Chapter 2 แรงบันดาลใจจากการทะเลาะ
เอริค วางมือจากเครื่องพิมพ์ดีดของเขาแล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
เขาจดเรื่องราวต่างๆในอดีตไว้ในสมุดโน็ตเล่มบาง เป็นเวลา 1 วัน
นับตั้งแต่ค้นพบความสามารถในการจำอันแสนพิเศษของเขา
24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เอริคได้คิดวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของเขาอย่างรอบคอบ
เขาขอลาหยุด และซื้อเครื่องพิมพ์ดีดมือสองซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำตามแผนของเขาให้สำเร็จ
หลังจากจัดงานศพให้ราล์ฟ เอริคมีเงินสดเหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยเหรียญ
ประเทศที่พัฒนาแล้วทางตะวันตกมีสวัสดีการสังคมสังเคราะห์ที่ดีแต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยในเรื่องนี้
โชดยังดีที่บ้านนี้เป็นของเขาโดยชอบธรรม ไม่อย่างงั้นเมื่อเขาขาดเงินค่าเช่า
คงไม่พ้นถูกระเห็ดออกไปนอกข้างถนน ในการซื้อเครื่องพิมพ์ดีดนั้น เอริคต้องขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าจากเจฟ มาเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อ
เพื่อจะไปให้ถึงความฝันตัวเขาต้องเข้าไปสู่วงการมายาของฮอลลิวู้ดเสียก่อน
พักเรื่องการกำกับหนังหรือการแสดงไว้ก่อน หลังจากพิจารณาอย่างเหมาะสมแล้ว
สิ่งที่เขานึกออกก็คือ ควรจะเป็นนักเขียนบทหนังเสียก่อน
แม้ว่าผู้คนมักจะบอกว่านักเขียนบทหนังมักจะมีรายได้ต่ำ แต่มันไม่เป็นความจริง
เพราะนักเขียนบทหนังที่ยอดเยี่ยมหลายคนมักจะหันมากำกับหนังหรืออำนวยการผลิต
อย่างในฮ่องกงก็เช่นกัน
เอริควางกระดาษเปล่าลงในเครื่องแล้วพิมพ์ว่า : จูราสสิก ปาร์ค
ใช่แล้วภาพยนต์ที่ทำรายได้มากที่สุดในปี 1990
ในชีวิตที่แล้วของเอริคไม่ว่าจะดูจากเทปหรือในโรงภาพยนต์ เมื่อไดโนเสาร์ปรากฎในหน้าจอ
ความรู้สึกเดียวที่พวกเขารู้สึกได้ก็คือ ตกตะลึง
ในความทรงจำของเขานวนิยายเรื่อง จูราสสิก ปาร์ค ได้รับการตีพิมพ์ในปี 1990
มีเนื้อหาประมาณ 150,000 คำ ในตอนนี้ไมเคิล ไครชตัน ยังไม่ได้เริ่มที่จะเขียนมัน
เขาเลยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์
ปากของเอริคโค้งออกเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในภาพยนตร์ขณะพิมพ์ลงบนแป้น
สิ่งที่เขาพิมพ์ไม่ใช่สคริปหนัง แต่เป็นนวนิยาย ในอดีตหลังจากดูหนังเขาก็ได้ซื้อหนังสือนวนิยาย
แล้วอ่านมันอีกหลายรอบ ตอนนี้ความทรงจำในอดีตกำลังถูกแปลจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษด้วยความทรงจำของร่างนี้
เขายังไม่เขียนสคริปหนังเรื่องนี้โดยตรง เพราะหากมอบให้บริษัททำภาพยนต์โดยตรง
ในตอนนี้มีโอกาสสูงที่จะถูกโยนทิ้งลงถังขยะ จำนวนบทหนังที่สตูดิโอในฮอลลีวู้ดได้รับแต่ละวัน
นั้นมีจำนวนมากเป็นภูเขา นอกจากนี้เอริคต้องการลิขสิทธิ์เรื่องนี้เพื่อให้หนังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
ถ้าหากเอริคเขียนสคริปหนังส่งไปแล้วพวกเขาทำเป็นภาพยนต์
บริษัทที่ทำอาจจ่ายให้เอริค เพียง 100,000 ดอลล่า ถ้าโชคดีก็คงได้โบนัส
ธุรกิจนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน แต่เอริคไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เท่าไหร่
ยังไงก็ตามในกรณีที่เขามีลิขสิทธิ์นวนิยาย สำเนาฉบับภาพยนตร์ก็จะเป็นสิทธิของเขาด้วย
เอริคเพียงจำเป็นต้องรอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด
เขาจมอยู่กับการทำงาน รู้ตัวอีกทีก็ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว
เอริควางมือจากแป้นพิมพ์ ก็ตะหนักได้ว่าเขาพิมพ์มาหลายชั่วโมงแล้ว
ท้องเขาก็เริ่มส่งเสียงร้องออกมา
เอริคลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองไปยังกองกนะดาษหนาๆบนโต๊ะ
ความเร็วในการพิมพ์เช่นนี้ต้นฉบับควรจะเสร็จสมบูรณ์ในเวลาหนึ่งอาทิตย์
แต่ยังไงเขาก็ยังต้องทำงานในร้านของเจฟไม่อย่างนั้นก็คงอดตายเสียก่อน
เมื่อเดินเข้าไปห้องครัวเอริคก็ทำอาหารง่ายๆเป็นข้าวกับไข่กวนใส่มะเขือเทศ
ขนมปังและเนยยังคงอยู่ในตู้เย็น ถึงแม้เขามีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม
แต่นิสัยของคนเอเชียก็ยังฝังแน่นในตัวเขา
หลังจากกินเสร็จแล้ว เอริคก็เดินไปที่ระเบียงบ้านบนชั้นสองและเอนตัวลงนั่ง
มองทิวทัศน์ยามค่ำคืนรอบๆ บ้านที่เขาอยู่มีพื้นที่น้อยกว่า 200 ตารางเมตร
เป็นบ้านสองชั้นที่มีสวนเล็กๆ
พ่อของเอริคไม่ใช่คนร่ำรวย และเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดอะไรมาก
ชีวิตของทั้งคู่นั้นดูแย่มาก พวกเขาย้ายไปมาเจ็ดถึงแปดครั้ง
จากอังกฤษจนถึงลอส แองเจลลิส เอริคจำไม่ได้ว่าทำไมเพราะยังเด็กเกินไป
แต่ถ้าพูดจริงๆในปัจจุบันเขาก็ยังไม่เข้าใจมัน การลืมซะคงจะดีกว่า
หลังจากย้ายมา ลอส เอนเจลลิส ราล์ฟพาเอริคตัวน้อยเดินไปตามถนนกว่าสองวัน
ในที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือจากนายหน้าขายที่ จนได้ซื้อบ้านพร้อมสวนเล็กๆ
เขาพักอยู่ที่ระเบียงชั่วครู่หนึ่งและวางแผนจะกลับไปพิมพ์จูลาสสิก ปาร์คต่อ
ก็ได้ยินเสียงดังเหมือนเสียงแก้วกระแทกลงพื้น เอริคมองไปยังเพื่อนบ้านทางฝั่งตะวันตก
เป็นบ้านรังเคิล มีคู่สามีภรรยาอายุ 40 ปี มีลูก 3 คน ลูกชายคนโตอยู่มหาลัย
ลูกสาวอยู่โรงเรียนประจำและลูกชายคนเล็กมีอายุเพียง 7 ปี
คู่สามีภรรยาคู่นี้อาจอยู่ในวิกฤตชีวิตคู่ พวกเขาทะเลาะกันบ่อยมากในช่วงหลายวันมานี้
แม้เอริคจะมีความสัมพันธ์อันดีกับบ้านรังเคิล แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปห้าม
ถ้าเขารีบวิ่งไปหาพวกนั้นอาจทำให้เกิดความอึดอัดใจบางอย่างระหว่างพวกเขา
หลังเสียงการโต้เถียงกันหยุดลง ประตูก็เปิดขึ้น ชาร์ล รังเคิล ก็เดินออกมาจากบ้าน
เขาสวมเสื้อเชิ้ตและมีหัวยุ่งๆ เขาหันไปหาผู้หญิงที่ประตูแล้วตะโกนว่า
"พอกันที! ฉันทนมามากแล้ว! นี่มันเลวร้าย! ถ้าฉันไม่ได้ย้ายมาลอสแองเจลิส
เพื่อแต่งงานกับเธอ บางทีป่านนี้ฉันอาจได้เป็นผู้บริหารของGMก็ได้ แล้วดูเธอตอนนี้สิ โอ้พระเจ้า!"
"ไปลงนรกซะ !" คุณนายรังเคิลมักพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ตอนนี้ฟังจากเสียงของเธอนั้น ทั้งโกรธแค้นและหยาบมาก
" เมื่อก่อนมีคนตามจีบฉันมากมาย มีคนหนึ่งตอนนี้เป็นสมาชิกวุฒิสภาที่แคลิฟอร์เนีย อีกคนกำลังค้าขายน้ำมันดิบ ในตะวันออกกลาง คุณได้ยินไหมฮะ? เงินเดือนของพวกเขามากกว่ารายได้ของคุณเป็นร้อยเท่า คนที่ควรเสียใจน่ะควรจะเป็นผู้หญิงคนนี้ เข้าใจไหม คุณผู้บริหาร GM !"
เมื่อคุณนายรังเคิลพูดจบเธอก็โยนเสื้อแจ็คเก็ตสีดำออกแล้วกระแทกปิดประตูเสียงดัง
ชาร์ล รังเคิล หยิบมันขึ้นมาตบเบาๆเขาลุกขึ้นแล้วมองมาที่เอริคที่ยืนอยู่บนระเบียง
"ขอโทษทีรบกวนนายนะ เอริค" ชาร์ลยิ้มให้เขา
"ไม่เป็นไร ชาร์ล....นายเข้ามาก่อนไหม?" เอริคพูด
ชาร์ลส่ายหัว"...ไม่ล่ะ ขอบคุณนะ..ฉันว่าจะไปที่บาร์สักหน่อย..ฉันจะกลับมาเมื่อแมรี่สงบลงแล้ว"
ชาร์ลพยักหน้าให้เอริคแล้วขับรถออกไป
เอริคกลับมาที่ห้องของเขา เมื่อนึกถึงฉากการทะเลาะวิวาทของคู่สามีภรรยารังเคิล
ก็เกิดประกายความคิดในใจเขา ขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะก็ใส่กระดาษในเครื่องพิมพ์ดีด
ไอเดียก็ปรากฎชัดเจนขึ้น
ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเอริคได้คิดถึงบทภาพยนต์เรื่องแรกของเขา
ตอนนี้เขามีคำตอบแล้ว มีบทที่สมบูรณ์แบบสำหรับเขาถึงแม้จะมีความต่างของช่วงเวลาอยู่บ้าง