px

เรื่อง : เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god) ฉบับแปลใหม่ !!!
ตอนที่ 8 ความพินาศ


Chaotic Sword God ตอนที่ 8 ความพินาศ

 

เจียงหยางหมิงเยว่จ้องมองเจี้ยนเฉินที่นิ่งเงียบ นางกระพริบตาเป็นเวลาไม่นาน จากนั้นนางเดินไปจับไหล่และเอ่ยว่า “น้องสี่อย่าได้เสียใจไปเลย ถ้าในอนาคตมีใครกล้ารังแกเจ้า บอกพี่สาวคนนี้ และข้าจะจัดการกับพวกมันเอง” เจียงหยางหมิงเยว่คิดว่าเจี้ยนเฉินนั้นเสียใจเพราะว่าเขานั้นพิการ และเขาไร้ความสามารถที่จะปกป้องตัวเองจากคนที่เยาะเย้ยเขา

ได้ยินหมิงเยว่กล่าวเช่นนั้น เจี้ยนเฉินก็จนปัญญา ได้แต่ผงกหัวขึ้นและส่งยิ้มไปยังเจียงหยางหมิงเยว่ “อย่ากังวล พี่รอง ข้าไม่ได้ถูกรังแกได้ง่ายดายนัก”

เพียงไม่นานเจี้ยนเฉินก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก เหตุที่เขาไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียน มันเนื่องมาจากความจริงที่ว่าเขาไม่เคยประสานพลังเซียนเข้าสู่เซลล์ร่างกายของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้น แกนพลังงานเขาจึงยังคงว่างเปล่าไม่ต่างกับเปลือกหอย ด้วยไม่มีพลังเซียนในร่างกายของเขา ถ้าเขาไม่ได้ฝึกฝนตามวิธีของเขา จากนั้นแล้วผลการทดสอบพลังเซียนจะคงมีผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากนี้

โชคร้ายที่เจี้ยนเฉินไม่อาจอธิบายเหตุการณ์นี้ต่อหน้าคนอื่น แม้ว่าเขาต้องการอธิบาย เขาจะไม่อาจอธิบายเกี่ยวกับวิธีนี้ได้เลย เท่านั้นไม่พอที่ถ้าเขาพูดเกี่ยวกับบัญญัติกระบี่นภา จากนั้นเจี้ยนเฉินกลัวว่าทั้งเคล็ดวิชาและตัวเขาจะกลายเป็นปัญหาใหญ่

แม้ว่าเจี้ยนเฉินเข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้ ฐานะของเขาในตระกูลตกต่ำยิ่งนัก เขาไม่สนใจอะไรทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และลึก ๆ แล้วเขาต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เขาคิดว่าถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในอนาคต ยามเขาจะออกไปจากคฤหาสน์คงง่ายกว่านัก ถ้าเขายังคงถูกขนามนามว่าอัจฉริยะ การออกจากคฤหาสน์จะไม่ง่ายนัก และอย่างน้อยที่สุดเขาไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากใคร พวกเขาจะเพิกเฉยยามเมื่อเขาออกจากคฤหาสน์

“เซียงเอ๋อ...เซียงเอ๋อ” เสียงเรียกดังมาจากเตียง ในที่สุดมารดาของเจี้ยนเฉินก็ได้ตื่นขึ้น

หลังจากที่ได้ยินมารดาเรียกชื่อ เจี้ยนเฉินก็ดึงความคิดกลับมาทันที ทันใดนั้นเขาเดินไปรอบ ๆ และมองดูที่นาง “ท่านแม่ ลูกอยู่ที่นี่ ท่านแม่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ ? ”

ไป๋หยุนเทียนจ้องมองอย่างซับซ้อนและพูดอย่างร้อนรน “มารดาของเจ้าสบายดี แต่เซียงเอ๋อ... อ่า...” ขณะที่กล่าว บนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นมา ทั้งความเศร้าโศก ความเสียใจและแม้กระทั่งความเจ็บปวด

“น้องสี่ อย่าได้สนใจปัญหานี้มากนัก เซียงเทียนมีความชาญฉลาดตั้งแต่เกิด แม้จะน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ แต่ในความคิดของข้า เซียงเทียนไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากทั้งหมดแล้ว ข้าก็ยังไม่เห็นคนในตระกูลคนไหนฉลาดไปกว่าเขาเลย” ไป๋ยู่ซวงยังคงเอ่ยปลอบใจแก่ไป๋หยุนเทียนที่ยังคงเศร้าสลด

ไป๋หยุนเทียนยกศีรษะของนางขึ้นช้า ๆ “ข้าเข้าใจความข้อเท็จจริงนี้ดี” นางต้องมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างอ่อนโยน เริ่มหันไปลูบศีรษะด้านหลังอย่างทะนุถนอม “เซียงเอ๋อ เจ้าอย่าได้เสียใจ ป้าสองของเจ้ากล่าวได้ถูกต้อง แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียน เจ้ายังคงฉลาดกว่าเด็กคนอื่นนัก เพียงแต่พวกเรายังไม่ทราบสิ่งที่เหมาะสมกับเจ้าเท่านั้น”

เจี้ยนเฉินรู้สึกลังเลใจ เมื่อได้ยินมารดากล่าวเช่นนั้น แม้ว่ามารดาเขาจะฟื้นขึ้นมา เขากลับไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ในความเป็นจริง เขาต้องการที่จะบอกกับทุกคนในที่นี้ โดยเฉพาะกับมารดาของเขา เขาต้องการที่จะบอกว่า เขาไม่ใช่คนพิการ เขาไม่ใช่ว่าไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ แต่เจี้ยนเฉินเลือกที่จะอดทนอดกลั้น “ท่านแม่อย่ากังวลไป ลูกจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”

เขาใช้เวลาหลังจากนั้นทั้งวันโดยการขลุกอยู่บนเตียงของมารดาเขาตลอดก่อนที่จะจากไปในยามกลางคืน เจียงหยางป้าไม่ได้ลดความสนใจในภรรยาของเขา แต่เขาจะจากไปอย่างรวดเร็วเมื่อเจี้ยนเฉินเข้ามา ทัศนคติของเจียงหยางป้าแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ ด้วยเวลาที่ผ่านไปทีละน้อย ทำให้เจี้ยนเฉินกระจ่างชัดว่าเจียงหยางป้าเลิกให้ความสนใจเขา เจี้ยนเฉินก็ยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น 

ผ่านไปชั่วพริบตา สี่ปีหลังจากที่การทดสอบพลังเซียนของเจี้ยนเฉิน ระหว่างวันที่เขาไม่ได้ยุ่ง เจี้ยนเฉินจะปิดปากเงียบอยู่ในห้องและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ผลการฝึกฝนในตอนนี้ เมื่อพิจารณาจากที่มันยาวนานกว่าในอดีต ยาวนานมาก เจี้ยนเฉินจะไม่ได้ออกไปจากห้องของเขาตลอดวัน

ในสี่ปีนี้ ฐานะของเจี้ยนเฉินในตระกูลตกต่ำลงไปอย่างมาก ขณะที่ทุกคนคาดว่า เจียงหยางป้าคงทอดทิ้งเขาอย่างเลือดเย็น และไม่มีใครอยากจะมีปัญหาด้วยการเข้าหาเขา มันต่างจากมารดาของเขาเป็นอย่างมากที่นางยังคงเอาใจใส่เขาอยู่ทุกวัน นางยังคงมอบความรักให้เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เช้าวันหนึ่ง เจี้ยนเฉินเปิดตาของเขาขึ้นช้า ๆ จากขาที่ไขว้กัน แสดงให้เห็นว่าเขาฝึกสำเร็จในคืนนี้ ทันทีที่ยืดแขนทั้งสองข้างลูกบอลแสงทรงกลมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาโยนลูกบอลที่สวยงามไปมากลางอากาศ และดูมันร่วงลงบนพื้นและมาหยุดที่มือทั้งสองของเขา

มันฟังดูไม่เลวเลย เจี้ยนเฉินปรบมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของเขาราวกับว่าเขาได้รับโล่ห์รางวัลและเริ่มต้นวิดพื้นบนพื้นที่อ่อนนุ่ม บางครั้งศีรษะของเขาได้โน้มต่ำจนแทบจะจูบพื้นดินได้ และได้ฝากรอยเท้าไว้บนพื้นดินหลังจากนั้น

จ้องมองไปถึงสิ่งที่เขาทำมาอย่างหนักด้วยรอยยิ้มมีความสุข เจียงเฉินหัวเราะ ครึ่งปีหลังจากการทดสอบพลังเซียน เจี้ยนเฉินก็ได้บรรลุขั้นแรกของบัญญัติกระบี่นภาเป็นที่เรียบร้อย นั่นจึงหมายความว่าเขาจะเริ่มบ่มเพาะพลังเซียนโดยไม่ต้องซึมซับมันเข้ามาในร่างกาย การบ่มเพาะพลังจึงเป็นไปด้วยอัตราที่เร็วมาก ด้วยความเร็วเช่นนี้ ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาก็ก้าวไปอย่างน่าประหลาดใจ ขณะที่ในตอนนี้ เขาสามารถใช้พลังเซียนที่อยู่ภายในตัวเขาเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เมื่อมือของเขาเหวี่ยงไปโดนหินก็ปราศจากผลกระทบ

ในช่วงเช้าหลังจากนั้น เจี้ยนเฉินเดินออกจากห้องของเขาและเดินไปรอบ ๆ คฤหาสน์เจียงหยางด้วยตัวคนเดียว แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้คุ้มกันเดินตรวจตราไปรอบ ๆ บริเวณนั้น ในเวลานั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป บางคนเยาะเย้ย ขณะที่บางคนมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม แต่เพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มองเขาด้วยความเห็นใจ ในความเป็นจริง เรื่องที่เจี้ยนเฉินพิการเป็นความลับที่รู้กันเพียงแค่ในตระกูลเท่านั้น และแม้กระทั่งเหล่าผู้คุ้มกันก็ยังมองเขาด้วยสายตาที่แตกต่างไป

แต่เจี้ยนเฉินเลือกที่จะมองข้ามพวกเขา ท้องของเขาร้องขึ้นด้วยความหิว และด้วยเหตุนี้เจี้ยนเฉินเลือกที่จะถอนหายใจเล็ก ๆ เวลานี้เขาต้องการไปยังห้องครัว

มันก็ยาวนานมาแล้ว ตั้งแต่ที่เขาไปเป็นเพื่อนกับมารดาของเขามื้อเย็นในห้องโถงด้วยกันกับทุกคน ทุกวันนี้ เขาจะไปห้องครัวด้วยตัวเขาเพื่อที่จะกินอาหารเช้า และมีเพียงมื้อเที่ยงและเย็นที่เขาจะร่วมทานกับมารดาและบางครั้งก็มีป้าของเขาร่วมด้วย

เมื่อเจี้ยนเฉินเดินไปถึงห้องครัว ข้ารับใช้นับร้อยวิ่งตรงมา ในโรงครัวนึ้ค่อนข้างใหญ่แต่วุ่นวาย เมื่อยืนขึ้นจะได้กลิ่นควันไฟจากหม้อน้ำ

“โอ้ ! นั่นมันนายน้อยสี่มิใช่หรือ? นายน้อยสี่มายังห้องครัว ไฮ้ นี่มันไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมนักกับนายน้อยเลยนะ โรงครัวแห่งนี้มันเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ชั้นต่ำ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ? ” เสียงเอ่ยนั้นมาจากชายรับใช้ที่อายุราว 20 ปี เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลก มันชัดเจนว่าพวกมันมีเจตนาที่จะเยาะเย้ยเจี้ยนเฉินอย่างแม้จริง

เสียงคนอื่น ๆ ดังขึ้นหลังจากบ่าวรับใช้คนแรกกล่าวจบ “ถ้าความสงสัยของข้าถูก นายน้อยสี่มารับหมั่นโถว แต่มันน่าแปลก ทำไมนายน้อยสี่ถึงไม่ทานอาหารที่ห้องโถงล่ะ เขาต้องมาผิดที่เป็นแน่  และหากต้องการหมั่นโถวจากครัว หมั่นโถวนี้มีจำนวนเพียงพอสำหรับบ่าวรับใช้และผู้คุ้มกันเท่านั้น!” หลังจากนั้นบ่าวรับใช้อายุ 30 ปีก็ยิ้มเยาะไปทางเจี้ยนเฉิน

นอกเหนือจากชายสองคนกล่าว บ่าวรับใช้คนอื่นก็เริ่มจ้องมองด้วยความสนใจ ทั้งคู่ต่างมีต่างมีระดับสูงด้วยกันทั้งนั้น เช่น ชายอายุ  20 ปี ไม่เพียงแต่เขาถูกแนะนำมาโดยฮูหยินใหญ่ของเจียงหยางป้า หลิงหลง แต่เขายังเป็นบ่าวรับใช้ของป้าใหญ่ของเจี้ยนเฉินด้วย มีข่าวลือเกี่ยวกับการที่ว่าจ้างเขานั้น เป็นเพราะความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่เพราะว่าร่างกายของเขาขาดพลัง เขาจึงทำงานอยู่แต่ในครัวเท่านั้น

ชายอายุ 30 ปี ที่ซึ่งพูดเป็นคนที่สอง พี่ชายของเขาเป็นถึงหัวหน้าของผู้คุ้มกันในคฤหาสน์เจียงหยาง

ได้ยินเสียงของบ่าวรับใช้สองคนเยาะเย้ยเขา เจี้ยนเฉินทำเพียงแค่ตวัดสายตาที่มีประกายของความโกรธ มันเต็มไปด้วยการตำหนิ เขาเคลื่อนไหวไปยังหม้อนึ่งหม้อใหญ่และใช้มือของเขาหยิบหมั่นโถวออกมาทันที

“ข้าควรจะนำหมั่นโถวไปให้ผู้คุ้มกันในตอนนี้ ผู้คุ้มกันคงจะไม่กินมันหลังจากนี้” เสียงกระซิบข้าง ๆ ตะกร้า บ่าวรับใช้นิ่งงัน ”อายอะไรกัน ฮูหยินสี่สี่ยังให้กำเนิดลูกชายที่ไม่ต่างอะไรจากเศษสวะเลย”

จากก้าวที่เดินออกไป เจี้ยนเฉินนิ่งค้าง ท้ายที่สุดแล้ว ความโกรธของเขาก็แตกออกจากกัน โดยปราศจากคำพูด ขาของเขาก้าวอย่างรวดเร็วไปยังบ่าวรับใช้ที่ถือตะกร้าภายในไม่กี่วินาที เขายกกำปั้นขึ้นและชกมันลงบนหลังของบ่าวรับใช้

“ปัง!”

ทันใดนั้น ผู้คุ้มกันทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ บ่าวรับใช้ผู้ถือตะกร้าถูกส่งลอยกระเด็นไปยังพื้น ตะกร้าที่เขาถือมาตกลงบนพื้นด้วยดังโครมใหญ่ หมั่นโถวหล่นกระจายไปทั่วห้อง

ทุกคนในห้องครัวมองเห็นเหตุการณ์ที่ผิดคาดอย่างสิ้นเชิงด้วยความตระหนก มองเจี้ยนเฉินที่ยืนหยู่ ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น ไม่มีใครสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเจี้ยนเฉิน สำหรับนายน้อยสี่ที่อายุเพียง 7 ปีสามารถซัดชายอายุ 30 ปี ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวของเขา มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว แม้ว่าตะกร้าจะตกลงบนพื้นและอาหารก็กลายเป็นขยะ ทุกคนก็ยังคงมีสีหน้าไม่เชื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ชายซิ่วเอ้อเหลา ท่านทำให้ข้าแปลกใจ แม้ว่าท่านจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังเซียนระดับ 3 แต่ท่านกลับล้มลงด้วยหมัดเล็ก ๆ ของเด็กคนหนึ่ง ท่านมันก็ไม่ต่างอะไรกับสวะ ท่านใช้พลังงานไปกับผู้หญิงเมื่อคืนหมดแล้วหรือจึงได้อ่อนแอเช่นนี้ ?” มองดูบ่าวรับใช้ที่พื้น บ่าวรับใช้ที่พูดขึ้นคนแรกทำให้เจี้ยนเฉินสนุก และตอนนี้ เขาก็ได้ยินเสียงคำรามจากบ่าวรับใช้คนที่สอง

บ่าวรับใช้ที่ชื่อซิ่วเอ้อลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาจ้องมองเจียงเฉินด้วยความโกรธ คำพูดของบ่าวรับใช้ที่อายุน้อยกว่าส่งผ่านไปถึงหูเขา สำหรับเด็กอายุ 7 ปีซึ่งสามารถล้มเขาให้นอนกับพื้น และเด็กคนนั้นก็ไม่ต่างกับสวะที่ไม่สามารถบ่มเพาะพลัง นี่มันเกินกว่าที่คนทั่วไปจะยอมรับได้ และมันน่าอายสำหรับเขา หลังจากนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปถึงระดับอาวุธเซียน แต่เขาก็ยังเหนือกว่าพวกคนพิการมากนัก

เขาสั่นหัวด้วยความเดือดดาล แว่บหนึ่งซิ่วเอ้อลืมเลือนไปว่าเจี้ยนเฉินนั้นมีฐานะเป็นถึงนายน้อยสี่ ด้วยเสียงขู่คำราม เขากระโจนพุ่งเข้าไปหาเจี้ยนเฉินซึ่งยืนอยู่และชกหมัดนั้นไปยังช่วงท้อง

ดูหมัดของซิ่วเอ้อที่ใกล้จะประชิดตัว เจี้ยนเฉินมองอย่างดูถูก สำหรับเขา หมัดเช่นนี้ที่ถูกส่งมา มันเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดนานัปการ และเขากระโดดหลบหลีกมันได้อย่างไม่ยาก เจี้ยนเฉินยกขาของเขาขึ้นอย่างสวยงามและเตะไปที่จมูกของซิ่วเอ้อ

“อ่า!”

ซิ่วเอ้อพ่ายแพ้ เลือดของเขาไหลออกมาจากจมูก มันถูกปาดด้วยมือของมัน แม้ว่าเลือดจะไหลออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ขาของเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความปราณี จมูกของซิ่วเอ้อที่ถูกเตะแตกละเอียด ความเจ็บปวดอย่างฉับพลันส่งผลให้ใบหน้านั้นซีดเผือดทันที

รีวิวผู้อ่าน