px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 210 - จะมีสิ่งใดที่อยู่เหนือระดับขั้นสมบูรณ์แบบหรือไม่?


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 210 - จะมีสิ่งใดที่อยู่เหนือระดับขั้นสมบูรณ์แบบหรือไม่?

"รู้จักพวกเจ้าดื่มกินและพักผ่อนจนเสร็จสิ้น ข้าจะให้เยวี่ยเยวี่ยพาพวกเจ้าออกไปเดินดูรอบรอบ ส่วนตัวข้าคงมิได้เป็นคนพาพวกเราไปเดินดู ข้าคิดว่าควรปล่อยให้เด็กๆ อยู่กันตามลำพัง"หญิงสาวโฉมงามด้วยความเอ็นดู

"อ๋อ แล้วอีกอย่าง หลังจากนั้นข้าก็จะให้เยวี่ยเยวี่ยพาพวกเจ้าทั้งสองไปดูห้องพักของพวกเจ้า"หญิงสาวโฉมงามกล่าวเสริม

หลังจากดื่มกินกันอย่างมีความสุข ชางห่ายหมิงเยวี่ยก็พาชิงสุ่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ไปยังลานกว้าง ซึ่งมันเป็นสถานที่ที่เป็นไปด้วยสาระที่พักและตัวอาคารมากมายซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอพาพวกเขาไปหาที่พักผ่อน

"ท่านอาจา………"

"พี่สาวหมิงเยวี่ย………"

ชิงสุ่ยรู้สึกขำอยู่ภายในใจเมื่อได้ยินเสียงของห่าวหยุนลิ่วลี่ที่กำลังพูดจาติดขัด

ในที่สุดชิงสุ่ยได้เข้าพักภายในบ้านพักเล็กเล็กหลังหนึ่ง ในขณะที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยกำลังจะพาห่าวหยุนลิ่วลี่ไปพักอีกที่หนึ่ง

"เป็นอย่างไรบ้าง? วันนี้เจ้าอยากจะไปเดินดูรอบๆสถานที่แห่งนี้หรือไม่?"ชางห่ายหมิงเยวี่ยเปล่าถามขณะที่เธอมองชิงสุ่ย

"ช่างมันก่อนเถิด ค่อยไปวันพรุ่งนี้เช้าก็ยังได้ ตอนนี้ข้าคิดว่ามันช้ามากเกินไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่ง ข้าคิดว่าห่าวหยุนลิ่วลี่เองก็ต้องการเวลาพักผ่อนเพราะนางไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้วตลอดการเดินทาง" ชิงสุ่ยจ้องมองไปที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยขณะที่เขาตอบกลับ โชคชะตามันช่างน่าแปลกประหลาดนัก โลกหมุนเวียนพาเขามาพบกับเธอได้อย่างไร? แม้ว่าตอนนี้ คำว่าเพื่อนยังดูห่างไกลจากความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมากนะ ตั้งแต่ที่เขาพบเห็นเธอที่อยู่บนสัตว์อสูรแร้งอัสนีปีกทองคำ ชิงสุ่ยก็ไม่เคยคาดหวังในว่าเขาจะได้มีโอกาสพูดจาโต้ตอบกับเธอ

โลกเก้ามหาทวีปประกอบขึ้นจากแผ่นดินผืนใหญ่มโหฬารมากมาย ดังนั้นการที่คนแปลกหน้าสองคนจะได้เจอะเจอกันนั้นแทบเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ นั่นจึงทำให้ชิงสุ่ยคิดว่าเขาคงไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับเธอ ดังนั้นเขาจึงตราตรึงความทรงจำของเธอไว้ในใจและให้ค่อยซึมซับมันอย่างช้าๆตลอดมา

"ก็ดี ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะจัดเตรียมห้องให้กับเจ้าเอง"ชางห่ายหมิงเยวี่ยดึงมือของห่าวหยุนลิ่วลี่เข้าไปในบ้านพักของชิงสุ่ย

หลังจากที่ชิงสุ่ยตกตะลึงในคำพูดเหล่านั้น ขอก็รีบตามพวกเธอทั้งสองเข้าไปในห้องพัก ภายในห้องพักแห่งนี้มีขนาด 2 ชั้น ภายในชั้นแรกส่วนประกอบด้วยห้องนั่งเล่นและห้องพักผ่อน ส่วนภายในชั้นที่ 2 นั้นจะถูกจัดเป็นห้องนอน และเมื่อเขาเข้าไปข้างใน เขาก็สังเกตเห็นถึงความสะอาดสะอาดและเห็นภาพของชางห่ายหมิงเยวี่ยกำลังถือผ้าห่มและจัดเตียง

ถึงแม้การจัดที่นอนเครื่องใชัจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เมื่อชิงสุ่ยมองเห็นทุกอริยาบทที่งดงาม มันยิ่งทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่ง ถ้าหากวันนึงเขาได้แต่งงานกับหญิงสาวคนนี้ และมีลูกสาวน่ารักๆอย่างหลวนหลวน เขาจะมีความสุขขนาดไหน?

ช่างน่าเสียดาย ชิงสุ่ยรู้ดีว่าความคิดนี้มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และอีกอย่างหนึ่งในตอนนี้ เขายังคงมีเรื่องของตระกูลเยียนที่เขาต้องหนักใจ นับตั้งแต่ที่เขาได้พบหญิงสาวอาภัพที่ควรจะเป็นพี่สาวของเขา หัวใจของเขาก็ร้อนรุ่มดังไฟสุมทรวง ถ้าหากเขาไม่คิดสิ่งใด ในทุกครั้งที่จิตใจของเขาว่างเปล่า ภาพพี่สาวของเขาก็จะปรากฏขึ้นในใจของชิงสุ่ยเสมอ

การที่เขาได้บังเอิญเจอกับเธอที่เมืองเยียน มันคงเป็นโชคชะตาที่นำพามาให้เขาพบกัน ชิงสุ่ยก็ฟื้นคืนสตินักกลับไปจ้องมองที่ชางห่ายหมิงเยวี่ย

เราจากที่พวกเธอทั้งสองจัดข้าวของเครื่องใช้จนเสร็จสิ้น พวกเธอก็หันมามองชิงสุ่ยที่กำลังยืนอย่างคนไร้สติ ดวงตาของเขานั้นดูราวกับคนที่ไร้แววตา วันทำให้พวกเธอทั้งสองรู้ทันทีว่าชิงสุ่ยกำลังคิดถึงความทรงจำที่น่าหดหู่ใจ เพราะการแสดงออกทั้งหมดทั้งสิ้นของเขานั้นเป็นตัวบ่งบอกได้ทุกอย่าง

"อย่าไปคิดมาก ข้าเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเอง และข้าก็เชื่อในตัวของเจ้า เจ้าจงอย่าทรมานตัวเองด้วยวิธีนี้อีกเลย แม้ข้าจะรู้สึกหงุดหงิด และแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจเรื่องราวของเจ้า แต่ข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้าเสมอ"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวพร้อมถอนหายใจ

"ชิงสุ่ย หลับให้สบายเถิดถ้าจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อเจ้าและหวังว่าเจ้าจะสามารถลืมมันได้ในชั่วคราวก็ตาม"ห่าวหยุนลิ่วลี่กล่าวปลอบใจเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล

ชิงสุ่ยทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า หลังจากที่เขาส่งพวกเธอทั้งสองกลับไป เขาก็ล้มลงบนเตียงที่แสนสบายในขณะที่เขาจ้องมองไปบนเพดาน

เมื่อเห็นว่ายามราตรีกำลังจะเริ่มขึ้น ชิงสุ่ยจึงกลับเข้าไปสู่ดินแดนห้วงมิติของเขา และช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ความก้าวหน้าในการโคจรพลังปราณของเขานั้นก้าวขึ้นสู่รอบที่ 75  ถ้าหากนับเวลาภายในดินแดนห้วงมิติแห่งนี้ เวลา 2 เดือนภายในนั้นคงเทียบเท่าได้กับเวลาประมาณ 3 ปี ในการบ่มเพาะฝึกฝนพลังปราณในโลกภายนอก

3 ปีที่เขาหมั่นเพียรในการฝึกฝน มันกลับสามารถเพิ่มพลังปราณในการโคจรเพียงแค่ 5 รอบ ชิงสุ่ยจึงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาควรจะมีความสุขหรือความเศร้าโศกมากกว่ากัน การโคจรพลังปราณจากเคล็ดวิชากายาบรรพกาลเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผ่านรอบที่ 70  ขึ้นไป ในแต่ละท่านนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากที่มากขึ้น จนตอนนี้เขาไม่อาจจินตนาการได้ถึงการที่เขาจะสามารถบรรลุคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 5 ของเคล็ดวิชานี้ได้

และในตอนนี้ การฝึกฝนเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดของระดับขึ้นสวรรค์ขั้นที่ 4 (รอบที่ 98) ยังคงต้องฝ่าฟันเส้นทางอีก 23 รอบ จากการคิดคำนวณของเขาแล้ว แม้ว่าจะพึ่งพาความสามารถในการช่วยเหลือด้านเวลาของดินแดนห้วงมิติ เขายังคงต้องพึ่งพาเวลาภายในของมันถึง 12 ปี ซึ่งถ้าหากนับจากโลกความจริงแล้ว เขาเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น และหากคิดเป็นอัตราส่วนภายในดินแดนห้วงมิติเขาตลอดเวลาทั้งหมดอีก 25 ปีเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น เขาจะสามารถใช้เวลาได้เพียง 4 ชั่วโมงภายในดินแดนห้วงมิติในแต่ละวันเท่านั้น

เมื่อชิงสุ่ยความคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เขาก็รู้ดีว่าเจ้าหน้าที่ฝึกฝนเพื่อขึ้นสู่ขั้นสูงสุดของระดับขึ้นสวรรค์ขั้นที่ 4 นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อเขาพยายามที่จะบรรลุระดับขึ้นสวรรค์ขั้นที่ 5  ในครั้งที่แล้วเขาได้ใช้เวลากว่า 7 ปีในการก้าวขึ้นสู้ขึ้นสวรรค์ขั้นที่ 4 ถึงแม้ว่าขั้นที่ 4 จะเป็นขั้นที่สำคัญแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาคิดว่าการบรรลุขั้นที่ 5 นั้นจะเป็นเรื่องง่าย ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเพียงแค่ 3-5 ปีโดยไม่พูดถึง 7 ปี ต่อจากนี้มันจะต้องทำให้เขาทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน

ชิงสุ่ยยังคงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดขณะที่เขาเข้าไปสู่ดินแดนห้วงมิติและเริ่มต้นการฝึกฝน ในเมื่อการฝึกฝนเริ่มต้นขึ้นเขาก็เริ่มลืมเลือนความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานไปยังชั่วคราว ทุกครั้งที่เขาฝึกฝนเขาจะลืมแรงกดดันที่ที่เขากำลังแบกรับ ผู้คนมากมายที่อยู่เบื้องหลังของเขา พี่สาวของเขา และรวมทั้งแม่ของเขาอีกด้วย

นอกเหนือจากการใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการฝึกฝนเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ชิงสุ่ยเองยังต้องใช้เวลาของเขาส่วนหนึ่งในการฝึกฝนเคล็ดวิชาปรุงยา เขาหวังว่าเขาจะสามารถปลดผนึกสูตรยาอื่นๆเพื่อให้ตัวเขานั้นได้ใช้ประโยชน์จากมันมากสูงสุด

และในช่วงเวลาพักเขาก็มักจะใช้เวลาส่วนนั้นในการฝึกฝนเคล็ดวิชาเปลวเพลิงบรรพกาลหยินหยาง รวมทั้งเคล็ดวิชาเข็มสยบลิขิตฟ้า  ที่เมื่อนำผสมผสานกันจะกลายเป็นพลังที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของเขา

ส่วนสำหรับเคล็ดวิชาฝ่ามือพุทธองค์ทองคำเก้าสะท้านนั้น เขามีความเชี่ยวชาญมากพอสมควร จนทำให้เขาสามารถเข้าถึงความรับรู้ภายในถ้ำพุทธองค์พันสะท้าน ซึ่งภายในแฝงไปด้วยภาพฝาผนังที่รวบรวมเคล็ดวิชาฝ่ามือพันสะท้านในระดับสูงเอาไว้  และเขาก็ได้ค้นพบเคล็ดวิชาฝ่ามือพุทธองค์พันสะท้านซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้จู่โจมโดยใช้มือทั้งสองข้างและในทุกการโจมตีนั้นจะแฝงไปด้วยพลังทำลายล้างที่สูงมาก

ซึ่งทุกครั้งที่ชิงสุ่ยสามารถเข้าถึงการรับรู้ของเคล็ดวิชาฝ่ามือพุทธองค์ทองคำเก้าสะท้าน เขาจะรู้สึกถึงคลื่นพลังในการโจมตีที่ร้ายกาจ มันจะถูกดึงพลังออกมาเพื่อเสริมเคล็ดวิชาในการโจมตีเคล็ดวิชาอื่น  ซึ่งมันจะทำให้ผลของการโจมตีนั้นส่งขึ้น 2 เท่าจากการออกแรงเพียงครึ่งเดียว

การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของชิงสุ่ยพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในทุกวันเขายังคงฝึกฝนเคล็ดวิชากวางย่างก้าว และมันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกถึงความสุขอย่างแท้จริงเนื่องจากเคล็ดวิชากวางย่างก้าวของเขานั้นได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 3 แล้ว นั่นก็คือขั้นสมบูรณ์แบบ นั่นจึงทำให้ความเร็วของเขานั้นสูงขึ้นถึง 2 เท่า อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ยังคงหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่องซึ่งมาทำให้เขาพบว่าความเร็วของเขานั้นยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีก แม้ว่าเขาจะพยายามก้าวขาช้ากว่าแต่ก่อนที่สุดก็ตาม

ชิงสุ่ยเองก็เคยสงสัยเหมือนกันว่า เคล็ดวิชาเหล่านี้ควรจะมีขอบเขตหลังจากที่บรรลุในระดับขั้นสมบูรณ์หรือไม่? คล้ายคลึงกับระดับขั้นของเคล็ดวิชาเขาเองก็สงสัยว่าจะมีเคล็ดวิชาใดเหนือกว่าระดับพระเจ้าอีกหรือไม่?

แต่ถ้าหากนับตามทฤษฎีที่เขาเชื่อมั่นในตอนนี้ หลังจากที่เขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชากวางย่างก้าวอย่างไม่ลดละ เขาก็พบว่า มนุษย์ทุกคนนั่นย่อมมีขีดจำกัด แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ย่อมไร้ขีดจํากัดเช่นกัน!!!

รุ่งอรุณในวันที่ 2 ปรากฏ ชิงสุ่ยรีบตื่นขึ้นมานิยามที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างไสว มันเป็นเวลานานมากแล้วที่ชิงสุ่ยไม่ได้นอนบนเตียงที่สะดวกสบายเช่นนี้

หลังจากที่เขาตื่นขึ้น เขาก็ออกกำลังกายในช่วงเช้าเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งการฝึกกระดูกและกล้ามเนื้อ จากเพลงหมัดไทเก๊ก ทั้งเคล็ดวิชาหมัดอสูรสันโดษ อีกครั้งฝึกฝนฝ่ามือพุทธองค์พันสะท้าน ซึ่งการฝึกฝนในแต่ละช่วงท่านั้นมีการเคลื่อนไหวที่เร็วและช้าแตกต่างกัน  แต่ภาพที่ทุกคนเห็นนั้นพวกเขาจะรู้สึกได้ว่าการเคลื่อนไหวในทุกท่วงท่านั้นต่างเต็มไปด้วยความราบรื่นและทรงพลัง โดยเฉพาะภาพที่ทุกคนมองเห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ามือพุทธองค์พันสะท้านที่แสดงออกมาพร้อมพร้อมกับเพลงหมัดไทเก๊ก

"พี่หมิงเยวี่ย จากประสบการณ์ที่ท่านได้ผ่านมา ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าเคล็ดวิชาแปลกๆที่เขาฝึกฝนนั่นคือเคล็ดวิชาอะไร?"

ในสถานที่ใกล้ๆ ชางห่ายและหมิงเยวี่ยกำลังมองดูชิงสุ่ยฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้จากหน้าต่างในห้องของพวกเธอ

"ข้าเองก็ไม่รู้ เขาเป็นชายคนเดียวที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว และที่สำคัญข้าเองก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับเขาเลยแม้แต่น้อย"ชางห่ายหมิงเยวี่ยหัวเราะขณะที่เธอมองไปทางห่าวหยุน

"ห่าวหยุน บอกพี่สาวคนนี้ได้หรือไม่ ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์เช่นไรกับชายเจ้าชู้คนนี้?"ชางห่ายหมิงเยวี่ยยิ้ม

ห่าวหยุนลิ่วลี่หน้าแดงในทันที "จริงๆ..แล้วพวกเรานั้นเป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น และความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันแค่นั้นจริงๆ"

"พวกเจ้าหาได้มีความสัมพันธ์ใดๆต่อกัน แล้วเหตุใดเขาจึงกล้าให้เจ้าดื่มสุราที่มีค่าอย่างสุราวิศิษฎ์พิสุทธิ?"

"ข้าพูดจริงๆนะ ระหว่างพวกเรามันไม่ได้มีอะไรต่อกันเลย เขาไม่เคยบอกว่าเขาต้องการสิ่งใดจากข้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันอาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็เท่านั้น…….."ห่าวหยุนลิ่วลี่ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง

"บอกข้าเถิดน้องสาวของข้า ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดกับเขาเช่นไร"

"เขา…. ให้ของขวัญจะข้าอีกทั้งเขายังเป็นคนสวมมันไว้ที่คอของข้าเอง"ห่าวหยุนลิ่วลี่ หยิบจี้ผนึกทองคำที่อยู่บนหน้าอกของเธอออกมา

"นี่สินะคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าถึงตกหลุมรักเขา?"ชางห่ายหมิงเยวี่ยถามขณะที่ใบหน้าของเธอนั้น มีความแปรเปลี่ยนเกิดขึ้น

"จริงๆแล้วตอนนี้นั้น ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของข้า ข้าเพียงรู้สึกคิดถึงเขาและต้องการที่จะเห็นใบหน้าของเขาตลอดเวลา ข้าไม่อยากมองเห็นเขาเศร้าโศกเสียใจ ข้าเพียงต้องการเห็นเขามีความสุขแค่นี้ข้าก็มีความสุขแล้ว"

ชางห่ายหมิงเยวี่ยรู้สึกอึ้งในขณะที่เธอได้ยินคำกล่าวของห่าวหยุนลิ่วลี่ เพราะตัวเธอเองนั้นไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับชายใดมาก่อนเลย นอกเหนือจากพ่อของเธอ ถ้าหากวันหนึ่งมีชายใดสามารถทำให้เธอเสียความรู้สึกเช่นนั้นได้ เธอจะยอมเป็นเฉกเช่นลิ่วลี่หรือไม่?

หลังจากเมื่อหันเช้าจบลงพวกเขาทั้ง 3 ก็ออกไปเดินเล่นตามท้องถนน

"พวกเรา 3 คนไม่เหมือนกับครอบครัวสุขสันต์จริงๆเลย ฮ่าๆๆๆๆ"ชิงสุ่ยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

"ฮื่มมมมม!!!!!"

ชางห่ายหมิงเยวี่ย เปล่งเสียงกระแอ้มออกมา

"วันนี้ ข้าจะพาพวกเจ้าทั้งหมดไปที่เส้นทางแห่งทักษิณากาล สถานที่ที่เป็นรากฐานของบรรดาตระกูลใหญ่และกลุ่มครอบครัวที่มั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคแห่งนี้"

 

รีวิวผู้อ่าน