px

เรื่อง : เนตรเนรมิต - Tranxending Vision
TXV – 111 ความโกรธที่น่าสะพรึง !


TXV – 111 ความโกรธที่น่าสะพรึง !

 

          วันต่อมาหลังจากเซี่ยเหล่ยคุยเรื่องการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์กับหลงบิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเหล่ยก็ใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในการเดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นในเมืองชิงตูกับเซี่ยเสวีย ทั้งสองพี่น้องไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนในตอนเช้า และไปเที่ยวพระราชวังกันในตอนบ่าย

 

          “พี่ นี่คือบัลลังก์ของฮ่องเต้ สวยไหม?”

 

          เซี่ยเหล่ยหันไปมองบัลลังก์มังกรยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า “นี่เป็นเพียงแค่เก้าอี้ธรรมดาๆเท่านั้น ไม่มีโซฟาที่มันนั่งสบายกว่านี้หรือยังไงกัน”

 

          “นี่เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์หมิงชิงกว่า 600 ปีมาแล้ว พี่รู้ไหมว่าเรื่องราวของเก้าอี้ตัวนี้น่ากลัวมาก....” เซี่ยเสวียสอนบทเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ให้กับเซี่ยเหล่ย

 

          ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เซี่ยเหล่ยหันไปให้ความสนใจกับเข็มทิศที่วางอยู่อีกด้านอย่างรวดเร็ว

 

          เข็มทิศวางอยู่ท่ามกลางโบราณวัตถุในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ เขาคิดว่าเมืองต้องห้ามนี้น่าจะส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเวลา........

 

          “พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิในราชวงส์หมิงที่ชื่อว่าจูตี๋ได้ก่อสร้างขึ้น ในเข็มทิศนั้นยังมีการแกะสลักจารึกของจักรพรรดิหย่งเล่อที่หญิงใหญ่เอาไว้ด้วย ในตอนนั้นด้วยเทคโนโลยีและกำลังผลิตแล้ว แน่นอนว่าเข็มทิศนั้นจะต้องตกอยู่ในครอบครัวของกษัตริย์ ถ้าสมมติว่าเข็มทิศนั้นเป็นของจูตี๋พี่คิดว่าเขาจะทำยังไงกับเข็มทิศอันนั้นล่ะ?” เซี่ยเหล่ยกำลังปล่อยให้ตัวเองลำดับเวลาย้อนกลับไปศึกษาการสร้างเข็มทิศจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต

 

          “พี่ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ พี่รอฉันอยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม?” เซี่ยเสวียพูด

 

          “อืม ไปเถอะ” เซี่ยเหล่ยพยักหน้า และมองตามจนกระทั่งเซี่ยเสวียลับสายตาไป ความคิดของเขาในตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องของเข็มทิศ แต่มันก็เป็นแค่ความอยากรู้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากที่หลงบิงซ่อมเข็มทิศที่พังไปแล้วให้กลับมาใช้งานใหม่ได้ เขาก็ยังไม่เคยเห็นใครบอกเล่าเรื่องราวของเข็มทิศอีกเลย

 

          เห็นได้ชัดว่าเข็มทิศอันนั้นจะต้องเก็บความลับบางอย่างของจูตี๋ไว้อย่างแน่นอน แต่เซี่ยเหล่ยเองก็ยังไม่แน่ใจนัก มันอาจมีเหตุผลอื่นมากกว่านั้น.... เซี่ยเหล่ยคิดและมุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้น

 

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ....... ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

 

          เสียงจากโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เป็นสายจากสือจิงชิว

 

          เซี่ยเหล่ยเดินออกมาจากในพระราชวังต้องห้ามและรับโทรศัพท์

 

          “จิงชิวมีเรื่องอะไร?”

 

          “ทำไมคุณถึงตัดสินใจนานนัก?” สือจิงชิวพูดอย่างตรงไปตรงมา “ลูกค้าของฉันร้อนใจมาก คุณกำลังคิดว่าเรื่องเงินมันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆงั้นหรือ?”

 

          ตั้งแต่เห็นเบอร์โทรของเธอเขาก็รู้แล้วว่าเธอจะพูดเรื่องอะไร และเขาได้เตรียมคำตอบไว้ให้เธอแล้ว

 

          “ลูกค้าของคุณเขากังวลมากหรือเปล่า? ผมเสียใจจริงๆ แต่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง คุณก็รู้นี่ว่าบริษัทผมเพิ่งเริ่มกิจการ ซูปเปอร์มาร์เก็ตก็เพิ่งเปิด… ถ้าไม่สะดวกจะรอ คุณให้ลูกค้าไปเซ็นสัญญาจ้างกับคนอื่นก่อนก็ได้นะ”

 

          “เซี่ยเหล่ย!” สือจิงชิวโมโหเขา “ถ้าหากคนอื่นสามารถผลิตได้ ฉันจะตามหาตัวคุณทำไม?”

 

          เซี่ยเหล่ยยิ้ม “แล้วเขาจะร้อนใจไปทำไมล่ะ? ให้เขารอต่อไปสิ จัดการเรื่องที่นี่เสร็จเมื่อไหร่ผมจะกลับไปคุยเอง”

 

          “คุณ…” สือจิงชิวพยายามเก็บอารมณ์และพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเขา

 

          “เหล่ย เหล่ยที่รักของฉัน คุณคอยช่วยเหลือฉันเสมอเมื่อตอนที่เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน”

 

          “เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ผมต้องช่วยคุณ ผมพูดอย่างนั้นหรอ ? ว่าผมจะไม่ช่วยคุณ? ถ้าผมไม่อยากช่วยก็คงปฏิเสธคุณไปแล้ว” เซี่ยเหล่ยพูด

 

          “บอกฉันมาเลยว่าฉันต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมช่วยฉัน?”

 

          “เอ่อ…”

 

          เธอไม่รอให้เซี่ยเหล่ยพูดต่อ “คุณอยากให้ฉันหลับนอนกับคุณไหม? ไม่มีปัญหานะ คืนนี้ฉันจะไปที่บ้านของคุณ ฉันจะดูแลคุณอย่างดี คุณตกลงไหม?”

 

          สือจิงชิวเป็นผู้หญิง เธอพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน !

 

          นอกจากนี้เธอยังพูดอีกว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอยินดีจะทำจริงๆ เธอจะดูแลเขาราวกับว่าตัวเขาเป็นพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม เซี่ยเหล่ยเองก็ไม่กล้าจะเลือกวิธีนี้

 

          “มันไม่ดีงั้นหรอเหล่ย? เพียงแค่คุณพยักหน้าตอบ ทุกๆอย่างที่ฉันจะทำมันขึ้นอยู่กับคุณ” เสียงของสือจิงชิวทำให้เขารู้สึกสั่นไหว

 

          “เราจะไม่ทำอะไรกันทั้งนั้น ตอนนี้ผมอยู่เมืองชิงตู และเราจะคุยเรื่องนี้กันก็ต่อเมื่อผมกลับไปแล้วเท่านั้น” เซี่ยเหล่ยพูด เขาไม่สามารถทนฟังคำพูดของเธออีกต่อไปได้....

 

          “คุณอยู่เมืองชิงตู? คุณไปทำอะไรที่นี่นั่น?” เสียงของสือจิงชิวมีเสียงประหลาดใจเล็กน้อย

 

          “ผมมาที่นี่เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมจีน พวกเขามีคำสั่งซื้อล็อตใหม่ให้ผมผลิต”

 

          “นี่เป็นเรื่องที่ดี เอาล่ะ เราจะคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งเมื่อคุณกลับมา ฉันขอบอกคุณไว้ก่อนนะ คุณจะต้องผลิตอุปกรณ์ให้ฉันก่อนเป็นลำดับแรก ฉันต้องได้ของก่อนกลุ่มอุตสาหกรรมจีน” สือจิงชิวพูด

 

          “ได้ๆ ผมจะผลิตให้คุณก่อน” เซี่ยเหล่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

          โดยไม่ต้องรอให้สือจิงชิวพูดอะไรอีก เซี่ยเหล่ยก็เป็นคนวางสายเสียก่อน

 

          แม้ว่าจะวางสายไปแล้ว แต่เสียงของสือจิงชิวก็ยังดังก้องอยู่ในหัวเขา เขาพยายามสงบสติอารมณ์และคิดเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ ‘ปฏิกิริยาของ สือจิงชิวเป็นปกติมาก เธอไม่ได้วิตกกังวลเกี่ยวกับชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เขาจะผลิต หรือว่านี่จะเป็นแค่การซื้อขายธรรมดา และเขาเป็นคนคิดมากไปเอง นอกจากนี้แล้วกู๋เค่อเหวินเข้ามามีบทบาทอะไรกับเรื่องเหล่านี้?’

 

          คำตอบของปัญหาเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่อย่างปรืศนา และมันยากที่เขาจะสามารถตามหาคำตอบได้

 

          “พี่” เสียงของเซี่ยเสวียดังมาจากด้านหลัง

 

          เซี่ยเหล่ยหันกลับไปมองเธอแล้วก็ต้องตกใจ

 

          แก้มของเซี่ยเสวียแดงเป็นรอยนิ้วมือ ขอบตาของเธอก็มีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่

 

          “พี่ เรากลับกันเถอะ ที่นี่ไม่มีน่าอะไรน่าสนใจแล้วล่ะ” เซี่ยเสวียไม่กล้าที่จะมองหน้าเซี่ยเหล่ย แต่เธอกลับขอร้องให้เขาออกไปจากที่นี่

 

          “บนหน้าของเธอมีรอยนิ้วมือ บอกฉันมาว่าใครทำ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เซี่ยเหล่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดัน

 

          “ไมได้มีเรื่องอะไร” เซี่ยเสวียพูดอย่างกังวลใจ “เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”

 

          เซี่ยเหล่ยกำลังข่มความโกรธไว้

 

          “บอกพี่มาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

          “เมื่อกี๊…” ราวกับว่าช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายนั้นมันย้อนกลับมา น้ำตาของเซี่ยเสวียไหลออกมาอีกครั้ง เธอพยายามพูดออกมาทั้งที่ยังคงร้องไห้

 

          ขณะนั้นมีเด็กนักเรียนหญิงอายุ 18 สามคนและอายุประมาณ 20 อีกสี่คนเดินเข้ามาที่นี่ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งชี้มาที่เซี่ยเสวียและพูดว่า “นังเด็กโสโครกอยู่ตรงนั้น!”

 

          เซี่ยเหล่ยหันไปมองตามเสียง มีเด็กผู้หญิงสามคนแต่งตัวไม่เรียบร้อยและแต่งหน้าหนาเข้มจัด เขาดูออกในทันทีว่านี่คงเป็นเด็กที่เหลวไหลแน่นอน ส่วนเด็กผู้ชายอีกสี่คนพวกเขาทุกคนต่างเจาะหูและมีรอยสักเต็มตัว ถ้าดูจากการแต่งตัวของเด็กๆกลุ่มนี้แล้วเขาคิดว่านี่คงเป็นกลุ่มเด็กอันธพาล

 

          เซี่ยเสวียหวาดกลัวและเกาะแขนเซี่ยเหล่ยไว้พร้อมกับพูดอย่างกังวล

 

          “พี่ เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”

 

          เซี่ยเหล่ยไม่ขยับ “ออกไปงั้นหรือ? ทำไมเราต้องออกไป? พวกนี้ใช่ไหมที่มันตบหน้าเธอ?”

 

          “พี่ ออกไปกันเถอะ ฉันขอร้อง” เซี่ยเสวียเริ่มร้องไห้

 

          เซี่ยเหล่ยยังคงไม่ขยับตัวไปไหน การที่เซี่ยเสวียโดนทำร้ายทำให้เขาโกรธมาก

 

          กลุ่มเด็กทั้งเจ็ดคนมองมาอย่างดูถูก และเดินเข้ามาล้อมทั้งเซี่ยเหล่ยและเซี่ยเสวียเอาไว้

 

          เด็กหญิงที่แต่งหน้าจัดและสูบบุหรี่ชี้ไปที่เซี่ยเสวียและดุด่าเธอ “ดูยัยเด็กโสโครกนี่สิ เธอเพิ่งบอกเราเมื่อครู่เองนะว่าอีกเดี๋ยวจะกลับมา ทำไมถึงกล้าหลอกเรา? พี่สาวคนนี้จะแสดงให้เห็นเองว่าเด็กโกหกต้องได้รับโทษยังไง!”

 

          เซี่ยเสวียหลบอยู่ด้านหลังเซี่ยเหล่ย ตัวเธอสั่นด้วยความหวาดกลัว

 

          เซี่ยเหล่ยถามนิ่งๆ “เกิดอะไรขึ้น? ใครเป็นคนเรียกเธอว่ายัยเด็กโสโครก? ทำไมถึงหบายคาบแบบนี้ ?”

 

          เด็กหญิงคนนั้นโกรธจัด เธอไม่คิดว่าเซี่ยเหล่ยจะกล้าต่อว่าเธอกลับ

 

          “คุณวิ่งไปตามคนมาช่วยจะดีกว่าไหม? ไม่กลัวพวกเรางั้นหรือ?”

 

          “ฮ่าๆๆๆ” เด็กๆอีกหกคนเหลือส่งเสียงหัวเราะออกมา

 

          เสียงหัวเราะเหล่านี้เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและการดูถูก ใบหน้าของเซี่ยเหล่ยกลับยิ่งตึงขึ้นกว่าเดิมเพราะความโกรธ

 

          เด็กผู้หญิงคนเดิมชี้ไปที่เซี่ยเสวียที่หลบอยู่หลังเซี่ยเหล่ย “เธอกล้าหลอกพวกเราใช่ไหม? กล้ามากนะนังเด็กโสโครก ฉันจะสั่งสอนเธอเอง…”

 

          เสียงของเธอขาดหายไป เพราะฝ่ามือของเซี่ยเหล่ยได้ยื่นออกไปและตบลงบนใบหน้าของเธอ แรงตบนั้นทำให้ฟันซี่หนึ่งของเธอร่วงและหลุดออกมาจากปาก......

 

           เหตุการณ์นี้ทำให้คนอื่นๆที่ดูอยู่ต่างตกใจ ไม่มีใครคิดว่านี่จะเป็นเรื่องล้อเล่น การกระทำของเขามันโหดร้ายเกินไป!

 

          เด็กผู้หญิงที่ถูกตบหน้าไปจ้องกลุ่มเพื่อนๆของเธอและพูดกับพวกเขาอย่างโกรธเกรี้ยว

 

          “มัวแต่ยืนทำอะไรกันอยู่ล่ะ? มาจัดการเขาซะสิ! ถ้าใครสามารถล้มเขาได้ คืนนี้ฉันจะไปกับคนๆนั้น!”

 

          เด็กวัยรุ่นอีกสี่คนเชื่อเธอและเดินเข้ามาหาเซี่ยเหล่ย

 

          เด็กหนุ่มคนหนึ่งโดนเซี่ยเหล่ยกระทืบและล้มลงไปนอนอยู่กับพื้น จากนั้นเขาจึงดันแขนไปด้านหลังเพื่อใช้ข้อศอกต่อยหน้าเด็กอีกคนที่โจมตีเขาจากด้านหลัง โดยไม่ต้องรอให้สองคนนี้ฟื้นขึ้นมา เซี่ยเหล่ยดึงเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านข้างมาเหวี่ยงลงกับพื้นและกระทืบซ้ำ เด็กหนุ่มที่เหลืออีกหนึ่งคนหวาดกลัวเขาและวิ่งหนีไป

 

          เขาสามารถจัดการเด็กวัยรุ่นทั้งสามคนนั้นได้อย่างรวดเร็ว สามคนโดนกระทืบ อีกคนหนึ่งวิ่งหนีหายไป เด็กผู้หญิงที่ยังคงยืนดูเหตุการณ์อยู่ต่างหวาดกลัวเขา และเตรียมจะวิ่งหนีไป แต่เซี่ยเหล่ยเร็วกว่า เขารีบวิ่งไปขวางทางเด็กพวกนั้นเอาไว้ และเมื่อเขาทำท่าจะโจมตี เด็กผู้หญิงเหล่านั้นก็กรีดร้องอย่างหวาดกลัวและก้มตัวลงหมอบกับพื้น

 

           ในขณะนี้ได้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวล้อมรอบเซี่ยเหล่ยและนักเรียนหญิงสามคนเอาไว้ พวกเขาต่างโห่ร้องและส่งเสียงเชียร์

 

          เซี่ยเหล่ยยังคงโกรธที่พวกเขามาทำร้ายเซี่ยเสวีย เขาถามออกไปอย่างโมโห

 

          “ใครตบหน้าน้องสาวผม?”

 

          เด็กหญิงอีกสองคนต่างหันไปมองเด็กหญิงที่แต่งหน้าจัดและสูบบุหรี่ แม้ว่าพวกเขาตะไม่ได้พูดออกมา แต่จากสายตานั้น คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เด็กหญิงที่แต่งหน้าจัดและสูบบุหรี่คนนี้เป็นคนตบหน้าเซี่ยเสวีย......

 

          “เธอเองงั้นหรือ?” เซี่ยเหล่ยถามเด็กหญิงคนนั้น

 

          “ถ้าฉันทำแล้วจะทำไม? คุณกล้าทำร้ายฉันหรือ? ถ้าคุณทำฉันจะฟ้องพี่ชายและเขาจะพาลูกน้องไปคิดบัญชีกับคุณ! เตรียมตัวรอไว้ได้เลย!”

 

          เซี่ยเหล่ยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป เขาเตะเข้าที่ใบหน้าที่แต่งหน้าหนาจัดนั้นอย่างแรง ทำให้เด็กหญิงปากดีคนนั้นสลบและล้มฟุบลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา

 

          “นี่คุณ เธอยังเป็นแค่เด็กนะ ทำไมต้องทำรุนแรงกับเธอขนาดนี้!” หนึ่งในฝูงชนคนหนึ่งพูด

 

          “ใช่ แม้ว่าคุณจะมีปัญหากัน แต่ทำไมไม่คุยกันดีล่ะ?” อีกคนพูดเสริม

 

          “อย่ามัวพูดมากอยู่เลย รีบพาเธอไปโรงพยาบาลเถอะ”

 

          “ดีแล้วล่ะที่เธอโดนแบบนี้ เด็กที่ทำตัวเหลวไหลต้องเจอแบบนี้แหละ ผมไม่รู้จริงๆว่าพ่อแม่ของเธอเคยสั่งสอนเธอบ้างหรือเปล่า” บางคนก็สมน้ำหน้าที่เด็กหญิงโดนทำร้ายแบบนี้

 

          “เด็กวัยนี้ควรจะเรียนหนังสือเพื่อจะได้ออกมาช่วยพัฒนาสังคม เด็กแบบนี้คงจะไม่ได้รับการสั่งสอนมาจากพ่อแม่แน่ๆ” 

 

          เซี่ยเหล่ยได้ยินทุกบทสนทนาเหล่านั้น อารมณ์ของเขาค่อยๆสงบลง ความจริงแล้วถ้าน้องสาวของเขาไม่โดนตบหน้ามา เขาเองก็คงจะไม่ทำรุนแรงกับเด็กๆเหล่านั้น แต่พวกนั้นควรจะได้รู้ไว้ว่าเซี่ยเสวียสำคัญมากที่สุดในชีวิตของเขา ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าของครอบครัว ทั้งพ่อและแม่ไม่เคยทุบตีและด่าว่าเธอ ตัวเขาเองก็ไม่เคยคุด่าเธอ เซี่ยเสวียเป็นเด็กดีและฉลาด สมควรแล้วงั้นหรือที่เธอจะโดนดูถูกและโดนทำร้ายแบบนี้?

 

          “ตำรวจมา!” เสียงของหนึ่งในฝูงชนดังขึ้น

 

          เซี่ยเหล่ยกันไปพูดกับเซี่ยเสวีย

 

          “รีบกลับไปที่โรงเรียนเร็วๆเข้า”

 

          “แต่พี่…” เซี่ยเสวียไม่อยากทิ้งเซี่ยเหล่ยไว้คนเดียวในเวลาแบบนี้

 

          เซี่ยเหล่ยจ้องตาเธอและพูดอย่างดุดัน “เธอยังเป็นนักเรียนก็ควรจะกลับไปอ่านหนังสือนะ พี่ชายเอาตัวรอดได้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก รีบไปเร็วเข้า!”

 

          “พี่…”

 

เซี่ยเสวียไม่ได้พูดอะไรต่อเมื่อเซี่ยเหล่ยผลักเธอเข้าไปในกลุ่มฝูงชน

 

          ตำรวจสองคนเดินออกมาจากกลุ่มคนและเข้ามายืนข้างตัวเซี่ยเหล่ย

 

          เด็กหญิงสองคนที่หมอบอยู่กับพื้นรีบชี้ตัวเซี่ยเหล่ยและบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ “เขาทำร้ายเพื่อนของพวกเรา”

 

          “พวกคุณควรจะไปโรงพยาบาลนะ ส่วนคุณต้องไปสถานีตำรวจกับผม” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด

 

          เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนดึงกุญแจมืออกมาและมองเซี่ยเหล่ยอย่างหยาบคาย “ยื่นมือออกมา!”

 

          เซี่ยเหล่ยลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ยอมยื่นมือออกมา

 

          กุญแจมือสีเงินถูกใส่ลงบนข้อมือของเซี่ยเหล่ยอย่างรวดเร็ว

 

          ภายในกลุ่มฝูงชน รอยยิ้มมุมปากอย่างมีความสุขปรากฏบนใบหน้าของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขามองภาพของเซี่ยเหล่ยที่ถูกตำรวจสองคนพาตัวออกไป เมื่อพวกเขาเดินลับสายตาไปแล้ว เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

 

          ติดตามตอนต่อไป...........

 

รีวิวผู้อ่าน