px

เรื่อง : Seized by the System
ตอนที่ 10: กลายเป็นแบบอย่างที่ดี


“ทุกคนฟังทางนี้ก่อน ฉันจะอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันและปัญหาที่เราได้พบเจอมานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อุกาบาตตก ซึ่งมันก็ได้ผ่านมาตั้งสองเดือนแล้ว ทำให้ในตอนนี้มีเหล่าผู้คนที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติได้ตื่นขึ้นมาในเมืองฉีเป็นจำนวนมาก พวกเขามีพลังหลากหลายประเภทและวิธีการกระตุ้นพลังก็แตกต่างกันออกไป แต่หลังจากการทำงานอย่างหนักมาสองเดือน เราพอมีความเข้าใจพื้นฐานของสถานการณ์ที่คนเหล่านี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ในที่สุดเราก็สามารถวางเครือข่ายครอบคลุมเอาไว้ได้”

ในชั้นใต้ดินของเมืองฉีเป็นที่ตั้งสำนักงานกิจการพิเศษของเมืองฉี และในตอนนี้ก็กำลังมีการประชุมลับสุดยอดกันอยู่

ผู้อำนวยการโม่เป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างผอมบาง เขาทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประชุมวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบัน และยังเป็นคนถ่ายทอดคำสั่งจากเบื้องบนให้กับลูกน้องของเขา

“ในตอนนี้ฉันจะอธิบายสั้นๆว่า พวกผู้มีพลังพิเศษมีหลากหลายประเภท และถึงแม้ว่าประเภทพลังพิเศษของพวกเขายังคงเป็นปัญหาสำหรับเราอยู่ แต่จากการที่เราศึกษาและวิเคราะห์ถึงการกระทำของพวกเขามา เราพอจะแบ่งพวกเขาออกเป็น 4 ประเภทคือ ประเภทที่ 1 เป็นพวกที่ใช้พลังพิเศษของตัวเองเพื่อสร้างรายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ประเภทที่ 2 เป็นพวกที่ใช้พลังพิเศษในการผดุงความยุติธรรม ประเภทที่ 3 เป็นพวกที่ยังไม่เปิดเผยความสามารถใดๆออกมา ส่วนประเภทที่ 4 เป็นพวกที่ใช้พลังพิเศษในการกลั่นแกล้งหรือฆ่าคนโดยไม่มีเหตุผล และเรายังมีมาตรการจัดการกับคนทั้ง 4 ประเภทนี้คือ ประเภทที่ 1 เราจะให้การสนับสนุน, ประเภทที่ 2 เราควรจำกัดขอบเขตการกระทำพวกเขาเอาไว้, ประเภทที่ 3 เราจะเสาะหาและรวบรวมพวกเขา ส่วนประเภทที่ 4 เราต้องกำจัดทิ้ง!”

หลังจากที่เขาอธิบายจบ เขาก็สะบัดปากกาอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในมือและภาพสไลด์ก็ปรากฏบนหน้าจอโปรเจคเตอร์ที่ห้อยอยู่ข้างผนัง

เนื้อหาในภาพสไลด์เป็นสิ่งที่ผู้อำนวยการโม่ต้องการอธิบายต่อ

ในภาพสไลด์แรกเขียนหัวข้อเอาไว้ว่า “ประเภทที่ 1 : ประเภทที่ใช้พลังพิเศษในการสร้างรายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย”

ภายใต้ชื่อหัวข้อเป็นภาพเต็มตัวของชายคนหนึ่งที่มีความสูงเฉลี่ยทั่วไปและมีรูปร่างอ้วน เขาหน้าตาดีเล็กน้อยและดูเป็นคนค่อนข้างเฉื่อยชา

ถัดจากรูปภาพลงมาคือประวัติของชายคนนั้น “ไฟล์ No.Q432, ระดับความลับ: ลับสุดยอด ชื่อเต็ม: ฟางหนิง วันเกิด: 11 ธันวาคม 1989, เพศ: ชาย, งานอดิเรก: เล่นวิดีโอเกม, อ่านนวนิยาย และสนใจในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ, บุคลิกภาพ: เป็นคนขี้เกียจและชอบทำตัวสบายๆ, ความสามารถเหนือธรรมชาติ: การเพิ่มรสชาติของอาหาร, ประวัติ: XXXX, ลิงค์รหัสลายนิ้วมือ: XXXX, ลิงค์รหัสดีเอ็นเอ: XXXXXXX, ลิงค์การจดจำใบหน้า: XXXXX, ลิงค์การจดจำม่านตา ...”

ขณะที่เขาชี้ไปยังภาพของฟางหนิง ผู้อำนวยการโม่ได้เปิดประวัติการทำงานของเขาขึ้นมา

ประวัติการทำงานของฟางหนิงแสดงให้เห็นว่า ร้านอาหารของเขาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และรายได้ของเขาก็มากพอที่จะทำให้ใครหลายๆคนต่างพากันอิจฉา และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า เขาประสบความสำเร็จภายในแค่สองเดือนเท่านั้น หลังจากที่เขาได้รับความสามารถเหนือธรรมชาตินี้มา

“คนๆนี้เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของคนที่มีพลังพิเศษประเภทแรก เขามีความสามารถในการเพิ่มรสชาติของอาหาร โดยการปรุงแต่งด้วยเครื่องปรุงรสที่ไม่เหมือนใคร และจากการสืบสวนลับๆของเรา เครื่องปรุงรสของเขายังไม่เป็นอันตรายและยังปลอดสารพิษอีกด้วย ด้วยเครื่องปรุงรสนี้ ทำให้เขาสามารถรังสรรค์อาหารที่มีรสชาติสุดยอดออกมาได้ ทำให้กิจการของเขาสามารถแย่งตลาดของคู่แข่งได้เป็นอย่างดี”

“สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือว่า ถึงแม้ว่าเขาจะมีรายได้มหาศาลจากการใช้ความสามารถนี้ แต่เขาคนนี้ก็ยังไม่ลืมกำพรืดตัวเอง ในขณะที่เขายังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการท่องอินเทอร์เน็ต, เล่นวิดีโอเกม หรืออ่านนวนิยาย เขาไม่เคยใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอย่างเช่น ไปเล่นการพนันหรือไปมั่วผู้หญิงเลย ซึ่งทุกการกระทำของเขา เราสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดายมาก”

“จากการกระทำของเขา เราสามารถบอกได้ว่าเขากำลังรักษาสันติภาพของสังคมในปัจจุบันอยู่เสมอ และยินดีที่จะทำเช่นนี้ต่อไป”

โม่เฉียงยกย่องฟางหนิงอย่างออกหน้า แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าโม่เฉียงยังไม่รู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของระบบ จึงทำให้เขาคิดว่าฟางหนิงนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบใช้เงิน แต่ความจริงก็คือว่า ฟางหนิงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เงินมากกว่า เขาอาจจะชอบอ่านนวนิยายและเล่นวิดีโอเกมก็จริง แต่เขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงเลย แต่ด้วยการที่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ และด้วยช่วงเวลาแห่งการปลดปล่อยที่มีเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น เขาจึงทำได้เพียงแค่เดินลงไปรับจดหมายจากล็อบบี้ของอพาร์ตเมนต์ ซึ่งฟางหนิงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก โดยที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการโดนระบบควบคุม

แน่นอนว่าก็มีบางสิ่งที่โม่เฉียงพูดได้อย่างถูกต้อง นั่นก็คือว่าฟางหนิงเป็นคนที่ขี้เกียจมากจริงๆ เขาขี้เกียจแม้กระทั่งจะก้าวเท้าออกจากห้อง และการที่เขาไม่ต้องการให้โลกเกิดความวุ่นวายก็เป็นเพราะว่า เขากลัวที่จะไม่มีคนพัฒนาเกมหรือแต่งนวนิยาย เพื่อสนองต่อความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเขาแค่นั้นเอง

เมื่อโม่เฉียงกำลังจะพูดต่อ เขาก็อดคิดถึงความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญเมื่อเร็วๆนี้ขึ้นมาไม่ได้ เขาถอนหายใจออกมา “ถ้าพวกที่มีพลังพิเศษทุกคนเป็นเหมือนเช่นฟางหนิง พวกคุณลองคิดดูสิว่ามันจะดีมากแค่ไหน ไม่เพียงแต่เราจะสามารถเพิ่มจีดีพีของเมืองฉีได้เท่านั้น แต่เรายังสามารถเพิ่มดัชนีความสุขของประชาชนได้อีกด้วย ดังนั้นเราจึงต้องส่งเสริมและสนับสนุนพวกมีพลังพิเศษประเภทแรกนี้อย่างจริงจัง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ คนอื่นๆในห้องก็พยักหน้าอย่างแรง คำอธิบายของผู้อำนวยการโม่ง่ายต่อการเข้าใจ เพราะพวกเบื้องบนต่างมองว่า ตราบเท่าที่ผู้มีพลังพิเศษไม่ได้ทำลายกฏของสังคม และได้รับผลประโยชน์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย คนพวกนี้ก็สมควรได้รับการสนับสนุนที่ดี

บุคคลเช่นฟางหนิงไม่เป็นอันตรายต่อสังคมก็จริงอยู่ แต่ข้อมูลของเขาต้องถูกเก็บเป็นความลับจากคนทั่วไป และด้วยการที่ได้รับความสำคัญจากพวกเบื้องบนเหล่านี้ พวกผู้มีพลังพิเศษประเภทแรกจะได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างอิสระ ในฐานะแบบอย่างพลเรือนที่ดี

สำหรับบุคคลที่มีความสามารถคล้ายกับฮัลค์จอมพลัง แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายต่อองค์กรโดยตรง แต่องค์กรก็จะสนับสนุนเฉพาะผู้ที่ไม่ได้บ้าคลั่งในตอนกลางวันแสกๆเท่านั้น

ในขณะที่การประชุมยังดำเนินไป ไม่มีใครรู้ว่าคำพูดของผู้อำนวยการโม่ จะทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมในมุมหนึ่งของเมืองฉีในอนาคตอันใกล้นี้ ...

...

ในตอนนี้ เฉ่าหยิงกำลังทั้งเป็นกังวลและตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน เธอเพิ่งเห็นฮีโร่คนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ในครั้งก่อน กำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารของเธอ และเขากำลังสั่งอาหารบางอย่างอยู่ ซึ่งมันหมายความว่าเขาจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก

ตอนแรกเธอคิดว่าจะไม่สามารถพบเขาได้อีกต่อไปแล้ว เมืองฉีมีประชากรมากขนาดไหน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนแปลกหน้าสองคนจะมาพบเจอกันอีก ภายในระยะเวลาอันสั้นๆแบบนี้

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เฉ่าหยิงรู้สึกดีใจมากที่ได้ตอบรับคำเชิญของฟางหนิงในการเข้าร่วมธุรกิจอาหารของเขา เธอมั่นใจว่าผู้ช่วยชีวิตของเธอคนนี้แวะเข้ามาที่ร้านอาหารของเธอ เนื่องจากความนิยมที่แพร่หลายของร้าน

‘ห่วงโซ่อาหารที่แสนอร่อยของฟาง’ มีชื่อเสียงมากในเมืองฉี และนักชิมอาหารเกือบทุกคน ต่างต้องแวะมากินอาหารที่นี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และเนื่องจากมันเป็นร้านอาหารแห่งแรกที่ฟางหนิงสร้างขึ้นมา ในที่สุดร้านอาหารเช้าจึงได้พัฒนามาเป็นร้านอาหารแบบเต็มวัน ซึ่งสามารถดึงดูดผู้คนได้มากขึ้น

เฉ่าหยิงเดินเข้ามาด้วยความเย้ายวนใจ เธอได้เลือกที่นั่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ช่วยชีวิตของเธอ และยังสั่งกำชับให้พ่อครัวทำอาหารสุดแสนพิเศษ เพื่อรับประกันความพึงพอใจของผู้ช่วยชีวิตของเธออีกด้วย

เธอเป็นคนที่ไม่ชอบเนรคุณใคร เขาอุส่าห์ช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ แล้วจะให้เธอไม่ตอบแทนบุญคุณเขาได้อย่างไรกัน? แน่นอนว่าเธอจะต้องทำให้เขาได้รับการต้อนรับที่ดีที่สุด

ความจริงที่ว่าผู้ช่วยชีวิตของเธอได้ปรากฏตัวขึ้นในตอนกลางวันแสกๆแบบนี้ ก็เนื่องจากว่าเขาต้องมาจัดการกับปัญหาบางอย่าง! จากตำแหน่งที่เธอยืนอยู่นั้น ถึงแม้ว่าเธอจะเห็นแค่ด้านหลังของเขา แต่เขาก็ดูดีเป็นอย่างยิ่ง

เขาเป็นคนที่หล่อเหลาและดูเหมือนจะมีฐานะที่ดี ดังนั้นทำไมเธอถึงไม่ต้อนรับเขาอย่างเหมาะสมล่ะ? เพียงแค่เธอคิดถึงข้อนี้ขึ้นมา ก็ทำให้หัวใจเธอแทบบ้าคลั่งแล้ว

“เฮ้ สุดหล่อ คุณจำฉันได้หรือไม่” เฉ่าหยิงถามอย่างนุ่มนวล ขณะที่เธอยืนพิงโต๊ะของเขา

เฉ่าหยิงกำลังประสบภาวะกระอักกระอ่วนในใจของเธอ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอทำงานหนักมาเกือบสองเดือน เจ้านายของเธอก็ดูเหมือนว่าจะมีรายได้มั่นคง ถึงแม้ว่าเธอจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้เจ้านายของเธอขยายกิจการ แต่ฟางหนิงก็ไม่ได้มีความสนใจเลย เขาแค่มีความสุขกับทรัพย์สมบัติเล็กๆที่เขาสะสมไว้ แม้ในขณะที่เขาต้องเผชิญกับโอกาสที่จะขยายธุรกิจ แต่เขาก็หยุดลงเอาดื้อๆ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เฉ่าหนิงรู้สึกโกรธมาก

เธอต้องการเป็นประธานของกลุ่มห่วงโซ่ทั้งแปดที่ประสบความสำเร็จ เธอไม่ได้อยากเป็นเพียงแค่ผู้จัดการร้านอาหารขนาดใหญ่อยู่แบบนี้

การปรากฏตัวของผู้ช่วยชีวิตของเธอ ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมาก เขานั่งอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ แต่แค่นี้ก็กุมหัวใจเธอไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว

ทุกคนอาศัยอยู่ในโลกที่ตื้นเขินใบนี้ ผู้ชายและผู้หญิงก็เป็นเหมือนกันหมด ไม่ว่าผู้ชายจะรักและอยู่กับแฟนสาวมานานแค่ไหน แต่ถ้าผู้หญิงเจอผู้ชายในฝันขึ้นมาแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่สามารถเอาชนะผู้ชายในฝันของผู้หญิงได้เลย

ในเวลาเดียวกัน ฟางหนิงกำลังใช้เวลาในการเล่นเกมยิงปืนในร้านอินเทอร์เน็ตในพื้นที่มิติของระบบอยู่ ทันใดนั้น เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยการปรากฏตัวของตัวเลือกการสนทนาขึ้นมา

‘เชี่ย ฉันต้องยอมแพ้เกมตานี้แล้ว!’ ฟางหนิงบอกลาสมาชิกคนอื่นๆในทีม และออกจากเกมโดยที่ไม่สนใจกับเสียงบ่นด่าของสมาชิกในทีม จากนั้นเขาก็มองไปที่ตัวเลือกการสนทนาของระบบ

[ผู้หญิงอ่อนแอที่คุณเคยช่วยชีวิตเอาไว้ ได้พบคุณที่ร้านอาหารและกำลังพูดกับคุณอยู่ ขณะนี้คุณสามารถยืนยันได้ว่า เธอได้รับการสอบถามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้เปิดเผยข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ ตัวเลือกของคุณคือ]

[1.คุณตอบเธอว่า “เธอเป็นใคร? ดูเหมือนว่าฉันจะไม่รู้จักเธอนะ?”]

[2.คุณตอบเธอว่า “โอ้ ฉันช่วยชีวิตเธอเอาไว้ แต่เธอกลับขายฉันให้กับคนอื่นนี่นะ ไสหัวไปให้พ้นๆหน้าฉันซะ!”]

[3. คุณสามารถมองเธอด้วยสายตาเย็นชาในขณะที่รออาหารมาเสิร์ฟ และคุณต้องมองเธอราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน]

ฟางหนิงตระหนักได้ว่า หลังจากที่เขาให้ข้อเสนอแนะหลายเรื่องแก่ระบบ ทำให้ระบบได้เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับตัวเขาไปบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ทางเลือกที่ระบบเสนอให้กับเขาในตอนนี้นั้น ทุกตัวเลือกมีเป้าหมายที่เหมือนๆกัน

เขาไม่สนใจตัวเลือกทั้งสามของระบบ แต่ฟางหนิงกลับเลือกที่จะพูดกับระบบตรงๆว่า

“โอ้ ระบบ ฉันรู้ว่านายไม่เชี่ยวชาญเรื่องการสนทนากับคนอื่น แต่ตัวเลือกที่นายให้มานั้น มันจะทำให้คนอื่นเกลียดขี้หน้าเราได้นะ ทำไมเราไม่พูดจากับคนอื่นให้ดีๆหน่อยล่ะ?”

ฟางหนิงรู้ว่าระบบไม่ใช่มนุษย์ และมันไม่มีความรู้สึกถูกหรือผิด มันไม่เคยทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์และมันทำทุกอย่างด้วยหลักการเสมอ แต่นี่คือเหตุผลที่ฟางหนิงไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า เหตุใดระบบจึงชอบพูดเหมือนเป็นการชวนทะเลาะกับคนอื่นด้วยล่ะ? หรือว่าตัวเลือกเหล่านี้จำเป็นสำหรับการจับอาชญากรหรือไม่?

รีวิวผู้อ่าน