Chapter 4 – ชักจูง
"เอริค คุณจะปล่อยให้สำนักพิมพ์ของฉันดูแลหนังสือของคุณได้ไหม?"
ไมเคิล ไครช ไม่ได้พยายามซ่อนความตั้งใจของเขา เขาพูดมันออกมาโดยตรง
เอริคมองไปที่ต้นฉบับที่สาวผิวดำกำลังถ่ายเอกสารแล้วพูดกับไมเคิลว่า
"ฉันขอโทษ ไมเคิล ถึงแม้ฉันจะขอบคุณสำหรับการยอมรับของคุณ แต่ฉันก็อยากลองเสี่ยงโชคกับสำนักพิมพ์ใหญ่ดูก่อน บิดามารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมอยากให้ลูกๆของตนไปในที่ที่ดีที่สุด ใช่ไหม ? "
ไมเคิลไม่ได้แสดงท่าทีดูถูกหรือไม่พอใจ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า " เอริค คุณดูเหมือนไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ อย่างถ่องแท้นะ บางทีเราอาจจะหาสถานที่เหมาะสมคุยกันได้ มีร้านกาแฟอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เราไปพูดคุยกันไหม ? "
เอริคหยิบต้นฉบับแล้วใส่ในกระเป๋า เขาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า
"ผมขอโทษด้วยไมเคิล ผมกำลังจะไปทำงานสาย ในอนาคตถ้าต้นฉบับของผมถูกปฎิเสธ ผมจะติดต่อไปหาคุณ"
เอริคสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกจากร้านพิมพ์แล้วขับรถไปที่ร้านอาหารของเจฟ
ไมเคิลลังเลอยู่นิดหน่อยก่อนจะรีบวิ่งออกจากร้าน แล้วขับรถตามเอริคไป เขารู้สึกว่าถ้าพลาดโอกาสนี้เขาอาจเสียใจไปตลอดชีวิต
ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันเป็นเพราะ จูราสสิก พาร์ค 30% และ 70% เป็นเพราะเด็กหนุ่มที่ชื่อเอริค
แม้ว่าเขาจะอ่านได้เพียงครึ่งเล่มของนวนิยายเรื่องนี้ แต่ไมเคิลประหลาดใจกับความรู้ของเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้กันดีว่าอายุเท่านั้นไม่น่าจะได้ยินเกี่ยวกับวิศกรรมการตัดต่อพันธุกรรม นาโนแมชชีน หรือเทคโนโลยีชั้นสูงอื่นๆ แต่ไม่ใช่กับเด็กคนนี้เขาจัดทำได้เป็นอย่างดีแล้วยังใช้คำศัพพ์ได้เหมาะสม โดยไม่ทำให้ความสนใจในนิยายลดลง แต่กลับเพิ่มความน่าสนใจของในเนื้อเรื่องมากขึ้น
เขาเคยเห็นนวนิยายแนว ไซไฟ หลายเรื่อง แต่ส่วนมากการใช้ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องเหล่านี้มันน่าเบื่อ ไม่ใช่ทุกคนที่จะอ่านนิยายประเภทนี้ได้
เอริคจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ แล้วหันไปเห็นรถคันสีดำที่เห็นได้ชัดว่ากำลังขับตามเขามา
ความประทับใจของไมเคิล เพิ่มขึ้นมาก
"เฮ้ เอริค" ไมเคิลโบกมือพยายามจะพูด แต่เอริคชี้ไปที่นาฬิกาแล้วพูดว่า
"ไมเคิลเห็นไหมนี่มัน 9 โมงแล้ว ผมต้องไปทำงานในฐานะพนักงานเสริฟในร้านอาหารอิตาเลี่ยน
ถ้าคุณไม่รังเกียจก็สั่งอาหารเช้ารอก่อนได้" ไมเคิลพยักหน้าแล้วเดินตามเอริคเข้าไปในร้านอาหาร
เอริคเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกมา ไมเคิลนั่งอยู่ริมต่างมีจานเปล่าวางอยู่ตรงหน้าเขา
"ผมอธิบายสถานณ์การให้ Mr.เจฟเจ้าของร้านฟังแล้ว แต่คุณต้องรีบหน่อย"เอริคนั่งตรงข้ามไมเคิลแล้วพูดว่า
"ผมอาจจะเด็ก แต่ไม่ได้ชักจูงง่ายนักหรอกนะ"
ไมเคิลหัวเราะ "ฉันเชื่อมั่นว่าหลังจากได้ฟังคำอธิบายของฉันแล้ว คุณจะให้สิทธิ์การจำหน่ายแก่สำนักพิมพ์ฉันอย่างแน่นอน คุณคงจะไม่รู้จักสำนักพิมพ์ใหญ่อย่างนั้นอย่างดี แต่ฉันได้ทำงานที่สำนักพิม์ Simon & Schuster มานานถึง 11ปี ฉันได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน แต่เพราะล้มเหลวในการแข่งขันชิงตำแหน่งผู้จัดการ ก็เลยออกมาตั้งสำนักพิมพ์ของตัวเอง"
"แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับผม ?" เพราะเมื่อชีวิตที่แล้วของเอริคล้มเหลว
เขารู้สึกกลัวเกี่ยวเรื่องราวการต่อสู้ดิ้นรนของคนอื่น
" ใจเย็นๆ พ่อหนุ่ม ฉันแค่เพียงต้องการให้คุณเข้าใจว่าฉันไม่ได้ล้อเล่น คำพูดของฉันเป็นความจริง
คุณรู้ไหมว่าตอนแรกฉันได้รับหน้าที่ตรวจสอบตัวอย่างนับหมื่นนับแสน จากหลายร้อยพึงหลายพันต้นฉบับ ถึงส่วนใหญ่จะไม่ดีแต่ก็มีผลงานมากมายได้รับการตีพิมพ์ มีหนังสือมากกว่า 2000 เล่มที่ต้องการได้ตีพิมพ์ต่อปี ต่อให้คุณได้รับการตีพิมพ์แล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีหนังสือที่วางจำหน่ายอีกเป็นร้อยเป็นพันเล่ม คุณคิดว่า พวกเขาจะโปรโหมดการขายให้มือใหม่อยากคุณสักเท่าไหร่กัน ? "
ไมเคิลหยุดแล้วจิบน้ำปล่อยให้เอริคได้นั่งคิด เอริคยังคงครุ่นคิดเขาไม่ได้พูดอะไรได้แต่มองไปที่ไมเคิลให้พูดต่อ
ไมเคิลกล่าวว่า"สำนักพิมพ์ของฉันอาจจะมีขนาดเล็ก แต่ด้วยประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับจำหน่ายของฉัน เรามีนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ ผจญภัย แนวสยองขวัญ ที่แม้จะแค่ไม่กี่เล่มต่อปีแต่ก็ได้รับชื่อเสียงจำนวนมาก ถ้าคุณมอบจูลาสสิก ปาร์คให้แก่ทางเรา ฉันสัญญาว่าจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีในการโปรโมทนวนิยายของคุณ มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้เป็นที่รู้จักภายในระยะเวลาอันสั้น ด้วยความช่วยเหลือและคำแนะนำของฉัน นวนิยายของคุณจะมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นหนังสือขายดี"
ไมเคิลวางมือลงบนโต๊ะแล้วค่อยๆรอการตัดสินใจของเอริค
หลังจากได้ยินสิ่งที่ไมเคิลพูด เอริคก็ยังคงกังวลอยู่บ้าง
หากว่าสำนักพิมพ์เล็กๆจะใช้ทรัยากรทั้งหมดที่พวกเขามี ผลตอบรับที่จะได้จะเป็นยังไงบ้าง
จิตใจของเขายังเป็นชายวัยกลางคนที่มีประสบการณ์มากมายในชีวิตและได้พบเจอผู้คนมากมาย
แน่นอนว่าเขาไม่ด่วนใจร้อนเพราะเพียงคำพูดไม่กี่คำ สิ่งที่ไมเคิลบอกว่าจะสร้างชื่อเสียงให้จูราสสิก ปาร์ค ภายในเวลาอันสั้นนั้นตรงกับความต้องการของเขาก็ตาม
ไม่ว่าจะยุคไหน ชื่อเสียง ก็เป็นสิ่งสำคัญที่มีประโยชน์มหาศาล จากมุมมองของเอริค
เขาอายุยังน้อยจำเป็นต้องได้รับการเชื่อมั่นไว้วางใจและการสนับสนุนการผู้อื่นอย่างมาก
ถ้าหากปราศจากชื่อเสียง การที่นักเรียนมัธยมปลายอายุ 18 กลายเป็นผู้กำกับ ผู้คนจะหัวเราะกันอย่างมาก แต่หากเป็นนักเขียนผู้มีพรสวรรค์อายุ18ปี กลายเป็นผู้กำกับนั้น ผลลัพธ์จะต่างกัน
แน่นอนอาจมีคำติอยู่บ้าง แต่ต้องมีบางคนที่คิดว่า เด็กอัจฉริยะ นี่อาจจะทำได้จริงๆก็ได้
เอริคพูดว่า"ผมยอมรับขอเสนอ แต่ตอนนี้ยังเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า ผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักพิมพ์ของคุณเลย"
"มันง่ายมากที่จะบอก" ไมเคิลพูดอย่างใจเย็นว่า "หนึ่งในนักเขียนที่ฉันรับผิดชอบได้อยู่ในรายชื่อหนังสือขายดีของ New York Times แม้ว่าเขาจะอยู่รายชื่อล่างๆก็ตาม แต่นั่นไม่ได้ช่วยหยุดให้ Twentieth Century Fox ซื้อลิขสิทธิ์และทำให้มันกลายเป็นภาพยนต์ในปีที่จะถึงนี้"
เอริคไม่ได้สงสัยในสิ่งที่ไมเคิลพูด เขากล่าวว่า "แล้วเมื่อไหร่เราจะพูดถึงความร่วมมือนี้ "
ไมเคิลตะลึงเป็นเวลาสองวิแล้วพูดขึ้น "คุณ-คุณ ยอมรับข้อเสนอแล้ว ?"
"ใช่แล้ว" เอริคหยักหน้าแล้วยิ้ม "พูดตรงๆ ผมแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นหนังสือของผมวางขายแล้ว"
"งั้นไว้พูดคุยกันคืนนี้เป็นไง? ฉันคิดว่าคุณควรต้องทำงานเสียก่อนตอนนี้" ไมเคิลชี้ไปที่ทางเข้าร้านซึ่งลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ
หลังจากทั้งสองคนเห็นตรงกัน ไมเคิลก็ออกจากร้านอาหารด้วยความพึงพอใจ
"เอริค นายคุยอะไรกับผู้ชายคนนั้น? นายดูมีความสุขผิดปกติ" เจฟถามขึ้น เอริคเพิ่งบอกว่าเขามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับชายคนนั้น เป็นธรรมดาที่เขาจะอยากรู้อยากเห็น
เอริคส่งเมนูให้ลูกค้าแล้วเข้าไปที่ห้องครัวแล้วตอบว่า "โอ้ ใช่ๆเจฟ ผมมีข่าวจะบอก ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ หนังสือของผมจะได้รับการตีพิมพ์เร็วๆนี้"
เจฟรู้สึกสับสนแล้วมองเอริคแปลกๆ "ตีพิมพ์นวนิยาย? เมื่อวานนายเพิ่งบอกว่าอยากเป็นผู้กำกับ และอยากเขียนบทภาพยนต์ ? นายทิ้งความฝันอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นนักเขียนงั้นหรอ ?"
เอริคกล่าวว่า "แน่นอนว่าไม่ใช่ เป้าหมายของผมไม่เคยเปลี่ยน งานเขียนนี้ไม่ได้ทำให้ผมไม่ได้เป็นผู้กำกับสักหน่อย ผมมีต้นฉบับอยู่ในกระเป๋าในห้องแต่งตัว เจฟคุณจะลองอ่านแล้วให้ความคิดเห็นหน่อยได้ไหม ? "
เจฟคิดว่างานเขียนของเอริคน่าจะเป็นเพียงเรื่องสั้น 1000 คำ แต่เมื่อเขาได้เห็นกระดาษหนาเป็นปึก
เจฟรู้สึกช็อคอย่างมาก นักเขียนที่เขียนงานเขียนเล่มนึงเกิน 150,000 คำ มีไม่มากนัก
เขาใช้เวลาในช่วงกลางวันไปอ่าน พนักงานร้านตระหนักได้ว่าเจ้านายของเขาหายตัวไปนานหลายชั่วโมง
เจ้านายเขานั้นมักจะเดินอยู่รอบๆเสมอๆ เพราะแบบนั้นมันจึงแปลกมาก
เมื่อพวกเขาคุยกันว่าควรจะออกไปตามหาดีหรือไม่ เจฟก็ออกมาจากห้องแต่งตัว เขาตบไหล่เอริคแล้วพูดว่า "มันเป็นนิยายที่ยอดเยี่ยม! นายคงได้ลาออกจากที่นี่เร็วๆนี้เป็นแน่" ด้วยคำพูดที่เจฟทิ้งไว้ ทำให้กลุ่มคนรอบๆ เข้ามาล้อมรอบสอบถามเอริคเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
และด้วยเหตุนี้ตลอดช่วงบ่ายเหล่าพนักงานเสริฟและคนครัว ได้ผลัดกันเข้าไปในห้องครัวขออ่านผลงานของเอริค มีพนักงานสาวสวยหน้าตาดีบางคนมาถามเขาว่าขอเอากลับไปอ่านที่บ้านได้ไหม
เอริคไม่ได้แยแสกับท่าทางสาวสวยที่ขยิบตาให้ เขาปฎิเสธคำขอดังกล่าว ก่อนหนังสือได้ถูกตีพิมพ์เขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น