px

เรื่อง : เนตรเนรมิต - Tranxending Vision
TXV –  91 อาหารรสเลิศ การต่อสู้ของหญิงสาว !


TXV –  91 อาหารรสเลิศ การต่อสู้ของหญิงสาว !

 

          เป็นเวลาเกือบเย็นแล้วเมื่อพวกเขาออกมาจาก ฟอร์เรส แมน เซี่ยเหล่ยไม่เห็นรถ รถโรลลอยด์แพนทอมด์ของเฉินตู เทียนหยิน เขาจึงสันนิษฐานว่าเธอน่าจะออกไปในขณะที่เขากำลังเซ็นสัญญาอยู่กับ เฉินตู ฉือซาน

 

          เขาขับรถตรงเข้าไปในเมือง หลางซือเหยาเป็นคนทำลายความเงียบและพูดด้วยรอยยิ้มว่า ....

 

          “วันนี้เราโชคดีมาก”

 

          “ใช่ โชคดีมาก” เซี่ยเหล่ยพูด

 

          หลางซือเหยาจ้องมองไปที่เซี่ยเหล่ย “ฉันคิดว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ คุณคิดว่านี่มันแปลกไหม?”

 

          เซี่ยเหล่ยรู้ว่าเธอกำลังพยายามจะพูดเรื่องอะไร แต่เขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องราวระหว่างเขาและเฉินตู เทียนหยิน เขาจึงเปลี่ยนประเด็น

 

          “คุณยังอยากไปทานอาหารที่บ้านของผมอยู่ไหม? ผัดเปรี้ยวหวานซี่โครงหมู อาหารทะเลหรืออะไรก็ได้ ไปซื้อของที่ซูปเปอร์มาร์เก็ตกันเถอะ”

 

          “โอ๊ะ! ฉันเกือบลืมไปแล้วนะถ้าคุณไม่พูดขึ้นมา ไปๆ ไปซูปเปอร์มาร์เก็ตกัน ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” หลางซือเหยาคิดเรื่องเมนูอาหาร แต่เธอเป็นคนฉลาดและเธอรู้ว่าจริงๆแล้วต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาตอนที่เฉินตู เทียนหยินเข้ามาคุยกับเซี่ยเหล่ย ความอยากรู้อยากเห็นก็ยังเป็นความอยากรู้อยากเห็นอยู่วันยังค่ำ แต่เธอเองก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงประเภทที่อยากจะไปขุดคุ้ยและตรวจสอบข้อมูลของเซี่ยเหล่ยซะทุกเรื่อง

 

          เซี่ยเหล่ยเหยียบคันเร่งและเกรทส์วอร์ H6 ก็เริ่มเคลื่อนที่ออกไปวิ่งบนถนนใหญ่

 

          เซี่ยเหล่ยกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างระหว่างขับรถ เขาจ่ายเงิน 5,080,000 หยวนให้กับ ฟอร์เรส แมน และจ่ายอีก 1,000,000 หยวน ให้กับสำนักงานที่ดิน ตอนนี้เขามีเงินเหลืออยู่เพียง 500,000 หยวน และเงินอีก 1,000,000 หยวนที่กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมจีนยังไม่จ่ายให้ จากนี้ต่อไปเขาต้องคิดเรื่องการใช้จ่ายเงินให้รอบคอบ เขาคิดว่าเรื่องเงินทุนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา นายกเทศมนตรี Hu เคยพูดกับเขาไว้ว่าสามารถมาขอความช่วยเหลือได้ถ้าหากมีปัญหา ถ้าเขามีปัญหาเรื่องเงินทุน เขาอาจจะไปหานายกเทศมนตรีและขอให้เขาเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารให้ แต่ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้เขาก็จะขอให้กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมจีนจ่ายเงินล่วงหน้าสำหรับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์ของพวกเขา การแก้ปัญหาใหญ่สองเรื่องทั้งเรื่องการจัดหาที่ดินและสร้างบริษัท นี่หมายความว่าความฝันของเขาได้สำเร็จไปมากกว่า 60% แล้ว และไม่ว่ามันจะมากหรือน้อย สิ่งนี้ก็ทำให้เขามีความสุขมากเช่นกัน

 

          เมื่อกลับเข้ามาในเมือง เซี่ยเหล่ยแวะซื้อเครื่องปรุงหลายอย่างจากซูปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆหมู่บ้าน และซื้อส่วนผสมพิเศษอย่างไวน์แดงฉางยี่มาอีกหนึ่งลัง จากนั้นเขาจึงนำส่วนผสมทั้งหมดเหล่านี้และหมูจองมตะกละหลางซือเหยากลับมาที่บ้านของเขา

 

          เขาจอดรถ และทั้งเขาและหลางซือเหยาก็ช่วยกันถือถุงอาหารขนาดใหญ่เพื่อเดินขึ้นบันได ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสวยเดินออกมาขวางทางไว้

 

           เธออยู่ในชุดทะมัดทะแมงและยิ้มอย่างสดใส เจียงหยูยี่เปรียบเสมือนกับดอกทิวลิปที่บานสะพรั่งในพื้นที่สีเขียวในหมู่บ้านนี้ บริสุทธิ์ งดงาม และน่าดึงดูดใจ

 

          “โอ๊ะ นี่ไม่ใช่เหล่ยเพื่อนบ้านของเราหรอกหรือ?” เจียงหยูยี่ทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณซื้อของกินน่าอร่อยมาเยอะมาก วันนี้เป็นวันเกิดของใครหรือเปล่า?”

 

          “ไม่ใช่วันเกิดใครหรอก ผมชวนรุ่นพี่เขามาทานอาหารที่บ้านน่ะ” เขากล่าวพร้อมกับแนะนำ “ซือเหยานี่คือเจียงหยูยี่ หยูยี่นี่คือรุ่นพี่ของผม หลางซือเหยา”

 

          หลางซือเหยาและเจียงหยูยี่ทั้งสองเคยพบกันมาก่อนหน้านี้แล้ว และหลางซือเหยาก็รู้ว่าเธอคนนี้เป็นหัวหน้าตำรวจ เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจในตัวเจียงหยูยี่มากนัก เพราะในคืนที่เซี่ยเหล่ยเมา เจียงหยู่ยี่มาแย่งตัวเขาไปจากเธอและบอกให้เธอกลับบ้านโดยนั่งแท็กซี่อย่างหยาบคายและไม่มีเหตุผลเอามากๆ เธอไม่มีทางให้อภับในสิ่งที่เจียงหยู่ยี่ทำเอาไว้ง่ายๆแน่

 

           เซี่ยเหล่ยได้แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน แต่เจียงหยู่ยี่และหลางซือเหยาก็ไม่ทักทาย ไม่แม้แต่จะจับมือกัน ต่างคนต่างมองหน้ากันเท่านั้น

 

          “พวกคุณรู้จักกันแล้วงั้นหรือ?” เซี่ยเหล่ยถามอย่างงงวย

 

          “เปล่า !” เจียงหยู่ยี่พูด

 

          “เปล่า !” หลางซือเหยาพูด

 

          เซี่ยเหล่ยไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถือถุงอาหารเดินไปทางบันได

 

          “ผมจะไปเตรียมอาหาร เชิญสาวๆคุยกันไปก่อนได้ตามสบาย”

 

          “ฉันอยากไปทานอาหารที่บ้านคุณเหมือนกัน” เจียงหยู่ยี่รีบพูดขึ้นมา

 

          เซี่ยเหล่ยเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาและพูดตอบเธอ “ได้สิ ช่วยไปหยิบไวน์แดงจากหลังรถตามมาให้ที่บ้านหน่อย”

 

          เจียงหยูยี่เดินไปหลังรถและหยิบลังไวน์แดงฉางยี่ออกมา และหันไปยิ้มอย่างท้าทายหลางซือเหยา

 

          ทันใดนั้นหลางซือเหยาก็พูดเลียนแบบเสียงของเจียงหยูยี่

 

          “โอ๊ะ นี่ไม่ใช่เหล่ยของเราหรือหรือ? หน้าไม่อายจริงๆ”

 

          เจียงหยูยี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดนั้นแม้แต่น้อย “ในละแวกนี้พวกเราเป็นครอบครัวใหญ่ และเราก็ยังอาศัยอยู่ในตึกเดียวกัน แปลกตรงไหนที่ฉันจะพูดว่า ‘เหล่ยของเรา’? แล้วการที่ฉันเรียกชื่อเขาแบบนี้เกี่ยวอะไรกับคุณ?”

 

          “ฉันเป็นรุ่นพี่ของเขา ฉันกลัวว่าเขาจะคบเพื่อนไม่ดีน่ะสิ!” หลางซือเหยาพูด

 

          “ฉันเติบโตมาด้วยกันกับเขา ถ้าคุณกำลังพูดถึงเรื่องการคบเพื่อนไม่ดี ฉันเองก็กังวลว่าตอนนี้เขาคงจะไปคบเพื่อนไม่ดีเข้าแล้วล่ะ!” เจียงหยูยี่พูด

 

          ผู้หญิงทั้งสองคนนี้ต่างก็ไม่ชอบอีกฝ่ายอย่างรุนแรง.....

 

          ในขณะนั้นเอง เซี่ยเหล่ยก็โผล่หน้าออกมาจากบนระเบียงชั้นสอง

 

          “สาวๆช่วยหยุดคุยกันแล้วขึ้นมาบนนี้หน่อยได้ไหม? ผมกำลังจะเริ่มทำอาหารในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว และผมไม่สามารถทำอาหารได้โดยไม่มีเครื่องปรุงหรอกนะครับ”

 

            หลางซือเหยาและเจียงหยูยี่พยักหน้ารับ

 

          หญิงสาวทั้งสองคนเดินขึ้นไปชั้นบน เข้าไปในบ้านเซี่ยเหล่ยและเริ่มจะไม่ลงรอยกันอีกครั้ง

 

          “เหล่ย ให้ฉันช่วยคุณนะ ผู้หญิงส่วนมากในทุกวันนี้ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการซักผ้าและการทำความสะอาดผัก ผู้หญิงพวกนี้ก็เป็นเหมือนกับหนอนเน่าๆในสังคม” เจียงหยูยี่พูด

 

          หลางซือเหยามองไปรอบๆห้องนั่งเล่นที่รกรุงรังและพูด

 

          “เหล่ย บ้านของคุณรกเกินไปแล้วนะ ให้ฉันช่วยคุณทำความสะอาดดีไหม ผู้หญิงบางคนบอกว่าเธอสามารถทำอาหารได้ดีแต่ก็ยังคงมาทานอาหารที่บ้านคนอื่น ผู้หญิงประเภทนี้ต่างหากที่เป็นหนอนเน่าๆในสังคมของจริง คุณคิดว่างั้นไหม?”

 

          เซี่ยเหล่ยรู้สึกปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ...

 

          เซี่ยเหล่ยเริ่มทำอาหารโดยการหุงข้าว ผู้หญิงที่บอกว่าจะช่วยเขาทำอาหารเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้กำลังนอนดูทีวีอยู่บนโซฟา และผู้หญิงอีกคนที่บอกว่าจะช่วยเขาทำความสะอาดห้องก็นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆกันและทั้งสองก็กำลังดูทีวีรายการเดียวกันอยู่ มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกทันทีว่าพวกผู้หญิงไว้วางใจไม่ได้และมันคงดีกว่าถ้าเชื่อใจผู้ชายด้วยกันเอง....

 

          ในที่สุดเซี่ยเหล่ยก็จัดโต๊ะอาหารเสร็จ หลังจากใช้เวลาปรุงอาหารไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ปลาทอดมะเขือม่วง ผัดเผ็ดกุ้ง หอยเชลล์นึ่ง และอีกมากมาย อาหารทุกจานดูดีและส่งกลิ่นหอม เพียงแค่มองดูก็สามารถบอกได้แล้วว่าอาหารพวกนี้ต้องอร่อยมาก

 

          ฝีมือการทำอาหารของเซี่ยเหล่ยมาเกิดจากการที่เขาถูกยัดเยียดให้ทำหน้าที่นี้ แม่ของเขาเสียไปนานแล้ว และพ่อของเขาเองก็หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ทิ้งให้เขาต้องเป็นคนดูแลเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินของน้องสาว เขาจึงจำเป็นต้องเรียนรู้การทำอาหารแม้ว่าเขาจะไม่อยากจะเรียนก็ตาม ฝีมือการทำอาหารของเขาดีขึ้นหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงกับดวงตาข้างซ้าย ตาซ้ายทำให้เขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆในอาหารได้ ทำให้สามารถปรุงอาหารออกมาโดยยังคงรักษาระดับความสดของมันเอาไว้ได้ เมื่อใส่เครื่องปรุง ตาซ้ายของเขาทำให้เขาสามารถประเมินสัดส่วนที่ดีที่สุดของเครื่องปรุงที่ควรจะใส่ลงไปได้ ในขณะที่พ่อครัวคนอื่นๆจะต้องประเมินสัดส่วนนี้โดยใช้ประสบการณ์ พวเขาไม่มีทางทำแบบที่เซี่ยเหล่ยทำได้

 

          เซี่ยเหล่ยยิ้มอย่างพึงพอใจกับตัวเองและจินตนาการภาพในความคิด

 

          ‘ถ้ามีเวลาว่างๆ เราน่าจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารบ้าง จากความสามารถของฉันในตอนนี้แล้วฉันสามารถเป็นหัวหน้าพ่อครัวได้เลยนะ หรือเราควรจะเปลี่ยนอาชีพเป็นพ่อครัวในตอนนี้ดีนะ?’

 

          เจียงหยูยี่และหลางซือเหยาถูกดึงดูดไปที่โต๊ะอาหารโดยกลิ่นหอมของอาหารเหล่านั้น ทั้งสองคนลุกมาเองโดยที่เซี่ยเหล่ยไม่จำเป็นต้องเรียก

 

          “ว้าว อาหารเยอะแยะมากมายอะไรขนาดนี้!” เจียงหยูยี่กลืนน้ำลาย

 

          ดวงตาของหลางซือเหยาก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่าคุณจะทำอาหารเก่งขนาดนี้ ในอนาคตฉันจะมาเป็นแขกประจำของที่นี่แน่นอน”

 

          “หน้าไม่อาย !” เจียงหยูยี่พึมพำ

 

          เซี่ยเหล่ยเปิดขวดไวน์แดง เขาไม่ได้ซื้อแก้วสำหรับดื่มไวน์มาด้วย ดังนั้นเขาจึงเทไวน์ลงในถ้วยสามถ้วย ถ้วยหนึ่งสำหรับเจียงหยูยี่ อีกถ้วยหนึ่งสำหรับหลางซือเหยา และถ้วยสุดท้ายสำหรับตัวเขาเอง เขาพูดอย่างขัดเขิน

 

          “ผมลืมซื้อแก้วมา ใช้ถ้วยนี่ดื่มไปก่อนแล้วกันนะครับ”

 

          หลางซือเหยาหัวเราะ “ไม่เป็นไรๆ ดื่มจากถ้วยมันน่าจะสนุกกว่านะ”

 

          เจียงหยูยี่ตักผัดเผ็ดกุ้งขึ้นมาแล้วนำเข้าปาก จากนั้นจึงยกนิ้วให้เซี่ยเหล่ย

 

          “อร่อยมาก อร่อยกว่าที่ฉันเคยทานที่ร้านอาหารทะเลซะอีก ทำให้ฉันอีกชุดหนึ่งสิ ฉันอยากเอากลับไปทานที่บ้านด้วย”

 

          เซี่ยเหล่ยเงียบไม่มีอะไรจะพูดต่อ....

 

          อาหารมื้อนี้ทำให้ผู้หญิงทั้งสองคนเงียบไปสักพัก และดูเหมือนพวกเธอจะมีความสุขกับการทานอาหารที่เขาเตรียมไว้ ทำให้เซี่ยเหล่ยรู้สึกว่าเขาควรเรียนรู้เทคนิคการทำอาหารเพิ่มอีก อาหารที่เขาทำล้วนเป็นอาหารที่เขารู้จักและไม่ได้เปิดดูวิธีการทำจากหนังสือเลย จากความสามารถของเขาในตอนนี้เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะได้เป็นหัวหน้าพ่อครัวถ้าเขาหันมาจริงจังกับมัน ใครจะรู้ล่ะว่าเขาจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหน? นอกจากนี้แล้วก็ยังไม่มีพ่อครัวคนไหนในโลกที่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในวัตถุดิบในขณะที่เขาปรุงมัน และไม่มีใครสามารถมองเห็นการหลอมรวมกันของเครื่องปรุงและอาหารได้ แต่เขาสามารถมองเห็นมันได้ทั้งสองอย่าง

 

          หลังจากพวกเขาทานอาหารเสร็จ เจียงหยูยี่และหลางซือเหยาก็กลับไปดูทีวีต่ออย่างมีความสุข ไม่แม้แต่จะเอาจานไปเก็บเพื่อล้างทความสะอาด

 

          เซี่ยเหล่ยยิ้มอย่างขำๆและส่ายหัว จากนั้นจึงเอาจานไปเก็บในห้องครัว

 

          ขณะที่เขากำลังล้างจาน โทรศัพท์มือถือของเซี่ยเหล่ยก็ดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาและมองหน้าจอ เป็นสายของฉิงเสวียง

 

          ‘ทำไมเขาโทรมาหาฉันในเวลานี้?’ เซี่ยเหล่ยคิดว่ามันแปลก แต่เขาก็ปลดล็อคโทรศัพท์และรับสาย

 

          “เหล่ย เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น” เสียงของฉิงเสวียงดูกังวลและตื่นตกใจมาก

 

          หัวใจของเซี่ยเหล่ยห่อเหี่ยวลง “อย่าเพิ่งตื่นตกใจไป เกิดอะไรขึ้น? บอกผมมา”

 

          “ร้านของผม…ถูกไฟไหม้” เสียงของฉิงเสวียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ผมคิดว่าฮวงยี่หู่ต้องรู้ว่าผมติดต่อกับคุณและเขาก็กำลังแก้แค้นผม เขา…ถ้าเขาส่งวิดีโอนั่นให้ตำรวจล่ะ…ผมจบเห่แน่!”

 

          “ตอนนี้คุณอยู่ไหน?”

 

          “ผมจะไปอยู่ที่ไหนได้?” ฉิงเสวียงตอบอย่างขมขื่น “ตอนนี้ผมอยู่หน้าร้านซาลอนและกำลังมองมันมอดไหม้ด้วยสองตาของผม”

 

          “อย่ากังวลไปเลย ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ ไว้คุยกันตอนผมไปถึงนะ” เซี่ยเหล่ยพูด

 

          “ได้ ผมจะรอคุณ” ฉิงเสวียงวางสายไป

 

          เซี่ยเหล่ยเดินออกมาจากห้องครัว

 

          “เพื่อนของผมกำลังมีปัญหา ผมจะไปดูว่าจะสามารถช่วยอะไรเขาได้บ้างหรือเปล่า”

 

          “ปัญหาอะไร? คุณอยากให้ฉันไปด้วยไหม?” หลางซือเหยาถาม

 

          “ต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า?” เจียงหยูยี่ก็ถามเช่นกัน

 

          “ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก พวกคุณพักผ่อนอยู่ที่นี่แถอะ ผมไปก่อนนะ” เซี่ยเหล่ยไม่ได้พูดอะไรมากและเร่งรีบออกไป

 

          ไฟไหม้ร้านซาลอนของฉิงเสวียง 80-90% จะต้องเป็นฝีมือของฮวงยี่หู่ ถ้าเขาไม่ไปหาฉิงเสวียงและขอให้เขาหักหลังฮวงยี่หู่ ร้านซาลอนของเขาก็คงไม่ถูกไฟไหม้ เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้เขารู้สึกผิด และไม่ว่ายังไงก็ตามเซี่ยเหล่ยก็ไม่ลังเลที่จะไปช่วยฉิงเสวียงถ้าเขามีปัญหา เพราะเขาไม่ใช่คนประเภทที่จะทิ้งคนที่เคยช่วยเหลือเขาหลังจากบรรลุเป้าหมายแล้ว

 

          เจียงหยูยี่และหลางซือเหยานั่งอยู่บนระเบียงชั้นสองและมองดูเซี่ยเหล่ยขับเกรทส์วอร์ H6 ออกจากหมู่บ้านไป และหันมาสบตากันเอง

 

          “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงรีบแบบนั้น?” เจียงหยูยี่พูด

 

          “ฉันก็ไม่รู้ แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วง ลูกศิษย์คนสุดท้ายของพ่อฉันเขาแข็งแกร่งมาก” หลางซือเหยาพูด

 

          “จริงๆแล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกในละครศิลปะการต่อสู้ หรืออะไรทำนองนั้นอยู่หรือเปล่า?”

 

          “ฉันพูดกับคุณหรือ?”

 

          เจียงหยูยี่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก....

 

          ติดตามตอนต่อไป........

รีวิวผู้อ่าน