Chapter 26 – POTENTIAL CRISIS
ไมเคิลตัดสินใจทำตัวเหมือนเด็กเหลือขอเมื่อเห็นว่าเอริคยังคงส่ายหัวไปมา
"เอริค ฉันขออะไรสักอย่างสิ? ฉันทำงานหนักมากเลยนะตอนจัดการเกี่ยวกับจูราสสิก ปาร์ค
จนภรรยาของฉันเริ่มบ่น แล้วฉันก็ยังให้เงิน 200,000 ดอล ล่วงหน้าเพื่อให้คุณได้เอาไปสร้างภาพยนตร์อีก คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างหรอ "
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนทำท่าทางแบบนั้นแล้ว เอริครู้สึกตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ เขาคิดสักครู่แล้วกล่าวว่า
"ผมมีนิยายวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว แต่มันยังเป็นแค่ความคิด ยังไม่มีเค้าโครงที่เจาะจง มันคล้ายกับ
living dead series ของจอร์จ โรเมโร(บิดาแห่งหนังซอมบี้) เป็นเรื่องเกี่ยวบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ
ที่กำลังศึกษาไวรัสชนิดหนึ่งแล้วมันเกิดการรั่วไหลขึ้น ทำให้เกิดภัยพิบัติกับมนุษย์ชาติ...."
เรื่องที่เอริคเล่าแน่นอนว่ามันคือเรื่อง Resident Evil แม้ชีวิตที่แล้วเขาจะเคยได้ดูซี่รี่ย์หนังเรื่องนี้
แต่เขาไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ แต่ด้วยความทรงจำที่พิเศษทำให้เขาจำมันได้ทั้งหมด
Resident Evil นั้นเป็นเกมที่ทำกำไรได้สูงที่สุดเกมหนึ่ง และเมื่อถูกดัดแปลงเป็นหนังต้นทุนการผลิต
ก็ไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็ทำเงินในบ็อกออฟฟิศทะลุ 100 ล้าน เนื่องจากไมเคิลต้องการให้เขาเขียนอะไรซักอย่าง ถ้าเขาเขียนก็จะทำให้เขาได้ครอบครองเรื่องนี้ นอกนี้ก็ยังเป็นการขโมยมาจากญี่ปุ่น ทำให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จ
ไมเคิล ไครช รู้สึกยังไม่พอใจนัก "คุณไม่มีเรื่องอื่นอีกหรอ? หลายคนชอบเรื่องเกี่ยวกับซอมบี้
แต่กลุ่มเป้าหมายมันเล็กเกินไป"
เอริคยักไหล่สองข้างแล้วกำมือออกราวกับจะพูดว่า 'แล้วแต่คุณเถอะ' ไมเคิลรู้สึกไม่มีทางเลือกได้แต่พูดว่า
" ดีถ้าอย่างนั้นเริ่มเขียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยชื่อเสียงในปัจจุบันของคุณ เราไม่ควรกังวลเรื่องปริมาณการขาย ถ้างั้นคุณช่วยเพิ่มองค์ประกอบการเป็นผู้ใหญ่(18+)ไปนิดหน่อย เมื่อดูจากอายุคุณคงไม่มีใครว่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก..."
เมื่อเขาบอกข้อเสนอแนะไป ไมเคิลสังเกตว่าหน้าของเอริคดูมีท่าทางผิดธรรมชาติ เขาหันกลับไปก็พบอนิสตันยืนอยู่ข้างหลังเขา ปากของเธอเปิดออกเล็กน้อย เธอมองไปที่ชายวัยกลางคนแล้วราวกับจะกรีดร้องว่า 'พูดอะไรของคุณ !'
"อะแฮ่มๆๆ เอริค ฉันจำได้ว่ามีธุระบางอย่างที่ต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะ" หลังจากพูดยั่วยุแฟนหนุ่มของเธอให้เขียนอะไรแบบนั้นเพิ่มลงไป ไมเคิลก็รู้สึกอายไม่กล้าสู้หน้าอนิสตัน ทำให้เขารีบเดินออกไปทางประตู เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะออกไปว่า
" แน่ใจว่าจะเขียนให้เร็วที่สุดด้วยใช่มะ !"
หลังจากเขาออกไปแล้ว อนิสตันถาม "เอริค คุณคงจะไม่เขียนตามคำแนะนำของเพื่อนคนนั้นหรอกใช่ไหม ?"
"แน่นอนว่า ไม่ ตอนนี้ผมกำลังได้รับการโปรโมทจากทั้งโคลัมเบียและฟ๊อก ให้เป็นแบบอย่างของเยาวชนในอเมริกา ผมจะสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์อันรุ่งโรจน์นี้ได้ยังไงกัน "
" ฮึ! แบบอย่างเยาวชนอะไรกัน คุณเป็นแค่หมาป่าตัวใหญ่นิสัยไม่ดี....อ๊ะ...ไม่...อย่าสิ...."
หลังจากการดิ้นรนในช่วงสั้นๆ อนิสตันก็ถูกผลักลงโซฟา
..........
หลังจากที่ Home Alone และ 17 Again ได้เริ่มการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่ ในที่สุดก็ถึงเวลา
สำหรับกุญแจสำคัญอีกหนึ่งอย่างนั่นคือ บทวิจารณ์
วันที่ 11 พฤศจิกายน ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องได้จัดฉายรอบสื่อมวลชนพร้อมกัน ในยุคที่อินเทอร์เน็ต
ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ผู้ชมส่วนใหญ่นั้นอาศัยหนังสือพิมพ์ในการเลือกชมภาพยนตร์ ดังนั้นบทวิจารณ์ภาพยนตร์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่านักวิจารณ์ที่เข้าร่วมการชมนั้นตราบใดที่หนังไม่น่ารังเกียจเกินไป พวกเขาจะไม่พูดอะไรมาก ทั้งหมดชีวิตของนักวิจารณ์นั้นต้องการภาพยนตร์ เพื่อความอยู่รอด แต่ทางภาพยนตร์นั้นไม่ได้ต้องการพวกเขาขนาดนั้น
วันหลังจากการฉาย หนังสือพิมพ์และนิตยสารรายใหญ่ ในที่สุดก็ออกบทวิจารณ์
ที่รอคอยมานานสำหรับเรื่อง Home Alone และ 17 Again
"Home Alone นั้นมอบมุมมองแบบใหม่ให้กับหนังตลกล้วนๆ มันเต็มไปด้วยความไร้เรียงสา ความอบอุ่นและเรื่องตลกที่จะเติบโตไปพร้อมกับคุณ อย่างความขบขันระหว่างตัวเอกและโจรคู่หู่ ฉันต้องพูดเลยว่า ประสิทธิภาพของ สจ๊วต รันเคิล ตัวเอกอายุ7ขวบนั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ และยังมีนักแสดงหน้าใหม่ อย่างแมทธิว เพอร์รี่ ที่เล่นบทมาวินได้อย่างดีเยี่ยมอีก มันเป็นหนังที่เต็มไปด้วยลูกเล่นตลกที่น่าขบขัน ผู้ชมนั้นพากันหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ ........."– Los Angeles Times.
"ผู้กำกับอัจฉริยะและนักแสดงหนุ่มที่มีพรสวรรค์ ได้ทุ่มเทตัวเองเพื่อทำให้พวกคุณมีความสุขในช่วงวันคริสต์มาสนี้ สำหรับผู้ที่จะไปดูหนังฉันไม่แนะนำให้คุณกินป๊อปคอน เพราะคุณอาจจะพ่นมันใส่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อหัวเราะออกมาเสียงดัง............." – Chicago Tribune.
"ใน 17 Again ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ได้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ตัวเองอย่างสมบูรณ์ ทิ้งภาพลักษณ์ของสาวน้อยที่แสนน่ารักใน E.T ที่นี่เธอได้รับบทเป็นลูกสาวที่ดื้อรั้นที่กำลังจะเรียนจบจากโรงเรียนมัธยม ผู้ซึ้งระเบิดอารมณ์ออกมาหลายครั้งตลอดเรื่อง ทักษะการแสดงของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก อีกทั้ง แดน แอครอยด์และซูซาน ซาแรนดอล สองขาใหญ่ในภาพยนตร์พวกเขาแสดงได้ดีจริงๆ สำหรับ เอริค วิลเลี่ยม ผู้เขียนและนำแสดงในภาพยนตร์ เขาไม่เหมือนกับคนหนุ่มเลือดร้อนที่ไม่มีประสบการณ์
ถ้าพูดถึงเรื่องการแสดงอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าดรูวส์ แบร์รี่มอร์เลย และยังหนังเรื่อง Home Alone ซึ่งฉายในเวลาเดียวกันนั้นอีก ฉันต้องยอมรับเลยชายคนนี้อาจเป็นอัจฉริยะที่พระเจ้าประทานมาให้โดยแท้ นั้นเป็นคำพูดเดียวที่อธิบายความโดดเด่นของเอริค วิลเลี่ยม........... " – Empire Magazine.
"หลายคนที่มักจะบ่นเกี่ยวกับความเป็นจริงในชีวิตของพวกเขา ลองไปดู 17 Again แล้วคุณจะรู้ว่า
คุณอาจจะไม่ได้มีความสุขจริงๆ คุณอาจจะรู้สึกถึงอารมณ์ด้านลบมากมายที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ในชีวิตจริง เมื่อคุณได้ไปดู คุณอาจอิจฉาตัวเอกที่ร่างกายได้เปลี่ยนแปลงไป และเริ่มหันมามองตัวเองจากมุมมองของผู้อื่นบ้าง
.................." – Washington Post.
จำนวนมากของหนังสือพิมพ์ได้ถูกจ่ายเพื่อให้สวรรเสริญภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง นักวิจารณ์นั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน แต่ยักษ์ใหญ่ทั้งสองก็ไม่อาจควบคุมสื่อทั้งหมดไว้ได้ ไม่ต้องพูดถึงยักษ์ใหญ่ที่เหลืออีก 4 โคลัมเบียและฟ๊อกย่ามใจเกินไป
หนึ่งในนั้นคือ The Chicago Sun-Times พวกเขาวิจารณ์ว่า Home Alone นั้นเป็นงานที่ไม่สมจริง
และไม่สมเหตุสมผล สองโจรถูกจัดการด้วยเด็กนั้นเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง และอาจส่งผลให้
เด็กและวัยรุ่นนั้นเข้าใจแบบผิดๆ
อีกฉบับคือ Los Angeles Daily News ได้วิจาณ์และประณามตรงจุดสำคัญในการที่เควินได้ใช้ปืนของเล่นใน Home Alone และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบภาพยนคร์อีกครั้งข่าวนี้ได้รับความสนใจจากสำนักข่าวในลอสแองเจลิส ทำให้เอริคกังวลมาก แม้จะมีการแพร่กระจายอาวุธปืนในอเมริกา แต่มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด ในการใช้ในภาพยตร์และโทรทัศน์
เขากระวนกระวายและโทรหาเลสเตอร์เพื่อไถ่ถามเรื่องราวเขาคิดว่าน่าจะมีเหตุผลเบื้องหลังบางอย่าง
เจ้าของ Los Angeles Daily News นั้นเป็นผู้ถือหุ้นของ Universal Pictures ซึ่งสตูดิโอของทางนั้นก็
กำลังวางแผนที่จะปล่อยภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Land Before Time ในวันที่ 18 พฤศจิกายน
ซึ่งจะเป็นเวลาเดียวกันกับ Home Alone หนังทั้งสองเรื่อง มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กเหมือนกัน
ด้วยสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ทางโคลัมเบียนั้นถูกตอบโต้เช่นนี้
เมื่อวางสายลง เอริคถอนหายใจ ดูเหมือนปัญหาจะเคาะประตูมาหาเขาเร็วๆนี้ เหตุการณ์นี้
ทำให้เขารู้สึกถึงวิกฤต เมื่อเทียบกับบริษัทภาพยนตร์รายใหญ่เขาเป็นเพียงกุ้งตัวเล็กๆเท่านั้น
ซึ่งไม่ได้เป็นภัยคุกคามแก่ยักษ์ใหญ่เหล่านี้ แต่เมื่อ Home Alone ประสบความสำเร็จ
พวกนั้นก็เริ่มระวังตัวโดยเฉพาะ ทางโคลัมเบีย
หากในเวลานั้นเขาไม่เข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง เขาก็ทำได้เพียงรอให้ยักษ์นั้นบดขยี้เขา
ทอม ครูซ ในอดีตเป็นตัวอย่างที่ดี นับตั้งแต่หนังที่เขาแสดงนั้นผลออกมายอดเยี่ยม ส่วนแบ่งของเขา
ก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดส่วนแบ่งของเขาก็สูงกว่าส่วนแบ่ง CEO ของ Paramount Pictures ซะอีก
ในปี 2006 ซัมเนอร์ เรดสโตน ผู้ถือหุ้นใหญ่ในพาราเมาท์พิกเจอร์ได้ออกมาวิจารณ์ ทอม ครูช
ผ่านทางสื่อของ Viacom’s media ซึ่งทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นเวลาหลายปี และอาจทำให้เส้นทาง
อาชีพของเขาทลายลง
"เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ?" เมื่อสังเกตท่าทางเหม่อลอยของเอริค อนิสตันดึงเสื้อเขาเบาๆ
"เปล่าๆ ไม่มีอะไร"
เอริคนั้นแสดงท่าทางมั่นใจอยู่เสมอ แต่อนิสตันยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับหนังทั้งสองเรื่อง สิ่งเดียวที่เอริค
เหลือในครอบครองตอนนี้ก็คือรถที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้ เขาได้จำนองทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จำนองได้ไป
ถ้า Home Alone ล้มเหลวในการเดิมพัน เอริคจะล้มละลายทันที
เธอกอดเอวของแฟนหนุ่มจากทางด้านหลังและพิงหัวของเธอกับหลังของเขาและกระซิบว่า
"ถ้าคุณมีอะไรอยากจะระบายความในใจโปรดบอกฉัน ถึงฉันจะช่วยอะไรไม่ได้มาก
แต่ฉันมีคุณสมบัติพอที่จะรับฟังคุณระบายได้"
"ฉันรู้สึกว่า...." เอริคหันกลับไปมองอนิสตันและคว้าเธอเข้าในอ้อมแขนและกล่าวว่า
"อนาคตอาจจะยากลำบากกว่าที่ผมคิด แอนนี่คุณยังพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันกับผมไหม ?"
"แน่นอนค่ะ" อนิสตันไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังของคำพูดเอริค แต่เธอยังยืนยันอย่างเด็ดขาด
"ขอบคุณแอนนี่ คุณจะไม่ไปนิวยอร์กกับผมจริงๆหรอ ? ผมสามารถบอกให้เจมจัดการเรื่องตั๋วให้ได้นะ"
ในขณะที่ใกล้จะถึงวันที่ Home Alone และ 17 Again ถูกปล่อยตัวทางทีมงานทั้งสองฝ่ายได้
ตัดสินใจเดินทางไปฝั่งตะวันออกเพื่อโปรโมทในนิวยอร์ก อย่างไรก็ตามเธอมีเพียงบทเล็กๆใน 17 Again อนิสตันไม่ใช่นักแสดงที่เกี่ยวข้องกับการโปรโมท
แอนนี่ไม่ต้องการรบกวนแฟนหนุ่ม เธอส่ายหัวและกล่าวว่า "ไม่ล่ะ ฉันอาศัยอยู่ในนิวยอร์คมาเป็นเวลาหลายปี ที่นั่นไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้วล่ะ"
ทั้งสองกอดกันชั่วครู่ก่อนที่แอนนี่จะผลักเขาออกอย่างหนุ่มนวลและเดินไปหิ้วกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่บนทางเดิน