px

เรื่อง : Seized by the System
ตอนที่ 4: ดำเนินการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมต่อไป!


นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางหนิงมีประสบการณ์แบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูใหม่สำหรับเขาไปหมด

‘การนั่งสมาธิของระบบแบบนี้ หรือว่าจะเป็นการฝึกกำลังภายใน!?’ ฟางหนิงคิดในใจ

ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่ระบบฆ่าคนหรือขโมยของจากศพก็ตามที ดูเหมือนว่าระบบได้ใช้เทคนิคอะไรบางอย่างที่คล้ายกับวิชากังฟู แต่เขาไม่สามารถมองตามได้ทัน มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งเอามากๆ ในตอนนี้ กระบวนการโคจรพลังภายในเป็นไปอย่างช้าๆและมั่นคง มันเหมือนเช่นเดียวกับกระแสน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรอย่างช้าๆ ในที่สุดเขาก็ใช้เวลาค่อยๆสำรวจความมหัศจรรย์ของระบบ

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าพลังภายในไหลเวียนไปยังทุกซอกทุกมุมทั่วทั้งร่างกายของเขา ยกเว้นส่วนที่เป็นสมองของเขา มันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ระบบกำลังหลีกเลี่ยงสมองของเขาอยู่? หรืออาจเป็นเพราะว่าสมองของเขา เป็นส่วนเดียวที่ระบบยังไม่มีอำนาจควบคุม?

พลังภายในเหล่านี้ ได้ไหลผ่านไปตามเส้นเลือดของเขา ทำให้เขารู้สึกอุ่นขึ้นจากด้านใน มันให้ความรู้สึกที่แสนสบายและผ่อนคลายอย่างมาก มันสบายยิ่งกว่าการนวดจากหมอนวดระดับเทพคนไหนๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า เขากำลังแช่บ่อน้ำพุร้อนอยู่ยังไงยังงั้นเลย แต่ต่างกันตรงที่ว่า การแช่บ่อน้ำพุร้อนจะรู้สึกอุ่นแค่บริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น แต่นี่มันกลับรู้สึกอุ่นลึกลงไปถึงไขกระดูกของเขาเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกแปลกใหม่ที่แสนสบายแบบนี้ เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น หลังจากที่ระบบนั่งสมาธิจนถึงเที่ยงคืน ฟางหนิงก็หมดเรี่ยวแรงที่จะเฝ้าดูอีกต่อไปแล้ว เขาไม่เคยทำตัวเหมือนนกฮูกกลางคืนมาก่อนเลย สิ่งเดียวที่เขาต้องการทำในตอนนี้ก็คือ การนอนอย่างสบายๆภายใต้ผ้าห่มที่แสนอุ่นของเขา สิ่งที่เขาทำในคืนนี้คืนเดียว มันมากกว่ากิจกรรมตลอดทั้งเดือนที่เขาเคยทำมาเสียอีก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ควบคุมร่างกาย แต่ความเหนื่อยล้าก็ยังส่งผลต่อสมองของเขาอยู่ดี

มันช่างน่าเศร้าที่ระบบไม่สนใจในความต้องการของเขาเลย ร่างกายของเขายังคงนั่งสมาธิอยู่ราวกับว่าเขาเป็นรูปปั้นหิน ดูเหมือนว่าระบบตั้งใจที่จะทำสมาธิจนถึงเช้า

ในที่สุดฟางหนิงก็รับรู้แล้วว่า ระบบไม่อยากเสียเวลาที่มีค่าไปแม้แต่เพียงวินาทีเดียว นับตั้งแต่ที่ระบบยึดครองร่างกายของเขาไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ระบบตัดสินใจทำ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการอยู่รอดของระบบทั้งนั้น เมื่อคิดมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ทำให้เขาลืมความคิดที่ว่า ระบบจะเสียสละเวลาอันมีค่านี้ ไปใช้ในการพักผ่อนได้เลย

ในทางกลับกัน ถ้าฟางหนิงเป็นผู้ควบคุมระบบแล้วล่ะก็ เขาอาจจะใช้เวลาเพียง 10% ในการทำอะไรแบบนี้ และป่านนี้เขาคงนอนหลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เพราะการนอนหลับมีความสำคัญมากกว่าการบ่มเพาะใช่หรือไม่?

ฟางหนิงจนปัญญาในการหาทางจัดการกับระบบ แม้ว่าเขาจะโกรธที่ระบบแอบเอาร่างกายของเขาไปโดยที่ไม่ได้มีการแจ้งเตือนใดๆล่วงหน้า แต่เขาก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกอับอายที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาได้อยู่ดี

ในที่สุด ฟางหนิงก็หลับไปด้วยความไม่เต็มใจ การหลับไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับฟางหนิงอยู่แล้ว เมื่อตอนที่เขายังเป็นนักเรียนอยู่ เขามักจะเผลอหลับไป ในขณะที่เขาถูกครูลงโทษให้ยืนอยู่หน้าห้องเรียนบ่อยๆ ...

ฟางหนิงตื่นขึ้นมาในตอนตี 5 ของเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เขาลุกขึ้นจากเตียง เขาก็เดินตรงไปที่ห้องครัวและค้นหาเครื่องปรุงต่างๆ จากนั้นเขาก็เปิดเตาแก๊สและเริ่มทำอาหาร

ในไม่ช้า งานฉลองอันแสนอร่อยก็ถูกจัดวางไว้ข้างหน้าเขา อาหารเช้าที่ทำสดใหม่แสนอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงวางอยู่เต็มโต๊ะ กลิ่นหอมรัญจวนของมันปลุกให้ฟางหนิงหายจากอาการสลืมสลือทันที

“สุดยอด! มันช่างอร่อยอะไรเช่นนี้! รสชาตินี้มัน ... แม้แต่พ่อครัวชั้นยอดในงานแต่งงานครั้งที่สองของเจ้านายฉัน ยังแทบไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเทียบกับขี้เล็บของนายได้เลย ถ้านายมีฝีมือการทำอาหารขนาดนี้แล้ว ทำไมนายถึงไม่ไปทำงานเป็นพ่อครัวล่ะ? ในเมืองแบบนี้ เงินเดือนของนายจะสูงกว่า 50,000 หยวนเลยทีเดียวนะ และอาจเป็นไปได้ที่นายจะได้รับหุ้นจากร้านอาหารที่นายไปทำอีกด้วย เฮ้! เอาแบบนี้ดีกว่าไหม!? ทำไมเราไม่เริ่มต้นทำร้านแผงลอยของเราเองล่ะ? ฉันสามารถรับประกันได้เลยว่า เราจะสามารถซื้อตึกทำร้านอาหารได้ภายในหนึ่งปี!” ฟางหนิงแนะนำระบบทันที หลังจากที่เขาสูดกลิ่นหอมจากอาหารที่เหมือนกับพระเจ้าทำขึ้นมา

ระบบไม่สนใจคำแนะนำของเขาอีกเช่นเคย มันยังคงมุ่งเน้นไปที่การกินอาหารเช้าอย่างช้าๆ จากนั้นก็เก็บอาหารที่เหลือทั้งหมดไว้ในหม้อหุงข้าวเพื่อให้มันอุ่นอยู่ตลอด ระบบเริ่มทำความสะอาดโต๊ะและเก็บจานไปล้าง ก่อนที่มันจะเดินลงบันไดเพื่อไปออกกำลังกาย

หลังจากเห็นฉากนี้ ฟางหนิงก็รู้สึกอับอายมากยิ่งขึ้น เขาก็เคยทำอาหารด้วยตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง และนับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยทำอาหารเองอีกเลย ด้วยเหตุผลที่สำคัญก็คือว่า เขาขี้เกียจทำความสะอาด!

‘เดี๋ยวก่อนนะ! วัตถุดิบทั้งหมดที่อยู่ในห้องครัว อาจจะเป็นของผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย?’

การออกกำลังกายในตอนเช้าของเขาสิ้นสุดลงในอีกสองชั่วโมงต่อมา และเมื่อระบบอาบน้ำเสร็จแล้ว ในตอนนี้ก็ยังไม่ถึง 8 โมงเช้าเลย และสิ่งที่ฟางหนิงกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ระบบยังไม่ได้พิจารณาโอกาสในการเป็นสุดยอดพ่อครัวที่เขาแนะนำไป

[ระบบกำลังประมวลผล ... ]

[ระบบกำลังประมวลผล ... ]

[ระบบได้ตัดสินใจที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ... ]

“โอ้ ไม่เอาหน่า ท่านระบบครับ ครั้งก่อนท่านก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งค่อนวัน เพื่อออกไปต่อสู้เพื่อความยุติธรรมมาแล้วนะ อีกทั้งท่านยังเผลอฆ่าคนไปแล้วหนึ่งคนด้วย! ท่านมีวิธีการง่ายๆในการหาเงินที่ได้มากกว่าการปล้นศพอีกนะ แต่ทำไมท่านถึงมีความสนใจในการทำงานเป็นเงามืดของเมืองแบบนี้ล่ะครับ?” ฟางหนิงเริ่มคร่ำครวญและขอร้องระบบอย่างสุภาพ ระบบนี้ช่างมีความขยันขันแข็งในการกำจัดคนชั่ว เหมือนอย่างวีรบุรุษเกาจิ้งที่เป็นตำนานคนนั้นซะอีกนะ (พระเอกในนิยาย) แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันมีวิธีที่ดีกว่าการเป็นฮีโร่ แต่ทำไมระบบงี่เง่านี่ถึงไม่เลือกทำ!

ในฐานะที่เป็นนักอ่านนิยายตัวยง ฟางหนิงเข้าใจดีว่า ถ้าขืนระบบยังคงต่อสู้เพื่อความยุติธรรมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงจะมีสักวันหนึ่งที่จะถูกจับได้ การปลอมตัวอาจจะตบตาคนอื่นๆได้ แต่มันเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น มันมีความเสี่ยงที่สูงเกินไป!

“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน! วันนี้ฉันต้องไปทำงานนะ ถ้าขืนฉันไม่ไปทำงาน ฉันอาจโดนเจ้านายไล่ออกก็ได้นะ!” ฟางหนิงตะโกนบอก แต่ระบบไม่สนใจความต้องการทั้งหมดของฟางหนิงเลย มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป เพื่อเป้าหมายเดียวของมันก็คือ การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเหมือนเมื่อวานนี้ โดยมันถือว่าข้อเสนอแนะของเจ้าของร่าง ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอในขณะนี้

ระบบควบคุมร่างกายของฟางหนิงเดินเข้าห้องน้ำสาธารณะในบริเวณใกล้เคียง เพื่อเปลี่ยนโฉมใบหน้าและโครงสร้างร่างกายให้เป็นหนุ่มสูงหล่อคนเมื่อวานนี้ จากนั้นระบบก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป

...

สิ่งที่ควรทำหลังจากที่เขากลายร่างเป็นผู้มีพลังพิเศษคืออะไรงั้นหรือ? แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาจะต้องหาเงินให้ได้มากๆ! หรือว่าคิดจะทำการปฏิวัติในสังคมที่พัฒนาแล้วแบบนี้ดี!?

แล้วถ้าเขาไปเล่นมายากลโชว์การเสกไฟบนท้องถนน แล้วเขาจะได้รับเงินเท่าไหร่กัน?

ฮัวหมิงลี่มองดูมือที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากการทำงานหนัก ในขณะที่เขากำลังคิดอย่างหัวหมุนอยู่ เดิมทีเขาทำงานประจำเป็นคนงานก่อสร้างและแอบขโมยของเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม เขายังคิดไม่ออกเลยว่า จะใช้พลังพิเศษการควบคุมไฟที่เขาเพิ่งได้รับมาไม่นานนี้ ไปหาเงินได้อย่างไร!

หรือว่าเขาจะใช้พลังพิเศษของเขาให้เป็นประโยชน์กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงดี? เพื่อรับเงินรางวัล 500 หยวนและใบประกาศเกียรติคุณนี่นะ!? ไม่! มันไม่ทีทางเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา ที่จะกลับไปทำงานก่อสร้างอีกแล้ว! แล้วคนที่มีพลังพิเศษแบบเขา จะได้ค่าตัวเท่าไหร่จากการเล่นหนัง?

ทันใดนั้น ก็มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเขา เขาจึงตัดสินใจทำตามความคิดนี้โดยทันที

ฮัวหมิงลี่มาถึงที่จอดรถในบริเวณใกล้เคียง มันดูธรรมดาอย่างมากและยังมีการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวม แต่เนื่องจากจำนวนที่จอดรถในเมืองนี้มีอยู่เพียงไม่กี่แห่ง จึงทำให้ที่จอดรถแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยรถหรูจำนวนมาก ซึ่งรถเหล่านี้มักจะมีสิ่งของที่มีค่าอยู่ในรถ เช่นพวกสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อปราคาแพงๆ บางครั้งก็อาจมีนาฬิกาหรูและสิ่งอื่นๆที่มีค่าทิ้งไว้ในรถ! แน่นอนว่า รถหรูย่อมต้องมีสิ่งมีค่าและราคาแพงมากกว่ารถธรรมดาอยู่แล้ว

ครั้งก่อนหน้านั้น เขาเคยเห็นนาฬิกายี่ห้อลองจิ้นส์ วางอยู่บนที่นั่งคนขับของรถเมอซิเดสเบนซ์ เพชรที่ฝังอยู่บนนาฬิกา การันตีมูลค่าของมันได้เป็นอย่างดี เขาถ่ายภาพนาฬิกาและไปค้นหาราคาของมันในเว็บไซต์รับซื้อของโจร ซึ่งราคาซื้อของมันอยู่ที่ 3.8 ล้านหยวน

เขารู้สึกเสียดายนาฬิกาอันนั้นเป็นอย่างมาก มันน่าเสียดายที่ในเวลานั้น เขายังมีทักษะการขโมยที่น้อยเกินไป เพราะระบบล็อคของรถหรูเป็นเรื่องยากที่เขาจะฝ่าเข้าไปได้

ก่อนหน้านี้ เขาทำได้แต่เพียงถอนหายใจอย่างน่าเสียดาย เมื่อมองเห็นของมีค่าต่างๆอยู่ในรถ แต่ในตอนนี้เขายิ้มกว้างจนเห็นฟัน ขณะที่เขากำลังพ่นเปลวไฟสีแดงออกมาจากนิ้วมือของเขา ซึ่งมันสามารถเจาะหลุมที่กระจกรถได้อย่างง่ายดาย เขาจึงรู้ว่าในที่สุดแล้ว เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง!

เหยื่อรายแรกของเขาคือรถออดี้ A8 เขาประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมที่กระจกรถ ขนาดเท่าท่อนแขนลอดผ่านเข้าไปได้ จากนั้นเขาเอื้อมมือเข้าไปในรถและคว้าไอโพนและกระเป๋าสตางค์มา มันช่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เขาเหลือบมองไปที่ไอโพนและโยนมันเล่นพร้อมกับหัวเราะเยาะออกมา จากนั้นเขาควักเงินสักสองสามร้อยหยวนออกจากกระเป๋าสตางค์ นอกนั้นเต็มไปด้วยบัตรเคดิต ซึ่งเขาไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาคิดว่าเมื่อดูจากสภาพกระเป๋าสตางค์แล้ว มันน่าจะมีเงินมากกว่านี้ เขาจึงโยนกระเป๋าสตางค์ไปด้านหลังอย่างไม่พอใจและเดินจากไป

มันน่าเสียดายที่เขาไม่รู้เลยว่า กระเป๋าสตางค์อันนั้น มันมีราคาตั้ง 68,000 หยวน

เหยื่อรายที่สองของเขาคือรถปอร์เช่ คาเยนน์ และเขาได้แหวนเพชรที่วางอยู่บนที่นั่งผู้โดยสาร เพชรค่อนข้างเม็ดใหญ่มาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามีกี่กะรัต แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า มันน่าจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่าหมื่นหยวน หัวใจของเขาเต้นตึกตักอย่างมีความสุข

ฮัวหมิงลี่เลือกรถคาดิลแลคเป็นเหยื่อรายที่สามของเขา และเป็นไปตามคาดของรถหรูแบบนี้ ในรถคันนี้เขาพบกระเป๋าสตางค์วางอยู่ และดูแล้วว่ามันอาจมีเงินอยู่อย่างต่ำ 20000 หยวน เขาค่อนข้างชอบการได้รับเป็นเงินสดแบบนี้มากกว่าการได้รับเป็นสิ่งของ เพราะว่ามันมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า โดยเขาไม่จำเป็นต้องไปหาคนกลางเพื่อขายสิ่งของต่างๆอีกด้วย

เขาเหยียดแขนและใช้กำลังทั้งหมดของเขา เพื่อจะเอื้อมมือไปให้ถึงกระเป๋าสตางค์ เขารู้สึกแทบอยากจะเผาทั้งประตูรถไปด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาเพิ่งมีพลังพิเศษและมันยังไม่ค่อยมีพลังที่มากสักเท่าไหร่ เขาจึงทำตามที่คิดไว้ไม่ได้ เขาพยายามเอื้อมจนสุดความสามารถ และในที่สุดเขาก็ทำได้!

ในกระเป๋าสตางค์มีเงินใบล่ะ 100 หยวนปึกใหญ่ๆอยู่ในนั้น เขารู้สึกมีความสุขมากๆ และจินตนาการว่าชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรในอีกสองสามวันถัดไป เขามองรถคันอื่นๆด้วยแววตาที่เบิกบานใจ รถเหล่านี้เหมือนเป็นกระเป๋าสตางค์เคลื่อนที่ได้ของเขา! แม้ว่าใจของเขายังคงอยากจะหาเหยื่อรายต่อไปอยู่ แต่เขาก็ตัดสินใจว่า วันนี้คงต้องพอเท่านี้ก่อน เพราะว่าเขาใกล้จะหมดแรงแล้ว เขาจึงเตรียมจะเดินจากไป

ทันใดนั้น ก็มีเสียงชายลึกลับคนหนึ่งดังขึ้นมา เสียงนั้นแฝงไปด้วยความยุติธรรมและความน่าเกรงขาม ฮัวหมิงลี่เกือบจะลื่นล้มด้วยความตกใจ

“แขนขาของนายก็มีอยู่ครบ แถมยังสมบูรณ์ดีอีกด้วย แต่นายกลับเลือกที่จะขโมยของในเวลากลางวันเสกๆนี่นะ? นายไม่กลัวว่าพ่อแม่ของนายจะผิดหวังหรือไงกัน?”

เมื่อฮัวหมิงลี่หันมามองเจ้าของเสียง คลื่นแห่งความอิจฉาปะทุขึ้นจากภายในใจของเขา ‘ผู้ชายที่หล่อเหลาคนนี้ จู่ๆโผล่มาจากไหนกัน? โอ้ หรือว่าเขาอาจจะเป็นหนึ่งในเจ้าของรถหรูพวกนี้’ เปลวไฟแห่งความอิจฉายังคงเผาไหม้ในใจเขาอยู่ คนธรรมดาๆเช่นเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรกัน! ถ้าทุกคนหล่อเหลาและร่ำรวยเหมือนผู้ชายคนนี้?

ฮัวหมิงลี่รีบวิ่งหนีไปตามสัญชาตญาณทันที แต่เขาเหมือนไม่เต็มใจที่จะวิ่งหนีไป เขาส่ายศีรษะของเขาอย่างจริงจังและเตือนตัวเองว่า ‘เฮ้ ในตอนนี้ฉันก็มีพลังพิเศษอยู่ในตัวแล้วนะ ยังจะกลัวอะไรอีก! ฉันจะเผามันให้ตาย!’

ฮัวหมิงลี่ใช้กำลังทั้งหมดของเขา เพื่อเรียกเปลวไฟออกมาห่อหุ้มทั่วร่างกายของเขาไว้ เขาดูราวกับเป็นมนุษย์เปลวไฟ เขาเดินเข้ามาหาฟางหนิงและตะโกนเตือนว่า “แกรีบไสหัวไปให้พ้นๆจากที่นี่ซะ! นี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก! ไม่งั้นฉันจะเผาแกเป็นขี้เถ้า!”

ฟางหนิงรู้สึกตกใจและกลัวคำขู่ของฮัวหมิงลี่

‘เชี่ยแล้ว’ ฟางหนิงรู้สึกตกใจมาก ผู้ร้ายคนแรกของเขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา แต่คนที่สองกลับไม่ใช่อย่างนั้น เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษที่ควบคุมไฟได้! ฟางหนิงสามารถรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่แผ่มาจากร่างของผู้ชายคนข้างหน้าได้ คนๆนี้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการจริงๆ ในตอนนี้ ฟางหนิงจึงได้รับรู้แล้วว่า การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของระบบนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!

ดูเหมือนว่าเขาอาจจะไม่ใช่คนเดียวที่ชีวิตเปลี่ยนไป หลังจากเหตุการณ์อุกกาบาตตกเมื่อวานนี้ ฟางหนิงคิดว่า การที่อุกกาบาตตกลงมา มันอาจจะมอบพลังพิเศษบางอย่างให้กับคนอื่นๆอีก และผู้ชายคนนี้ก็ดูแข็งแกร่งเอามากๆ

ก่อนที่ฟางหนิงจะเริ่มเปรียบเทียบเขากับคู่ต่อสู้ เขาก็เห็นระบบควบคุมร่างกายของเขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พบว่า ตัวของเขาอยู่ข้างหลังมนุษย์เปลวไฟแล้ว และฝ่ามือของเขาก็ตบหลังหัวของผู้ชายคนนั้น

ผัวะ! หน้าของผู้ชายคนนั้นทิ่มลงบนพื้น ฟางหนิงไม่รู้ว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว!

‘โอ้ สุดยอด!’ ไม่จำเป็นต้องมีการเปรียบเทียบพลังกันอีกต่อไป เพราะผลแพ้ชนะปรากฏออกมาแล้ว! ฟางหนิงมองดูระบบที่กำลังใส่ถุงพลาสติกและเริ่มปล้นสะดม เขาได้แต่อึ้งอยู่ในใจ

หลังจากนั้นก็มีการแจ้งเตือนจากระบบปรากฏขึ้นมาทีละนิดๆ

รีวิวผู้อ่าน