px

เรื่อง : the city of terror เมืองแห่งความหวาดกลัว
Chapter 4 เสี่ยงฆ่า


Chapter 4 เสี่ยงฆ่า

ในตอนนี้หนอนได้ชักดิ้นชักงอขดตัวอยู่บนพื้น

เว่ยเฉียวเฟ่ยรู้สึกตกใจมาก  เขาคิดว่ามันจะระเบิดอีกหรือไม่  เพราะถ้าหากเขาโดนโจมตีอีกครั้งเข้า เขาอาจจะไม่มีแรงยืนหรือทำอะไรได้อีกแล้ว

ขณะที่หนอนกำลังดิ้นรน เว่ยเฉียวเฟ่ยก็ไม่ได้เอาแต่ยืนมองอย่างสะใจ เขาพยายามจะโรยเกลือใส่แผลมันทุกครั้งที่มันหยุดดิ้น จนทำให้มันทรมานต่อไปเรื่อยๆ

แผลของมันไม่อาจจะสมานได้ถ้าหากยังโดนเกลืออยู่เรื่อยๆแบบนี้ สีของมันเปลี่ยนไปมา จากสีฟ้ากลายเป็นสีฟ้าเขียวไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งก่อนที่เกลือของเว่ยเฉียวเฟ่ยใกล้จะหมด หนอนมันก็หยุดเคลื่อนที่

ลักษณะของมันในตอนนี้แตกต่างกับเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง มันดูคล้ายๆกับศพที่แห้ง สีของมันที่ฟ้าสดใสก็กลายเป็นฟ้าเขียวเน่าๆ และน้ำเมือกฟ้าเขียวนี้ก็กระจายอยู่เต็มพื้น

สภาพมันเหมือนกับอึที่ถูกหมักทับถมมาสองวัน

อย่างไรก็ตาม เว่ยเฉียวเฟ่ยที่เคยเป็นทหารเก่า เขาไม่รู้สึกอะไรกับกลิ่นเน่าพวกนี้

ค่าสเตตัสในหัวของเขาได้เปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่เขายังไม่มีอารมณ์ที่จะดูมัน ในตอนนี้เขาพยายามจะหากิ่งไม้เพื่อมาเขี่ยหนอนตัวใหญ่นี้

เมื่อเห็นว่าหนอนมันไม่มีอาการอะไรตอบโต้ เขาก็เริ่มมั่นใจว่ามันตายจริงๆแล้ว

เว่ยเฉียวเฟ่ยเริ่มจะผ่อนคลาย ทุกความเหนื่อยล้าทำให้เขาหมดแรงและนั่งลงเฉยๆ

อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งผ่อนคลายเฉยๆ

ในตอนนี้มีหนอนตัวใหญ่แค่ตัวเดียว แต่มันก็โอกาสที่จะมีเพิ่มแน่ๆ มันจะมาตอนไหนก็ไม่รู้

เขาต้องรีบกลับไป! เขาต้องรีบไปหาที่ที่มองเห็นทุกอย่าง

เมื่อเขาคิดได้แบบนี้เขาก็พยายามจะลากสังขารตัวเองเพื่อกลับไปยังหอพัก แค่ทว่า เขาได้กลิ่นบางอย่าง

กลิ่มนี้มันหอมแปลกๆ มันกลิ่นคล้ายๆกับเนื้อที่สุก

เว่ยเฉียวเฟ่ยทนไม่ไหวจึงได้ตามกลิ่นนั้นไปพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกๆ

กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่หอมมากทีเดียว เขาทำจมูกเหมือนสุนัขและดมไปเรื่อยๆ

กลิ่นเหม็นจากซากศพของหนอนตัวใหญ่นี้ทำให้เขาได้กลิ่นของเนื้อย่างได้ง่ายขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พบว่ากลิ่นหอมนี้มันมาจากในซากของหนอนตัวใหญ่

ในความเป็นจริงเขาแทบจะอ้วกทันทีเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ซากศพของหนอน

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ย่อท้อที่จะหากลิ่นหอมนี้

เขายื่นมือออกไปเพื่อเขี่ยหนอนตัวใหญ่ แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่าหากไม่มีมีดแล้ว แล้วเอามือไปเขี่ยมัน จะเกิดอะไรขึ้นมั้ย? ถึงแม้ว่ามันจะตายแล้วแต่ผิวหนังมันก็ยังเป็นกรดเหมือนเดิมรึเปล่า?

เขาจึงนำไม้มาเขี่ยแทน และเขาก็โชคดีมาก เขาได้เขี่ยไปเจอมีดที่เขาทำติดไว้ในตัวของมัน

แต่เอาจริงๆแล้ว หลังจากที่มีดโดนกัดกร่อน มันก็แทบจะไม่ใช่มีดอีกต่อไปแล้ว

มันโดนกัดจนเหลือขนาดเพียง10เซนติเมตรเท่านั้น

เขาเช็ดมันด้วยผ้าอย่างพิถีพิถัน เขาลองเอามีดมาตรวจสอบ ซึ่งปกติมันต้องเบาลงและใช้การไม่ได้ จนเขาต้องตกใจมาก

เพราะมีดที่เล็กลงแต่มันกลับหนักขึ้น และมีความมันวาวสูงมากด้วย

เห็นได้ชัดเลยว่านี่มันอธิบายได้ยากมาก

เว่ยเฉียวเฟ่ยไม่มีเวลามาก เขาจึงหาเศษไม้อีกอันมาพันกับมีดด้วยเศษผ้า

หลังจากนั้นเขาก็ใช้มีดที่ประยุกต์มาใหม่นี้กรีดซากหนอนทั้งตัวโดยต้องทนกลิ่นเน่าๆนี้

เว่ยเฉียวเฟ่ยรู้สึกเหนื่อยมากกับการนั่งดมกลิ่นเน่าๆนี้

หลังจากนั้นเขาก็อดกลั้นกับกลิ่นอีกครั้งและใช้เศษไม้เขี่ยรอบๆตัวหนอน

เอ่อ?

อะไรกันเนี่ย?

เว่ยเฉียวเฟ่ยดึงก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากตัวหนอน ก้อนเนื้อนี้มันติดอยู่กับกล้ามเนื้อสีน้ำเงิน เขาสังเกตได้ว่ามันเชื่อมอยู่กับเสาอากาศบางอย่าง และเมื่อเขาลองดึงแต่เสานี้มันก็จะส่งประกายไฟออกมา

เอ่อ? ก้อนเนื้อนี่มันผลิตกระแสไฟฟ้างั้นหรอ?

มีสัตว์ไม่กี่ชนิดบนโลกที่ผลิตกระแสไฟฟ้าแบบนี้ได้ อย่างเช่นปลาไหลไฟฟ้า ซึ่งปลาไหลไฟฟ้านี้สามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 650โวลต์ในการช็อตศัตรูของมัน

อย่างไรก็ตามก้อนเนื้อนี่มันต่างออกไป มันแข็ง และโปร่งใส เขาจึงดูใกล้เข้าไปอีก และก็ลองดม เขาพบว่ามันกลิ่นหอมเหมือนเนื้อจริงๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากลิ่นหอมที่เขาตามหาอยู่มันมาจากไหน

หลังจากที่เขาเก็บก้อนเนื้อนี้ไปแล้วเขาก็ลองเขี่ยไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่พบอะไรแล้ว เขาจึงกลับไปยังร้านเล็กๆ เพื่อหยิบกระเป๋าและกลับ

ก่อนที่เขาจะกลับ เขาก็เดินไปดูที่ที่ชายคนนึงถูกไฟช็อตตาย

ร่างกายของเขาดำไหม้เละมาก เห็นได้ชัดว่าเขาตายแล้วแน่ๆ

เว่ยเฉียวเฟ่ยถึงกับหมดคำพูดกับสิ่งที่เห็น

สิ่งที่สำคัญที่จะต้องรู้ก็คือความต้านทานไฟฟ้าในอากาศมีสูงมาก แต่ในปัจจุบันมันลดลง จนทำให้โดนไฟฟ้าช็อตที่นึง แรงได้ถึง 10,000โวลต์

รีวิวผู้อ่าน