px

เรื่อง : Seized by the System
ตอนที่ 13 : ไม่มีอะไรไปมากกว่าการฟาร์มเลเวล


เมื่อปาฏิหาริย์ที่แซงหน้าเทคโนโลยีที่ทันสมัยวางอยู่ตรงหน้าเธอ มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ ฉีหยานที่เข้าใจดีว่า เส้นทางสำหรับอนาคตกำลังเปลี่ยนไป พวกคนที่ไม่มีพลังพิเศษเหล่านี้จะถูกกำจัดออกไป เหมือนกับกลุ่มคนที่พ่ายแพ้ในการปฏิวัติทางเทคโนโลยีเมื่อครั้งก่อน พวกเขาทำได้เพียงแค่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นมาอีกครั้งได้ตกอยู่กับกลุ่มคนรุ่นหลัง แต่คราวนี้บางทีคนรุ่นต่อไปก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาได้ นี่มันไม่เหมือนการปฏิวัติทางเทคโนโลยี ที่ตอนแรกคุณอาจะจะล้มเหลว แต่ยังสามารถกลับมาได้ดีในตอนท้าย

พลังพิเศษนี้ไม่เหมือนกับความรู้ทางเทคโนโลยีที่สามารถแบ่งปันกันได้อย่างอิสระ แต่พลังนี้สามารถทำได้เพียงส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่เท่านั้น

ก่อนหน้านี้มีความเป็นไปได้เสมอที่ลูกหลานจะปีนขึ้นไปอยู่บนสังคมชนชั้นสูง ตราบใดที่พวกเขายังมีความสามารถ และขยันพอที่จะได้รับทักษะหรือความรู้ที่ต้องการ ในเวลานั้นตระกูลที่ร่ำรวยหลายตระกูล ได้พยายามมอบสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกหลานของพวกเขา เพราะมันไม่มีวิธีใดที่จะสามารถถ่ายโอนความรู้ความสามารถให้กับลูกหลานได้โดยตรง

อย่างไรก็ตาม นั่นใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ในปัจจุบันอีกต่อไป เธอรู้สึกว่าพลังพิเศษนี้อาจถูกถ่ายทอดผ่านสายเลือดได้โดยตรง นี่เป็นทฤษฎีที่ได้รับการเสนอโดยหนึ่งในเยาวชนอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในระหว่างการรวมตัวของตระกูล แม้ว่าเธออยากจะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของตระกูล แต่ในสายตาของตาแก่เหล่านั้น เธอเป็นแค่ผู้หญิงที่ถูกกำหนดให้ออกจากตระกูลหลังแต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่เคยได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้เข้ารับการฝึกฝนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้ว่าสามีของเธอจะเต็มใจแต่งงานเข้ามาในตระกูลของเธอก็ตามที

พ่อแม่ของเธอรักลูกสาวคนเดียวของพวกเขามาก จนพวกเขาได้ส่งของขวัญมากมายไปให้กับผู้อาวุโสเหล่านั้น แต่ทั้งหมดนั้นล้วนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง พวกผู้อาวุโสมีแต่เร่งเร้าให้เธอรีบแต่งงานโดยเร็ว เนื่องจากพวกเขาได้เลือกชายหนุ่มสองสามคน ที่อาจจะทำได้ดีในยุคใหม่ที่จะมาถึงนี้...

ด้วยการที่กำลังจะเริ่มต้นยุคใหม่ ทำให้ผู้ชายธรรมดาที่สุดบางคนในตระกูลของเธอได้รับการฝึกฝนจากพวกตาแก่เหล่านั้นด้วย ในบรรดาคนที่มีศักยภาพในด้านการฝึกฝนที่น่าทึ่ง ทำให้สถานะของพวกเขาในตระกูลเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ก่อนในอนาคตของพวกเขามีแต่ความมืดมิด แต่ตอนนี้อนาคตของพวกเขาสว่างไสวราวกับดอกไม้ไฟเลยทีเดียว

ฉีหยานจะทนเฉยต่อเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน? เธอรู้ว่าเธอเก่งกว่าผู้ชายหลายคนในตระกูลเสียอีก แต่เธอกลับได้รับการปฏิบัติแบบนี้แทน ดังนั้นเธอจึงคว้าโอกาสที่หาได้ยากในการช่วยเหลือศาลเตี้ย A เพื่อให้เขามอบทักษะการต่อสู้ให้กับเธอ ในตอนแรกเธอคิดว่ามันเป็นทักษะกำลังภายในที่ค่อนข้างดี แต่เมื่อเธออ่านหนังสือทักษะกำลังภายในขั้นพื้นฐาน - การเกร็งพลังครึ่งก้าว ที่เขามอบให้กับเธอ เธอเกือบจะคลุ้มคลั่งไปด้วยความโกรธแค้น มันเกือบจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของศาลเตี้ย A แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องที่ยากมากในการทำให้ผู้หญิงที่เรียบร้อยเช่นเธอเสียความสุขุมไป มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เธอรู้สึกกับหนังสือทักษะเล่มนี้อย่างไร แม้ว่าเธอจะอ่านหนังสือทักษะเล่มนี้มาหลายวันแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้ฝึกฝนเลยแม้แต่ครั้งเดียว กระแสพลังที่อบอุ่นจากกำลังภายในที่ได้รับมาจากศาลเตี้ย A ยังคงขดตัวอยู่ในหน้าอกของเธอโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

จวบจนกระทั่งคืนนี้มาถึง

“โอ้ ฉีหยาน! ทำไมเธอถึงไม่ติดต่อเซียวเจิ้ง หลังจากที่ฉันแนะนำเขาให้กับเธอกันล่ะ? เขาไม่ใช่ลูกชายของป้าและลุง และแม้ว่าพวกเธอทั้งคู่จะใช้นามสกุลเดียวกัน แต่เขาถูกนำออกไปไกลจนไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” ป้าของฉีหยานตำหนิ “นอกจากนี้ เขายังเต็มใจที่จะมองข้ามความแตกต่างทางเพศ และสอนศิลปะการต่อสู้ในตระกูลให้กับเธอ เมื่อเธอแต่งงานกับเขาแล้ว นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยนะ! พ่อแม่ของเธอจะได้ไม่จำเป็นต้องไปขอร้องตาแก่เหล่านั้นอีกต่อไป” คำพูดของเธอทำให้ฉีหยานไม่พอใจ แต่ป้าของเธอก็ยงัคงพูดต่อไป “พวกเราไม่มีใครสามารถทนที่จะเห็นเธอถูกตระกูลปฏิบัติเช่นนี้ได้อีกต่อไป ไม่ใช่ว่าฉันพยายามจะรบกวนเธอนะ แต่ผู้หญิงอย่างเธอไม่ควรหัวแข็งเหมือนกับวัวเช่นนี้อีกต่อไป! อย่าให้ความสำคัญกับความสำเร็จมากนัก ท้ายที่สุดแล้วเธอจะทำอะไรได้? ุถึงแม้ว่าเธอจะได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ก็ตาม แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะสามารถเอาชนะผู้ชายในการต่อสู้ได้ใช่ไหม?”

‘ฉันว่าฉันไม่เคยขอความช่วยเหลือจากป้านะ แต่ทำไมป้าถึงเป็นกังวลเรื่องของฉันมากจังเลย?’ ฉีหยานได้แต่บ่นอยู่ภายในหัวของเธอ แต่เธอต้องฝืนบังคับให้ตัวเองหัวเราะเบาๆเพื่อแสดงความรู้สึกของเธอออกมา ชายคนดังกล่าวเป็นหลานชายของลุงสองของเธอ แต่เขาถูกเลี้ยงดูโดยป้าและลุงของเธอ ราวกับว่าเขาเป็นเหมือนลูกชายแท้ๆของพวกเขา เขาเป็นคนขี้เกียจและน่าเกลียด แถมยังมีบุคลิกที่ต่ำและน่าเบื่อมากอีกด้วย

ถ้าศาลเตี้ย A เป็นท้องฟ้า งั้นผู้ชายคนนี้คงจะเป็นไส้เดือนที่อาศัยอยู่ใต้ดิน ถึงแม้ว่าการใช้คำพูดของศาลเตี้ย A จะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่อย่างน้อยเขาก็มีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้ แถมยังมีใบหน้าที่เหล่าเหลา คุณจะรู้สึกสบายใจเมื่อคุณเห็นเขา คุณอาจมีความสุขที่อธิบายไม่ได้เพียงแค่ได้มองดูเขา! ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่ได้เป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและน่ารำคาญเลย เขาไม่ได้ทำตัวเหมือนคนส่วนใหญ่เมื่อพวกเขาเห็นเธอ ที่ชอบแสดงออกเหมือนกับนกยูงทุกครั้งเมื่อเธออยู่ใกล้ๆ พวกเขาทำตัวน่ารำคาญอย่างมาก และชอบมาติดหนึบเธอเหมือนกับหมากฝรั่ง

ป้าสองของเธอเป็นคนประเภทที่ไม่ยืดหยุ่นเหมือนกับคนทั่วไป เมื่อใดก็ตามที่เธอพูดเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ เธอจะนึกถึงแต่นักฆ่าโบราณ, วีรบุรุษ และคนที่เธอชื่นชอบเท่านั้น ป้าของเธอไม่เคยนึกถึงเลยว่า ศิลปะการต่อสู้นั้นมีประโยชน์มากที่สุดเมื่อใช้กับเครื่องมือ และเทคโนโลยีในปัจจุบัน

หลังจากที่ฉีหยานพยายามบังคับให้ตัวเองหัวเราะอย่างหนัก จนป้าสองที่มีน้ำใจอย่างมากเดินจากไป ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างและเริ่มฝึกฝน เธอสามารถเลือกที่จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นี้ในเวลากลางคืนที่มืดมิดได้เสมอ! ลองคิดดูสิว่า คืนนี้เป็นคืนที่มีเมฆหนาจนบดบังดวงจันทร์ และไม่มีแม้แต่แสงดาวที่สาดส่องลงมา ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นแม้แต่มือที่เหยียดออกไปในความมืดมิดของเธอได้ หลังจากที่เธอสามารถฝึกฝนทักษะ กำลังภายในขั้นพื้นฐาน: การเกร็งพลังครึ่งก้าว และใช้มันเพื่อสร้างรายได้ได้แล้วล่ะก็ จากนั้นเธอจะสามารถซื้อตึกเป็นของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดของเธอและทุกคนได้ทันที

หลังจากที่เธอได้ยืนยันความมุ่งมั่นของตัวเองแล้ว ฉีหยานก็กัดฟันของเธอแน่นด้วยความโกรธ ‘ไอบัดซบศาลเตี้ย A เอ๊ย!’ เธอคำรามอยู่ภายในใจของเธอ ‘อย่าให้ฉันรู้ว่านายมีเจตนาแอบแฝงที่สอนศิลปะการต่อสู้นี้ให้กับฉันนะ!’

////

[คุณได้รับค่าความโกรธจากฉีหยาน ค่าความโกรธแถมที่ 3 ถูกเติมเต็ม 80%]

ฟางหนิงที่กำลังอ่านนิยายออนไลน์อยู่ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ เขาจึงขยับความสนใจออกไปจากข้อความชั่วคราว เพื่อดูสภาพแวดล้อมภายนอกผ่านมุมมองของระบบ ‘อ่า ระบบกำลังจะไปฟาร์มยังบริเวณพื้นที่ของตระกูลฉี’ เขาจะต้องเฝ้ารออีกกี่วันกันนะ? ด้วยความเป็นธรรม เขาจึงไม่สามารถตำหนิในความโกรธของฉีหยานได้ มันเป็นเพราะระบบได้ให้หนังสือทักษะที่ไร้ยางอายแก่เธอไป เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาจึงไม่แปลกใจถ้าผู้หญิงคนนั้นจะสาปแช่งระบบทุกครั้งที่เธอทำการฝึกฝน

เขาได้ลองอ่านสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือทักษะนั้นแล้ว และข้อกำหนดสำหรับการฝึกฝนการเกร็งพลังครึ่งก้าวนั้นก็แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก มันแตกต่างจากวิธีการฝึกสมาธิแบบปกติทั่วไป โดยทักษะนี้ต้องฝึกโดยการไหลเวียนพลังงานที่บริเวณรอบจุดฝังเข็มตรงหน้าอก และต้องการให้บุคคลนั้นทำการเด้งหน้าอกอย่างรวดเร็วในระหว่างการฝึก ยิ่งทำการเด้งหน้าอกเร็วมากขึ้นเท่าไร พลังงานที่สำคัญก็จะยิ่งไหลเวียนภายในร่างกายได้มากขึ้นเท่านั้น มันจะไม่เป็นปัญหาถ้าหากคนฝึกนั้นเป็นผู้ชาย แต่เมื่อคนฝึกเป็นผู้หญิง มันก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ สำหรับผู้คนที่พบเห็นเธอตอนฝึกฝนอยู่

สำหรับฉีหยาน นี่เป็นความตั้งใจของศาลเตี้ย A ที่จะทำให้เธอตกอยู่ในความลำบากใจ เพื่อไม่ให้เธอหยิ่งผยองในทักษะศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเธอ

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในไม่กี่ตระกูลที่ดำรงอยู่ในเมืองฉี และยังคงรักษาความเป็นอยู่มาได้จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ทำให้ตระกูลฉีฝังรากลึกลงไปทั่วทุกพื้นที่ และกิ่งก้านของตระกูลก็ได้แยกย้ายกระจายไปทั่ว พวกเขาสะสมทรัพยากรจนมากเพียงพอ เพื่อที่จะโดดเด่นในยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ ยาที่เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ ได้เสริมสร้างความผูกพันให้กับสมาชิกภายในตระกูลขึ้นมาอีกครั้ง และการรวมตัวของตระกูลในอดีตที่มีแค่เพียงปีล่ะครั้ง แต่ในตอนนี้กลับมีจำนวนครั้งเพิ่มขึ้น

และในการรวมตัวเหล่านั้น ก็จะมีคนที่โอ้อวดพลังพิเศษหรือศิลปะการต่อสู้ของพวกเขา หรือบางคนอาจจะอวดผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ ถึงแม้ว่าฉีหยานจะดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบเมื่อเธอเห็นพวกเขาโอ้อวด แต่เธอก็อิจฉาสมาชิกในตระกูลของเธอมากเช่นกัน สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ ถึงแม้ว่าจะมีดวงตาที่อิจฉาริษยาในสถานะที่สูงขึ้นของพวกเขา แต่เบื้องหลังยาที่เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ก็ได้ดึงดูดบุคคลที่มีพลังพิเศษบางคน ที่ชอบทำผิดกฎหมายเข้ามาด้วยเช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ระบบมักจะปักหลักสแตนด์บายรออยู่รอบๆพื้นที่นี้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอได้พบกับศาลเตี้ย A

ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าศาลเตี้ย A ได้ปรากฏตัวขึ้นอยู่รอบบ้านของเธอด้วยการปลอมตัว และเตรียมพร้อมสำหรับการลงมือ ระบบไม่ได้มาเพื่อหาหญิงสาว แต่มาเพื่อฟาร์มเลเวลเท่านั้น

ทุกวันนี้ ข่าวลือและข่าวสารต่างๆได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ทางการได้เพิ่มกำลังพลมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเหล่าอาชญากรทั่วไปจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรที่ผิดกฏหมาย แน่นอนว่าในบรรดาผู้คนจำนวนมากที่ได้ถูกปลุกพลังขึ้นมา จะคนที่มีความกล้าในการก่ออาชญากรรมอยู่ เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ และแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่น ผู้รักษาสันติภาพธรรมดาไม่สามารถรับมือกับอาชญากรเหล่านี้ได้ และหน่วยกิจการพิเศษในท้องถิ่น ก็ยังไม่มีความสามารถมากเพียงพอที่จะครอบคลุมประชากรเกือบล้านคนในเมืองฉีได้

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งระบบที่แสนขยันคนนี้ลงได้ กลวิธีของมันสะอาดหมดจดและไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เพราะมันจะไม่เสียเวลาในการซักถามอาชญากรแม้แต่คำเดียว ยกเว้นการพูดไร้สาระบางอย่างก่อนที่มันจะลงมือ ที่สำคัญคือ มันใช้เวลาลงมือเพียงไม่นาน แค่เพียงหนึ่งฝ่ามือก็สยบเหล่าอาชญากรได้แล้ว ดังนั้นระบบจึงลงมือจัดการเหล่าอาชญากรอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในเมืองฉี และแม้ว่าจะไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่ความปลอดภัยของเมืองฉีก็เพิ่มมากขึ้น

สถานการณ์เหล่านี้ทำให้คนส่วนใหญ่ตื่นตัว และเปลี่ยนความคิดของพวกเขาในการก่ออาชญากรรม และประกาศความตั้งใจของพวกเขาที่จะเข้าร่วมโครงการฟื้นฟูและปรับทัศนคติของยุคใหม่นี้

เมื่องอื่นๆที่คล้ายกัน ไม่ได้มีความราบรื่นเหมือนกับเมืองฉี ด้วยจำนวนประชากรและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายกัน และการขาดแคลนกำลังคนในสำนักงานกิจการพิเศษที่เหมือนๆกัน ทำให้เมืองเหล่านี้ต้องเผชิญกับความโกลาหลที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับเมืองฉี เห็นได้ชัดว่าเมืองฉีได้รับการยอมรับและรางวัลมากมาย และยังได้รับการขนานนามว่า เป็นเมืองต้นแบบสำหรับการจัดการความปลอดภัยสาธารณะในยุคใหม่นี้

น่าเศร้าที่เรื่องนี้ส่งผลให้อัตราการฟาร์มเลเวลของระบบต่ำลง ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ระบบได้จัดการกับอาชญากรเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้ว่าระบบจะเดินทางตั้งไกลเพื่อไปจัดการแล้วก็ตาม สิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการมุ่งเน้นในการเล่นเกมของฟางหนิง ทำให้ฟางหนิงต้องพยายามปลอบใจระบบ โดยเขาบอกระบบว่า เมื่ออาวุธสวรรค์สร้างเสร็จแล้ว พวกเขาจะสามารถดึงดูดเหล่าอาชญากรได้อีกครั้ง และจะไม่เสียเวลาเปล่าเช่นนี้อีก เมื่อมันสามารถฟาร์มได้อย่างต่อเนื่อง ประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งของมันจะต้องเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังต้องการค่า EXP เพิ่มเติมในการสร้างอาวุธสวรรค์

ในความพยายามที่จะได้รับ EXP มากพอต่อการสร้างอาวุธสวรรค์ ระบบได้เลื่อนการอัพเลเวลออกไปอย่างจงใจ หลังจากที่ระบบไปถึงเลเวล 10 แล้ว ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น มันคงอัพเลเวลไปนานแล้ว! ไม่มีคำถามว่าทำไมระบบจึงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

เนื่องจากมันหาอาชญากรไม่พบ ระบบจึงไม่มีทางเลือกนอกจากซุ่มรออยู่ตรงบริเวณที่มีอัตราการก่ออาชญากรรมสูง และเฝ้ารอพวกมันเท่านั้น ซึ่งตระกูลฉีเป็นหนึ่งในจุดตั้งแคมป์ และวันนี้ระบบก็ได้กลับไปยังจุดที่ตั้งแคมป์ของตระกูลฉีอีกครั้ง แน่นอนว่าเมื่อระบบอยู่ในโหมดสแตนด์บาย มันจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาจ้องมองแผนที่ระบบ มันจึงใช้ทุกวินาทีที่มีค่าในการนั่งสมาธิแทน

บังเอิญฟางหนิงกำลังโดนดุจากเกมเมอร์มืออาชีพ เนื่องจากเขาไม่โผล่หัวเข้าเกมมาซักที และทำให้คนอื่นๆภายในทีมตาย ตอนนี้เขาไม่มีความกล้าพอที่จะกลับเข้าสู่เกมนั้นอีกต่อไป และเนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมองหาเกมอื่นๆเล่นต่อ ฟางหนิงจึงได้หันมาใช้ชีวิตของเขาผ่านการอ่านนิยายแทน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินประกาศของระบบ เขาก็พร้อมที่จะออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ และถ้าเขาโชคดี เขาก็อาจจะได้เห็นวิวสวยๆในช่วงเวลานั้นก็ได้!

ระบบกำลังยืนอยู่บนอาคารที่สูงที่สุด ตรงทางแยกใกล้กับคฤหาสน์ของตระกูลฉี มันเป็นระเบียงของอาคารสามชั้น และบ้านพักทุกหลังในทางแยกที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ต่างถูกครอบครองโดยตระกูลฉีทั้งหมด บ้านพักเหล่านี้เป็นบ้านพักเก่า และมีสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ทุกคนรู้ว่ามันหมายถึงอะไร เมื่อบ้านเก่าเหล่านี้รอดพ้นจากความทันสมัยของเมืองที่มีประชากรหนาแน่นอย่างเมืองฉีมาได้

ในไม่ช้าฟางหนิงก็สามารถค้นหาฉีหยานเจอผ่านมุมมองของระบบ ตอนนี้เธออยู่ที่ลานบ้าน และมีท่าทางลุกลี้ลุกลน

รีวิวผู้อ่าน