวหน้า ทั้งสิ้น...

ต้วนหลิงเทียน จางโฉวหย่งและหวังฉง มานั่งรอบโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ที่บริเวณลานบ้าน  ก่อนที่จะมีข้ารับใช้ยกน้ำชามาจัดวาง

“พี่ใหญ่จาง ทำไมคนของที่นี่ถึงได้เรียก พี่สะใภ้ว่าหัวหน้ากันเล่า? ...หรือว่าพี่สะใภ้ ได้เข้ากลุ่มการค้ากลุ่มใดของอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้...แล้วมีผลงานเลิศเลอ ถึงขนาดได้เลื่อนขั้นจนกลายเป็นหัวหน้าดูแลสาขาประจำเมืองวายุทมิฬ...อะไรทำนองนั้นหรือ?” ต้วนหลิงเทียนลองคาดเดาออกมา

จางโฉวหย่งพลันคลี่ยิ้มก่อนที่จะกล่าวออกมา “ฮ่าๆ  น้องหลิงเทียนนับว่ามีไหวพริบยิ่งนัก  มิคิดเลยว่าเพียงได้ยินคำเรียกหาเท่านี้ เจ้ากลับเดาออกแล้ว  มิผิด ยามนี้ฉงเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าเมฆาลิ่วล่องสาขาเมืองวายุทมิฬ”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จางโฉวหย่งก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวสืบต่อ “เมื่อฉงได้เลื่อนขั้นเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มการค้าเมฆาลิ่วล่องประจำเมืองวายุทมิฬนี่แล้ว กิจการขูดรีดทั้งหลายแหล่ที่หานเจี้ยนอันผูกขาดเอาไว้ ก็ถูกฉงจัดการยึดมาเสียอยู่หมัด...นี่ทำให้มันบังเกิดความเคียดแค้นต่อฉงมาก   ตอนแรกนั้นมันก็เคยส่งคนมาเล่นงานฉงไปคราหนึ่งแล้ว แต่สุดท้ายพวกมันก็ถูกข้าจับโยนทิ้ง! ...แต่ข้ามิคิดเลยว่าพวกมันยังกล้าไปจ้างวานผู้อื่นมาลักพาตัวฉงเช่นนี้!”

ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้กระจ่าง “ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้...ว่าแต่พี่สะใภ้ข้าถึงกับจัดการทำลายกิจการทั้งหลายแหล่ของหานเจี้ยนอันจนหมดสิ้นเลยหรือ  เช่นนั้นพี่สะใภ้ย่อมมีความสามารถด้านการค้าเป็นเลิศแล้ว...ไม่คิดเลยว่านอกจากทำอาหารเลิศรสแล้ว...ที่แท้ท่านกลับเป็นยอดฝีมือด้านการค้าผู้หนึ่ง!”เมื่อกล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังหวังฉงด้วยความประหลาดใจ

“น้องหลิงเทียน ยังมีบางเรื่องที่เจ้ายังมิรู้...แต่ก่อนฉงนั้นมาจากตระกูลที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากการค้าขาย จนเป็นตระกูลใหญ่โตมีอำนาจเส้นสายมากมาย...ฉงเองก็ติดตามบิดาของนางตั้งแต่ยังเล็ก และเรียนรู้ศาสตร์ด้านการค้าขายและการทำธุรกิจมาไม่น้อย  มาวันนี้นางพึ่งมีโอกาสได้ใช้ความสามารถของนาง...” ในขณะที่จางโฉวหย่งกล่าว สองตาของมันก็มองไปยังหวังฉงด้วยเสน่หา

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง...”ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ

“จริงสิ...ว่าแต่เจ้าเล่าน้องหลิงเทียน ใยถึงได้มาอยู่ที่เมืองวายุทมิฬนี่กันล่ะ?  แล้วก็ข้าได้ยินมาว่า...นิกายกระบี่ 7 ดาว...” จางโฉวหย่งมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาท่าทางลังเลที่จะกล่าว...

มันพึ่งจดจำได้ว่า ก่อนหน้านี้เคยได้ยินข่าวเรื่องที่นิกายกระบี่ 7 ดาวถูกทำลายล้าง...

และในตอนนั้นตัวมันกับหวังฉงก็ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นออกมา เพราะจดจำได้ว่าทั้งต้วนหลิงเทียนและลี่เฟย เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่ 7 ดาว...

“ถูกแล้วพี่จาง...ตอนนี้นิกายกระบี่ 7 ดาว  ไม่มีอีกแล้ว...”ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

“แล้วน้องหญิงลี่เฟยของข้าล่ะ นางเป็นเช่นไรบ้าง?” หวังฉงรีบกล่าวถามออกมาทันทีหลังจากถูกกระตุ้นความจำจากจางโฉวหย่ง นางเองก็รู้สึกกังวลไม่น้อย

แน่นอนว่าการที่นิกายกระบี่ 7 ดาวจะเป็นอย่างไร  หรือใครจะเป็นจะตายนางก็ไม่คิดสน

นางสนแต่เรื่องของต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยที่นางรู้จักและมีสัมพันธ์อันดีด้วยเท่านั้น

ตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนปลอดภัยดี และนางก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงลี่เฟยออกมาด้วยความกังวล เพราะตอนนี้นางเห็นต้วนหลิงเทียนเดินทางเพียงลำพัง...

“พี่สะใภ้อย่าได้กังวลแล้ว...เสี่ยวเฟยยังปลอดภัยดี ...ในตอนที่นิกายกระบี่ 7 ดาวเกิดเรื่องนางไม่ได้อยู่ที่นิกาย” ต้วนหลิงเทียนฝืนยิ้มออกมา  เมื่อเขาได้ยินจางโฉวหย่งกล่าวถึงเรื่องที่นิกายกระบี่ 7 ดาวล่มสลายขึ้นมาเช่นนี้ ก็พาลให้เขาอดหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์นองเลือดในวันนั้นขึ้นมาเสียไม่ได้...

ทกๆฉากๆทุกตอนไม่เคยจางหาย...  และชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีวันลืม!

“แล้วน้องหลิงเทียนมาที่เมืองวายุทมิฬนี้...เจ้ามาทำอะไรหรือ?”จางโฉวหย่งย่อมสังเกตเห็นรอยยิ้มฝืนๆของต้วนหลิงเทียน ก็ย่อมเดาได้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงอะไร  จึงรีบกล่าวถามเปลี่ยนเรื่องออกมา

“ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก...ข้าแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้นเอง” ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาพร้อมยิ้มบางๆ

“น้องหลิงเทียน แล้วเจ้าคิดจักทำอันใดต่อไปหรือ...?” หวังฉงกล่าวถามต้วนหลิงเทียน

ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง สายตาของเขาเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย ก่อนที่จะพูดออกมาช้าๆ “ข้าวางแผนว่าจะค่อยๆเดินทางผ่านแต่ละเมืองไปเรื่อยๆ...และหลังจากนี้อีกหนึ่งปีข้าคงเดินทางถึงเมืองหลวงของอาณาจักรพนาครามพอดี  ตอนนั้นข้าก็คิดจะเข้าสถานศึกษาหงส์มังกรผงาด...”

“หืม? สถานศึกษาหงส์มังกรผงาดหรือ?” จางโฉวหย่งและหวังฉงเผยสีหน้างุนงงเมื่อได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน นี่เพราะทั้งคู่ไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องราวของสถานศึกษาหงส์มังกรผงาดมาก่อนเลย

“น้องหลิงเทียน แล้วสถานศึกษาหงส์มังกรผงาดที่เจ้าว่านั่น... มันเป็นสถานที่เช่นไรหรือ?” จางโฉวหย่งถามซอกแซกออกมาด้วยความสงสัย

“สถานศึกษาหงส์มังกรผงาดที่ข้าว่า ...มันตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของอาณาจักรพนาคราม  พี่ใหญ่จางไม่รู้จักก็ไม่แปลก เพราะมันพึ่งก่อตั้งขึ้นมา และมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมเหล่าอัจฉริยะทั่วทั้งอาณาจักรพนาคราม  รวมถึงเหล่าอัจฉริยะของอาณาจักรใต้อาณัติ... เพื่อทำการคัดเลือดเหล่าอัจฉริยะเข้าร่วมการประลองแข่งขัน 10 ราชวงศ์...กล่าวได้ว่าหลังจากนี้อีกหนึ่งปี เหล่าอัจฉริยะมากมายจะไปรวมตัวกันที่สถานศึกษาหงส์มังกรผงาดนี้ เพื่อแสวงหาโอกาสในชีวิต และหมายได้รับคัดเลือก มีโอกาสไปทำการแข่งขันคัดตัวอีกครั้งที่จักรวรรดิศิลาทมิฬ” ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวออกมา

“การประลองแข่งขัน 10 ราชวงศ์?” จางโฉวหย่งและหวังฉงมองไปที่ต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ประหลาดใจอะไรแม้แต่น้อยที่ทั้ง 2 คนยังไม่รู้เรื่องนี้

เพราะตอนนี้เรื่องราวนี้อาจจะยังไม่ได้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง

หลังจกนั้นไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็ได้บอกเล่าอธิบายเรื่องราวการประลองแข่งขัน 10 ราชวงศ์ทั้งหมดที่เขารู้ ให้จางโฉวหย่งและหวังฉงฟัง...

เขาย่อมสังเกตเห็นแววตาของจางโฉวหย่งที่ทอประกายวูบวาบคมกล้าขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง

เห็นได้ชัดว่าจางโฉวหย่งเองก็บังเกิดความสนใจและคิดเข้าร่วมต่อสู้เช่นกัน

“พี่ใหญ่จาง อายุของท่านเองก็นับว่าเหมาะสมที่จะเข้าร่วมการประลองครั้งนี้นัก คุณสมบัติต่างๆเองก็ครบถ้วนผ่านฉลุย...นอกจากนี้ด้วยพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์และความสามารถในการทำความเข้าใจของท่าน  การที่ท่านจะได้รับคุณสมบัติไปประลองแข่งขัน 10 ราชวงศ์ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร” ต้วนหลิงเทียนเองก็ค่อนข้างมั่นใจในความแข็งแกร่งของจางโฉวหย่ง

ตอนนี้จางโฉวหย่งเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยั่งรู้ธรรมชาติขั้นที่ 4 และเข้าใจแนวคิดดินระดับ 5!

ด้วยพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ตามธรรมชาติของจางโฉวหย่ง หลังจากผ่านไป 5 ปี ความแข็งแกร่งสมควรเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย!

ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ยังไม่ได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังความเป็นมาอะไรของจางโฉวหย่ง  แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่า ตระกูลจางที่จางโฉวหย่งกล่าวในอดีต น่าจะเป็นตระกูลในเมืองหลวงของราชอาณาจักรต้าฮั่น

คงมีเพียงตระกูลใหญ่ในราชอาณาจักรต้าฮั่นเท่านั้น ที่สามารถส่งเสริม และให้กำเนิดอัจฉริยะอย่างจางโฉวหย่งออกมาได้...!

จางโฉวหย่งยิ้มพร้อมพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะหันไปมองหวังฉงพร้อมกล่าวคำ “ให้โชคชะตานำพาเถิด...”

เห็นได้ชัดว่า การตัดสินใจทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับหวังฉง...

ต้วนหลิงเทียนเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนที่จะขอตัวลาอีกฝ่าย “พี่ใหญ่จาง พี่สะใภ้ พรุ่งนี้ข้าจะออกจากเมืองวายุทมิฬแต่เช้า...คงต้องขอลาพวกท่านแล้ว” ต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นยืนก่อนที่จะกล่าวอำลาทั้งสอง

จางโฉวหย่งและหวังฉงเองก็ลุกขึ้นยืน พร้อมพยักหน้ามองส่งต้วนหลิงเทียน

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนออกจากลานบ้านไป บรรยากาศรอบๆตัวจางโฉวหย่งและหวังฉงก็คล้ายจะเงียบงันลง...

หลังจากนั้นไม่นานก็เป็นหวังฉงที่กล่าวคำออกมาทำลายความเงียบ “พี่หย่ง นี่นับเป็นโอกาสอันดีของท่าน...ข้ารู้ดี ว่าท่านเองก็เคยใฝ่ฝันและต้องการที่จะโลดแล่นอยู่ในดินแดนรอบนอกอันลี้ลับน่าค้นหานั่น...  ยามนี้โอกาสที่ดีที่สุดได้อยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ท่านอย่าได้พลาดมันเลย...”

จางโฉวหย่งระบายลมหายใจออกมา “แล้วเจ้าจักทำอย่างไรเล่า?  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่มีวันห่างเจ้า!”

หวังฉงกล่าวออกมาพร้อมคลี่ยิ้ม “ผู้อื่นย่อมติดตามเคียงข้าง... ไม่ห่างท่านเช่นกัน”

ร่างของจางโฉวหย่งสั่นสะท้านขึ้นมา เมื่อได้ยินคำนี้ เขาพยักหน้ารับเบาๆ “เรื่องนี้หาได้รีบร้อนอันใด...ยังคงเหลือเวลาอีก 4 ปี...”

หากต้วนหลิงเทียนได้ยินคำกล่าวนี้ของจางโฉวหย่ง  แน่นอนเขาย่อมสามารถยืนยันเบื้องหลังความเป็นมาของจางโฉวหย่งได้ 100%!

4 ปี!

วันที่การประลองแข่งขันของ 10 ราชวงศ์จะเริ่มขึ้นคือหลังจากนี้อีก 5 ปี!

ส่วนอีก 4 ปีที่จะถึงนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นวันที่ ราชอาณาจักรต้าฮั่นจะทำการคัดสรรอัจฉริยะที่จะไปเข้าร่วมการประลองแข่งขัน 10 ราชวงศ์ที่เมืองหลวง...โดยการจัดประลองของเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายภายในราชอาณาจักร

เห็นได้ชัดว่า จางโฉวหย่งเพียงรอให้ถึงเวลา ที่ราชอาณาจักรต้าฮั่นจะทำการจัดการแข่งขันประลองคัดตัวครั้งสุดท้ายนี่เท่านั้น...

นั่นหมายความว่าเมื่อถึงเวลานั้น ตัวจางโฉวหย่งมีคุณสมบัติ และมีอำนาจมากพอที่จะเข้าร่วมการประลองคัดเลือกรอบสุดท้ายได้เลย!

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนและเสี่ยวจินออกมาจาก เขตที่พักของกลุ่มการค้าเมฆาลิ่วล่อง เขาก็เดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่จองที่พักเอาไว้แล้วนอนหลับพักผ่อน

เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่หลังจากที่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม  ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาอะไรรองท้องกับเจ้าเสี่ยวจิน แน่นอนว่าเขาจัดเนื้อยางให้มันชุดใหญ่จนหนำใจอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางออกจากเหล่า กระทั่งออกจากเมืองวายุทมิฬ

หลังจากที่ออกจากเมืองวายุทมิฬ ต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมุ่งสูบูรพาทิศ

ตลอดการเดินทางเขาจะรับหน้าที่สังหารเหล่าสัตว์อสูรด้วยตัวเอง...

หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงและถึงคราวจำเป็นจริงๆแล้วล่ะก็ เขาจะไม่ให้เสี่ยวจินช่วยเหลือใดๆเลย...

ภายใต้การฝึกฝนอย่างหนักหน่วงผ่านความเป็นตายหลายครั้ง  ความก้าวหน้าในเชิงยุทธ์ของต้วนหลิงเทียนนับวันยิ่งเพิ่มพูนสูงขึ้น กระบวนท่ากระบี่ไวยิ่งมายิ่งร้ายกาจ บรรลุสู่ระดับที่ไม่ใช้วิชาระดับห้วงมหรรณพอีกต่อไป ทั้งปฏิกิริยาตอบสนองการตัดสินใจ รวมถึงการใช้พลังงานต้นกำเนิด ต่างบรรลุระดับดูดเข้ารั้งออกดั่งใจนึก ไม่มีการชะงักติดขัดสักเพียงนิด

กาลเวลาล่วงเลยดั่งติดปีกโผบิน...

ผ่านไป 3 เดือน ต้วนหลิงเทียนก็ประสบผลสำเร็จในการทะลวงด่านวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9!

ผ่านไป 8 เดือน ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวเท้าเหยียบไปยังด่านครึ่งก้าวธรรมชาติ!

ผ่านไป 11 เดือน ต้วนหลิงเทียนก็บ่มเพาะสั่งสมพลังงานจนบรรลุจุดสูงสุดของระดับครึ่งก้าวธรรมชาติ!  และเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จะบรรลุสู่ด่านแรกสัมผัสธรรมชาติ!

ณ ยอดเขาสูงเทียมเมฆแห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองหลวงของอาณาจักรพนาครามไม่ไกล...

ปรากฏร่างสีม่วงนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบงัน...

ร่างนี้กลับเป็นชายหนุ่มชุดสีม่วงรูปร่างสมส่วน คิ้วคมเข้มคล้ายดาบแกร่งกล้า  ดวงตาพริ้มหลับลงอย่างสงบ ให้บรรยากาศล้ำลึกประการหนึ่ง ระหว่างคิ้วยังแผ่พุ่งความองอาจเด็ดเดี่ยว  รวมแล้วนับเป็นร่างอันโดดเด่นและหล่อเหลาไม่ธรรมดา...

ตอนนี้พลังงานต้นกำเนิดสีขาวราวน้ำนมเริ่มแผ่ซ่านออกมาจากร่างชายหนุ่มสีม่วงอย่างสงบ  และนอกจากพลังงานต้นกำเนิดสีขาวราวน้ำนมแล้ว ยังมีกระแสพลังลึกล้ำสีฟ้าคราม ที่เรืองรองเผยกลิ่นอายประหลาดออกมา...

"จี๊ด ~" ในขณะที่ชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั่งเข้าฌานสมาธิโคจรสั่งสมพลังอยู่นั้น  ก็มีร่างหนูสีทองตัวน้อยลอยตัวอยู่ไม่ไกล ในมือถือกระบี่วิญญาณเล่มจิ๋ว สายตาสอดส่องมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ราวกับผู้พิทักษ์ตัวน้อย...ทว่าหากมืออีกข้างไม่มีเนื้อชิ้นใหญ่ถือไว้ และปากที่เลอะคราบน้ำมัน คงดูดีกว่านี้มิใช่น้อย...

ทันใดนั้นเองชายหนุ่มในชุดสีม่วงพลันลืมตาขึ้นมา...

“ใกล้ได้เวลาแล้ว...”ชายหนุ่มชุดม่วงลืมตาขึ้นมาเผยประกายตาระยิบระยับดั่งสายธารดารา มุมปากยังยกขึ้นคลี่ยิ้มพึงใจออกมา “ตอนนี้ตราบใดที่ข้ากินสุราวานรจักรพรรดิลงไปเพียงแค่หยดเดียว ก็น่าจะเพียงพอ สำหรับการทะลวงไปยังด่านแรกสัมผัสธรรมชาติ!  ...พลังงานต้นกำเนิดที่ข้าโคจรสั่งสมมาหลายวัน ล้วนเต็มเปี่ยม เตรียมพร้อมทะลวงด่านได้ทุกเวลา!”

ชายหนุ่มชุดสีม่วงผู้นี้ แน่นอนว่าคือต้วนหลิงเทียน ที่เดินทางออกจากเมืองวายุทมิฬเมื่อ 11 เดือนก่อน!

ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานี้ ต้วนหลิงเทียนอาศัยพรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์อันไร้คู่เปรียบจนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในหลายๆด้าน

แน่นอนว่าที่เห็นได้ชัดเจนก็คือระดับพลังบ่มเพาะ!

ตอนนี้ระดับพลังบ่มเพาะของเขาเต็มขีดจำกัดของระดับครึ่งก้าวธรรมชาติแล้ว  และพร้อมจะก้าวขาไปยังแรกสัมผัสธรรมชาติได้ตลอดเวลา  เพียงแค่อาศัยแรงกระตุ้นเล็กน้อยเท่านั้นก็จะทะลวงผ่าน ปราการบางๆ ก้าวไปสู่ระดับนั้นได้อย่างง่ายดาย!

อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นปราการบางๆที่ว่า แต่หากไม่ได้รับแรงหนุนเสริมใดจากภายนอกแล้วล่ะก็ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะอาศัยพลังงานต้นกำเนิดของตัวเองทะลวงผ่านไปได้ในเวลาอันสั้น...

ก็เช่นเดียวกันกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติจำนวนมากในอาณาจักรนภาล่อง  ที่ไม่อาจเหยียบย่างผ่านพ้นไปถึงระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้..! เนื่องจากไม่อาจทำลายปราการด่านบางๆดังกล่าว  และด่านปราการบางๆที่ว่านี้ กลับกลายเป็นกำแพงสูงที่พวกมันไม่อาจก้าวผ่านไปได้ ชั่วชีวิตของพวกมัน...

แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนนั้น...ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้สักนิด!

ด้วยระดับพรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์ของเขาตอนนี้ ต่อให้ไม่ต้องขยันบ่มเพาะอะไรมากมาย กระทั่งไม่ต้องใช้แรงกระตุ้นอะไรจากภายนอก ตัวเขาก็สามารถตัดผ่าน ทะลวงปราการบางๆที่ว่าได้อยู่ดี... ขอเพียงให้เวลากับมัน...

แต่ในเมื่อตอนนี้เขามีหนทางลัดที่จะทะลวงผ่านไปได้โดยไร้ซึ่งผลกระทบใดๆ แล้วทำไมเขาถึงจะไม่ใช้มันล่ะ?

“สุราวานรจักรพรรดิ!”ด้วยการพลิกฝ่ามือหงายขึ้นเบาๆ ก็ปรากฏสุราวานรจักรพรรดิลอยอยู่เหนือฝ่ามือ หยดหนึ่ง...

สุราวานรจักรพรรดินี้แน่นอนว่าเขาได้รับมาจากเทือกเขากางเขนใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองชายแดนทิศใต้ของอาณาจักรหนานหมัน  ยามที่เขาไปรบตีเมืองชัยชนะไม่ไกล  ซึ่งเขาได้รับมันมาจากมือของราชาของเหล่าวานรศิลาโดยตรง

สุราวานรจักรพรรดินี่...มีอำนาจและความสามารถเลิศล้ำไม่ต่างจาก โอสถสู่ธรรมชาติ! ทว่ามันกลับไร้ซึ่งผลกระทบร้ายแรงดั่งเช่นโอสถสู่ธรรมชาติ..!!

มันเป็นสมบัติที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง!

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน