px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 496 : คิดใช้เงินฟาดหัวข้า?


WSSTH บทที่ 496 : คิดใช้เงินฟาดหัวข้า?

 

 

ส่วนสำหรับอิสตรีนั้นอาจเป็นเพราะฟ้ามีความเห็นใจ ในความไม่เท่าเทียมของมนุษย์  สวรรค์จึงได้ให้การชดเชยแก่สตรีเพศในด้านอื่นนอกจากความแข็งแกร่ง

แม้ไม่ต้องใช้โอสถอะไร เพียงดูแลรักษาตัวเอง เอาใจใส่สุขภาพให้ดี...  เหล่าสตรีก็สามารถคงโฉมเอาไว้ได้ ชะลอตัวการแก่ชราได้ไม่น้อย...

เช่นเดียวกับมารดาของต้วนหลิงเทียน แม้อายุอานามของนางจะ 40 ปีเข้าไปแล้ว...แต่ให้มองอย่างไรก็ไม่ต่างจากสตรีวัยไม่ถึง 30 ปีสักนิด!

นี่เป็นข้อได้เปรียบของสตรีที่มีมาตั้งแต่เกิด...

‘ตราบเท่าที่ผู้ฝึกยุทธ์คนใดทะลวงด่านแรกสัมผัสธรรมชาติได้  ถึงแม้ว่าจะไม่อาจคงความเยาว์วัยไว้ได้ตลอดไป แต่หากตั้งใจสักหน่อย หมั่นใช้พลังงานต้นกำเนิดควบคุมความชรา ก็ยังพอช่วยได้ในระดับหนึ่ง...บางครั้งเหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับธรรมชาติที่อยู่มาเป็นร้อยๆปีจนถึงเวลาสิ้นสูญอายุขัย  พวกมันก็ยังมีลักษณะเป็นชายวัยกลางคน...’ ต้วนหลิงเทียนนิ่งคิด มองผ่านไปในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ตอนนี้เรื่องราวต่างๆมากมายแล่นผ่านในใจเป็นฉากๆ

‘ตราบใดที่ผู้ฝึกยุทธ์มีความอดทนมากพอ หมั่นใช้พลังงานต้นกำเนิดเสริมพลังขัดเกลาเป็นประจำ ย่อมทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น เลือดและเนื้อเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่เสื่อมถอยโดยง่าย  นั่นก็จะทำให้ชะลอการชราลงไปได้ไม่น้อย ...ในช่วงชีวิตแรกของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเอง ยามที่มันตัดผ่านระดับจักรพรรดิ มันก็มีอายุ 120 ปีแล้ว แต่ตอนนั้นลักษณะภายนอกของมัน ยังแลดูเป็นชายวัยกลางคนวัย 50 กว่าปีเท่านั้น...’

‘ในช่วงชีวิตที่สองของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด... ก่อนที่มันจะตกตายมาเกิดใหม่ มันอายุ 113 ปี และลักษณะภายนอกของมันยังแลคล้ายชายหนุ่มอายุ 30 ปีเท่านั้น!’ อารมณ์ต้วนหลิงเทียนขึ้นมาเล็กน้อย

‘คนอายุ 113 ปี แต่ดูเหมือนชายหนุ่มอายุ 30!’

เรื่องนี้จะว่าอย่างไรดี?

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าเพราะอะไร ช่วงชีวิตที่ 2 ของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดถึงได้รักษารูปร่างหน้าตาไว้ได้ถึงขั้นนั้น

นั่นเพราะช่วงชีวิตที่ 2 ของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด มันตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติตั้งแต่อายุ 25 ปี...

และตั้งแต่วันนั้นจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดก็คอยใช้พลังงานต้นกำเนิดรักษารูปร่างตัวเองเอาไว้ตลอด

หลังจากนั้นจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดก็ได้ใช้สมบัติที่เหลือทิ้งไว้ในช่วงชีวิตแรก และตัดผ่านระดับหยั่งรู้ธรรมชาติ หลอมรวมธรรมชาติ กระทั่งผันแปรธรรมชาติด้วยความเร็วสูง...

อาศัยประสบการณ์จากช่วงชีวิตแรก จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดก็ตัดผ่านระดับราชันย์ได้เมื่อตอนอายุ 50...

และเมื่ออายุได้ 60 ปี จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดก็ตัดผ่านไปยังระดับจักรพรรดิได้สำเร็จ...

กล่าวได้ว่าภายในทวีปเมฆาล่องนี้...จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเป็นผู้ทำสถิติตัดผ่านไปยังระดับจักรพรรดิได้รวดเร็วที่สุด...

อย่างน้อยๆ ภายในทวีปเมฆาล่อง...ผู้ฝึกยุทธ์ที่บรรลุระดับจักรพรรดิอายุน้อยกว่านี้ก็ยังไม่เคยมีมาก่อน!

‘เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ตัดผ่านไปยังระดับราชันย์ยุทธ์ ถึงแม้ว่าจะไม่อาจย้อนกลับมาเป็นหนุ่มได้อีกครั้ง แต่ก็สามารถรักษารูปร่าง ณ ตอนนั้นไว้ได้ตลอดกาล...หากจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดตัดผ่านระดับราชันย์ยุทธ์ได้ก่อนหน้านั้นสัก 10 ปี รูปร่างหน้าตาของมันสมควรเป็นเพียงชายหนุ่มอายุ 27 หรือ 28 ปีเท่านั้น’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ

‘ปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์นับตั้งแต่ระดับธรรมชาติขึ้นไป ล้วนไม่อาจตัดสินอายุได้จากลักษณะภายนอก..ถึงแม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติทั้งหลายจะไม่คิดใช้พลังงานต้นกำเนิด รักษาภาพลักษณ์เยาว์วัยไว้ก็ตาม แต่ลักษณะภายนอกของพวกมันก็สมควรแลดูอ่อนกว่าวัย ต่างจากคนธรรมดาไกลโข...’ ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาก่อนที่จะเลิกคิด

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจสายตาที่มองมาด้วยความประหลาดใจ เพียงก้าวอาดๆ เดินเข้าเมืองหลวงของอาณาจักรพนาครามไปทั้งอย่างนั้น

เมืองหลวงของอาณาจักรพนาครามแน่นอนว่าต้องแลดูดี และยิ่งใหญ่กว่าเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง  สิ่งปลูกสร้างสูงใหญ่โอ่อ่ามากมาย อาคารร้านรวงก็เยอะแยะ ผู้คนเองก็เบียดเสียดแน่นหนา ต่างเดินจับจ่ายใช้สอยกันขวักไขว่  รูปร่างของเมืองแลไปยังคล้ายอสูรร้ายตัวเขื่องที่กำลังนอนหลับใหล

ประตูเมืองด้านหน้าที่เปิดกว้าง แลไปเสมือนดั่งเป็นปากกระหายเลือดที่อ้ากว้าง กลืนกินผู้คนลงท้องอย่างไร้จำกัด

นอกจากบริเวณประตูเมือง ตามสันกำแพงเต็มไปด้วยทหารรักษาประจำการ   ส่วนบริเวณด้านหน้าประตูก็มีทหารรักษาการณ์แน่นหนา คอยตรวจตราผู้คนเข้าเมืองอย่างละเอียด ใบปลิวภาพหน้าตาคนร้ายหลบหนีเองก็มีแปะไว้ด้านข้างอย่างเห็นได้ชัด

ต้วนหลิงเทียนค่อยๆเดินเข้าประตูเมืองไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ บนไหล่ก็มีเจ้าหนูน้อยสีทองที่แหงนมองซ้ายขวาสลับไปมา ชมดูสิ่งของผู้คนอย่างสนุกสนาน

แน่นอนว่าภาพเจ้าหนูสีทองตัวน้อยที่หันไปหันมาบนไหล่ย่อมดึงดูดความสนใจผู้คนไม่น้อย

และส่วนใหญ่ที่รู้สึกชมชอบมันก็เป็นเหล่าเด็กน้อยและสตรี

"ท่านแม่เจ้าค้า... เจ้าหนูน้อยนั่นน่ารักยิ่ง... " น้ำเสียงเด็กน้อยวัยไม่เดียงสาดังขึ้นมาใกล้ๆ ฟังแล้วยังพึ่งถึงวัยพูดคล่องก็เท่านั้น...

ต้วนหลิงเทียนหันไปชมดูก็พบร่างสตรีคนหนึ่งอุ้มเด็กหญิงตัวน้อย สองตากลมโตจับจ้องมายังเจ้าเสี่ยวจินตาแป๋ว

“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะนายน้อย เด็กยังมิรู้ความกล่าววาจาเหลวไหล  อย่าได้ถือสานางเลยเจ้าค่ะ...อภัยให้เราด้วย” สตรีที่อุ้มลูกน้อยรีบยกมือปิดปากลูกของนางไว้ แล้วก้มหัวขอขมาต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัว

“พี่สาวไม่เป็นอะไรหรอก...ไม่ต้องกลัว” ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมยิ้มแย้ม

เขาเองก็รู้ว่าทำไมสตรีนางนี้ถึงได้มีทีท่าหวาดกลัวตัวเขา...

นั่นเพราะชุดสีม่วงที่เขาสวมใส่อยู่นั้น มันไม่ใช่เนื้อผ้าธรรมดาๆ  เป็นผ้าไหมสั่งตัดพิเศษ ราคาของมันมีมากนับพันๆเหรียญทอง... เห็นได้ชัดว่าสตรีเมื่อครู่รู้ว่าตัวเขาไม่ใช่คนธรรมดาจากเครื่องแต่งกาย นางเองก็กลัวล่วงเกินคนเช่นเขา...โลกใบนี้ผู้มีอำนาจและนิสัยอุบาทว์ชั่วร้าย สันดารเดนคนเพียงมองหน้าก็ฆ่าฟัน ใช่ว่าจะไม่มี...

แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลยว่าที่สตรีคนนั้นหวาดกลัว ไม่ใช่เพียงแค่เสื้อผ้าของเขาเท่านั้น

กลิ่นอายและบรรยากาศรอบๆตัวเขาที่แผ่ซ่านออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ กอปรกับชุดหรูหราของเขา  ทำให้สตรีนางนั้นรู้สึกว่าเขาเป็นชนชั้นสูง ที่นางไม่อาจล่วงเกินลบหลู่ได้...

“โลกใบนี้นี่แบ่งแยกชนชั้นกันอย่างชัดเจน...ต่อหน้าคนธรรมดาพวกนี้ข้าคงแลดูยิ่งใหญ่และน่าหวาดกลัว...ส่วนตัวข้ายามไปยืนอยู่ต่อหน้าเหล่าผู้ฝึกยุทธ์หยั่งรู้ธรรมชาติขึ้นไป ก็สัมผัสได้ถึงความทรงพลังของอีกฝ่าย..”

ปฏิกิริยาที่สตรีนางนั้นแสดงออกมา ทำให้ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน

เขารู้ดี ว่ามีเพียงยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดแล้วเท่านั้น ความรู้สึกต้อยต่ำ หวาดกลัวเช่นนี้ ถึงจะหายไปอย่างสมบูรณ์

หากไม่แล้วหากมีคนที่แข็งแกร่งเหนือกว่า เขาก็ต้องพบกับสายตาที่ก้มมองมาอย่างเหนือชั้นอยู่ร่ำไป...

อย่างไม่รู้ตัว...หัวใจของต้วนหลิงเทียนกลับเข้มแข็งขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง!

"จี๊ดๆ ~" อยู่เจ้าหนูขนทองตัวน้อยที่หันไปหันมา ก็ร้องเสียงดังออกมา ก่อนที่มันจะส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดเข้าหูต้วนหลิงเทียน "พี่ใหญ่หลิงเทียน ข้าหิวแล้ว...ข้าอยากกินเนื้อย่าง ข้าอยากกินเนื้อย่าง!"

ต้วนหลิงเทียนก้มหัวลงมามองเจ้าหนูตัวน้อยที่ส่งเสียงก่อกวน พร้อมเอานิ้วทุบหัวมันเบาๆ กล่าวตอบมันไป “สหายน้อย.. เจ้านี่หิวได้ทุกเวลาจริงๆ...”

ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้แต่ต้วนหลิงเทียน ก็พามันไปยังเหลาอาหารที่แลดูแล้วใหญ่โตเหลาหนึ่ง

เหลาใหญ่แลดูมีระดับเช่นนี้ นับว่าหรูหรามีระดับสุดที่เหลาอาหารเล็กๆจะเทียบได้

และตอนนี้ก็ใกล้ยามเที่ยงวันแล้ว ลูกค้าก็ทยอยกันเข้ามามากมาย

ต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าไป ก่อนที่จะเดินไปยังริมหน้าต่างด้านหนึ่ง  ก่อนที่จะเลื่อนโต๊ะ 2 โต๊ะมาติดกันด้วยตัวเอง

“นายท่านมิทราบว่า จะรับอันใดดีขอรับ...?” พนักงานในเหลาเดินเข้ามาถามต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพ โดยไม่ต้องให้ต้วนหลิงเทียนเรียกหาแต่อย่างไร

ต้วนหลิงเทียนเลือกนั่งตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง ก่อนที่จะค่อยๆกล่าวออกมาพร้อมชี้ไปยังโต๊ะที่เขาไปลากมาต่อเมื่อครู่ “เจ้าไปจัดรายการเนื้อย่างที่ขึ้นชื่อของร้านเจ้ามาทั้งหมด... ส่วนของข้าเอาอาหารขึ้นชื่อมา 2 อย่างกับสุราป้านหนึ่งก็พอ”

“ขอรับนายท่าน...!”เมื่อรับรายการเสร็จสิ้นพนักงานก็พยักหน้ารับคำก่อนที่จะรีบเดินไปส่งรายการยังห้องครัว

ตัวพนักงานเองก็ชอบนัก ที่ได้บริการลูกค้าที่กล่าววาจาง่ายๆ ตรงไปตรงมาอย่างต้วนหลิงเทียน

สำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียน ลากโต๊ะมาต่อรวมถึงสั่งรายการเนื้อมาเต็มโต๊ะมันก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร

มันคิดว่าลูกค้าท่านนี้สมควรมีสหายที่กำลังจะตามติดมาภายหลัง

ก็ต่อเมื่อมันยกอาหารมากมายหลายแหล่มาจัดวางจนล้นโต๊ะนั่นแล  ถึงได้รู้ว่าเนื้อเต็มโต๊ะนี่สั่งมาเพื่ออันใด...มันเห็นไม่ผิดแน่ ว่าร่างที่พุ่งปราดออกมาจากไหล่ของลูกค้าท่านนี้ เป็นเพียงหนูตัวหนึ่งเท่านั้น  แต่ทว่าเจ้าหนูตัวนั้นกลับพุ่งไปจัดการเนื้อเต็มโต๊ะอย่างดุดันเกรี้ยวกราด  นี่ทำให้มันอึ้งไปไม่น้อย

ในฐานะที่มันเป็นเสี่ยวเอ้อของเหลาอาหารใหญ่ประจำเมืองหลวงอาณาจักรพนาคราม  มันย่อมพบพานผู้คนมากหน้าหลายตา และรู้สึกว่าตัวมันนี้ได้พบพานมาแล้วทุกชนชั้นในโลกหล้า

แต่การสิ้นเปลืองเงินทอง ให้สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งโดยการสั่งอาหารหรูหรามาเต็มโต๊ะเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกของมันจริงๆ...

‘โลกของเหล่าผู้คนร่ำรวยนี่... ช่างยากแท้หยั่งถึงยิ่งนัก! ...ข้าเองก็พบพานนายน้อยนายหญิงของตระกูลใหญ่ในพนาครามมาก็มากมาย  แต่ยังมิเคยพบเคยเจอผู้ใดที่จับจ่ายสิ้นเปลืองเช่นนี้ให้สัตว์เลี้ยง...’เสี่ยวเอ้ออดไม่ได้ที่จะ ทอดถอนในใจ...

และก็เป็นดั่งคาด การกระทำครั้งนี้  รวมถึงท่าทีตะบึงยัดเนื้อลงท้องด้วยความเร็วสูงของเจ้าเสี่ยวจินย่อมถูกผู้คนสนใจไม่น้อย...

"ฟุ่มเฟือยยิ่ง  ช่างสิ้นเปลืองเงินทองยิ่งนัก!"

“บ้าไปแล้ว ที่นี่คือเหลาหอมจรุง อาหารแต่ละอย่างราคานับ 100 เหรียญเงิน...แล้วเนื้อเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นของดีขึ้นชื่อทั้งสิ้น  นั่นมันเป็นกี่พันหมื่นเหรียญเงินกัน! กลับเอามาเลี้ยงหนูตัวนั้น ใช่มันมีปัญญากินหมดหรือไม่!?  สิ้นเปลืองยิ่งนัก!”

“ข้าล่ะสงสัยยิ่ง เขาเป็นนายน้อยจากบ้านใดกัน  แม้นว่าจักร่ำรวยแต่ก็ไม่สมควรใช้เงินฟุ่มเฟือยดั่งโยนทิ้งเช่นนี้มิใช่หรือไร!”

...

ตอนนี้ผู้คนในเหลาล้วนกระซิบกระซาบสนทนากันไม่เบา..

“ฮ่าๆๆๆ...เสี่ยวจิน ได้ยินหรือไม่ ผู้อื่นคิดว่าเจ้าเป็นหนูธรรมดาแน่ะ  ยังมีที่คิดว่าเจ้ากินไม่หมดอีก...” ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดจะสนใจอะไรคำนินทาเหล่านี้ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงไปแซวเจ้าเสี่ยวจินที่กำลังกัดแทะเนื้ออย่างเมาส์มัน

"จี๊ด จี๊ด ~" เจ้าหนูสีทองเพียงเงยหน้าขึ้นมาจากเนื้อ ก่อนที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ พร้อมอ้าปากเลอะน้ำมันร่ำร้องออกมาด้วยความไม่พอใจสองครา แล้วก้มหน้าไปจัดการเนื้อในมือต่อ...

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมยิ้มบางๆ

เขาเองก็อยากจะรู้นักว่าคนพวกนี้จะว่าอย่างไรและจะแสดงอาการอย่างไรบ้าง หากพวกมันรู้ว่า...หนูที่พวกมันนินทา กลับหาเงินให้เขาได้ถึง 100 ล้านเหรียญทอง...!

เมื่อเกือบปีที่แล้วตอนอยู่เมืองวายุทมิฬ เขาพึ่งพาพลังอันน่าหวาดหวั่นของเจ้าเสี่ยวจินในการสะกดข่มคนของตระกูลหม่าและตระกูลหวงเอาไว้เสียอยู่หมัด

นั่นทำให้เขาได้รับเงินมามากกว่า 100 ล้านเหรียญทอง

‘แต่ละรายการราคา 100 เหรียญเงินหรือ?’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ

100 เหรียญเงิน ก็เท่ากับ 1 เหรียญทอง

หากเทียบกับเงินที่เจ้าเสี่ยวจินหาให้เขาได้เป็น 100 ล้านเหรียญทอง ...ก็แทบไม่ต่างอะไรกับหยดน้ำในมหาสมุทร! ยังจะคู่ควรกล่าวถึงอะไร...

ไม่นานเมื่อถึงยามเที่ยงวันมาถึง ลูกค้าในเหลาก็แน่นขนัด โต๊ะที่นั่งเองก็เริ่มถูกจับจองจนเต็ม

หลายคนทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเพราะไม่มีโต๊ะนั่ง

และคนส่วนใหญ่ที่ไร้โต๊ะให้นั่ง เมื่อมองมายังเจ้าหนูสีทองตัวน้อยที่กำลังสวาปามเนื้อบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อยก็อดไม่ได้ที่จะสะทกสะท้อนใจ นี่ชีวิตพวกมันอาภัพยิ่งกว่าเจ้าหนูน้อยนั่นอีกหรือ...?

"หืม?" ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเองก็จิบสุราพร้อมคีบอาหารกินอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น เขาก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงผู้มาเยือน...

ต้วนหลิงเทียนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเบื่อหน่าย และเขาก็เห็นชายหนุ่มชุดผ้าไหมปักลายหรูหรากับชายวัยกลางคนสองคนเดินมาหยุดข้างโต๊ะเขา

สายตาของชายหนุ่มกำลังจับจ้องไปยังเจ้าเสี่ยวจิน ก่อนที่จะเผยความประหลาดใจเล็กน้อย

“เจ้าหนู...นี่เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าหรือ?” ชายวัยกลางคนก้าวออกมา ก่อนที่จะมองมมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยชา กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงต่ำ “เจ้ากับสัตว์เลี้ยงรีบลุกไปเสีย...ยกโต๊ะนี้ให้กับนายน้องของข้า และนี่คือรางวัลของเจ้า!” ในขณะที่กล่าววาจาชายวัยกลางคนก็เผยท่าทีดูแคลน ก่อนที่จะโยนตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง

ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นรับตั๋วเงินที่โยนมาเอาไว้ ก่อนที่จะเหลือบมองปราดเดียว และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ตั๋วเงิน 100 เหรียญทองนี่ให้ข้าหรือ...เจ้าใจดีจริง!”

“ฮึ่ม! ในเมื่อรับเงินแล้ว! ใยยังไม่รีบลุกแล้วไสหัวไปอีก!” เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเพียงรับเงินแล้วชมดูอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะทำท่าทางไม่แยแส ชายวัยกลางคนที่เผยสีหน้าดูแคลน ก็แผดเสียงออกมาอย่างเย็นชา

เพียะ!

ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือตามองอย่างไม่แยแสเท่านั้น ก่อนที่จะสะบัดมือว่องไว ซัดปาตั๋วเงินปึกหนึ่งที่เรียกจากแหวนมิติออกไปอย่างแรง  ถูกเข้าเต็มหน้าชายวัยกลางคน จนเลือดกำเดาของมันไหล “นั่นเป็นตั๋วเงิน 10,000 เหรียญทอง...หยิบไว้! แล้วก็คลานออกไปเสีย!!”

ในขณะที่กล่าวต้วนหลิงเทียนก็เพียงมองชายวัยกลางคนพร้อมยิ้มบางๆ

แต่ไม่รู้ทำไม มองไปแล้วรอยยิ้มนี้...ช่างแลดูชั่วร้ายนัก

ต้องการใช้เงินฟาดข้าหรือ? เจ้ากล้าอวดรวยกับข้า?

10,000 เหรียญทอง?

น้ำเสียงที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไม่ได้เบาอะไร  ทำให้ทุกคนรอบๆล้วนได้ยินกันชัดถนัดหู

ทว่าครู่ต่อมา...เมื่อทุกคนหันมา แล้วพบเห็นชายหนุ่มในชุดผ่าไหมปักลายอย่างดีคนนั้น ...พวกมันกลับตัวสั่นกันไปเล็กน้อย  ทั้งแววตาทั้งหลายยังหม่นหมองลงคล้ายกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง...

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นเรื่องนี้ชัดเจน

 

รีวิวผู้อ่าน