px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 212 - เยวี่ยเยวี่ย ถึงเวลาที่เราต้องให้นมลูกแล้ว


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 212 - เยวี่ยเยวี่ย ถึงเวลาที่เราต้องให้นมลูกแล้ว

"ว่าแต่ ท่านพอจะรู้วิธีการในการกลั่นหินอัญมณีเหล่านั้นหรือไม่?" ชิงสุ่ยถูจมูกและกล่าวถามด้วยความกระตือรือร้น

"กระบวนการกลั่นอัญมณีเป็นทักษะที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับโชคชะตา ถ้าหากเป็นผู้ที่โชคดีผู้คนเหล่านั้นจะสามารถกลั่นอัญมณีจนประสบความสำเร็จได้เพียงครั้งเดียว แต่ถ้าหากเป็นผู้ที่อับโชค ผู้คนเหล่านั้นแม้ว่าจะใช้ความพยายามนับร้อยนับพันเท่าก็ย่อมไม่อาจที่จะประสบความสำเร็จได้ แล้วแต่หากเกิดความล้มเหลวอัญมณีทั้งสองชิ้นที่ถูกใช้ในการกลั่นจะถูกทำลายจนหมดสิ้น"

"มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยเลย ถ้าหากพวกมันถูกทำลายจนหมดสิ้น แสดงว่าค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนย่อมต้องสูงเช่นกัน"ชิงสุ่ยทำได้เพียงแค่บ่นพึมพำอยู่ภายในใจอย่างช่วยไม่ได้

"ฮ่าๆๆ นอกจากจะโหดร้ายแล้ว อัตราความสำเร็จอย่างต่ำอีกด้วย อัตราความสำเร็จในการก้าวขึ้นสู่อัญมณีระดับที่ 3 นั้นมีไม่ถึง 1% ฮ่าๆๆ ข้าคงไม่ต้องเอ่ยถึงอัญมณีระดับที่สูงกว่านี้ว่าอัตราความสำเร็จของมันนั้นจะต่ำขนาดไหน"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวไปหัวเราะไป ลาดกระบัเธอกำลังรู้สึกยินดีที่ได้เห็นชิงสุ่ยตกตะลึงมากเพียงใด

"ว่าแต่ ท่านเคยเห็นกระบวนการกลั่นอัญมณีมาก่อนหรือไม่?" ทั้งสามคนยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างช้าๆ  หลายคนที่เดินผ่านไปมาต่างจับจ้องมาที่หญิงสาวโฉมงามข้างกายชิงสุ่ย มันยิ่งทำให้ดวงตาของพวกเขานั้นถูกเติมเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

"ข้าเองก็เคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ถ้าเคยเห็นตอนที่พวกเขาพยายามจะปรับแต่งอัญมณีระดับที่ 2  ขึ้นสู่อัญมณีระดับที่ 3  แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งหมดก็ต้องพบกับจุดจบที่นั่นล้มเหลว แม้ว่ากระบวนการในการกลั่นน้ำจะดูเหมือนง่าย ใช้หม้อกลั่นและใช้เปลวเพลิงที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกระบวนการกลั่นยา แต่ผลลัพธ์มันจะยอมดีมากยิ่งขึ้นถ้าหากพวกเขาสามารถใช้เคล็ดวิชาเปลวเพลิงในการปรับแต่งอัญมณี และผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงกล่าวไว้ว่าทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น และยังไม่มีใครเลยที่สามารถหาวิธีเพิ่มอัตราความสำเร็จของการกลั่นอัญมณี ได้สำเร็จเลยจริงๆ"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวอธิบาย

ถึงแม้ว่าเธอจะกล่าวเช่นนั้น แต่ตัวของชิงสุ่ยเออก็ยังคงเชื่อมั่นว่า มันจะต้องมีซักเคล็ดวิชาหนึ่ง ที่จะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จมากกว่าเดิม แต่ช่างน่าเสียดาย ทีชิงสุ่ยเองยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการกลั่นอัญมณี ดังนั้นในใจของเขานั้นก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจว่าอัตราความสำเร็จจะสูงขึ้นจริงๆหรือไม่

จู่ๆเขาก็นึกถึงหินจันทราที่อาจารย์เทพธิดาเคยมอบมันให้กับเขา ในขณะที่เขาถือมันไว้บนมือ เขาก็เห็นได้ชัดเลยว่ามันเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว มันทำให้เขาอดคิดถึงอีเย้เจี้ยนเก้ออย่างช่วยไม่ได้

"ไม่ทราบว่าสิ่งนี้ อยู่ในระดับขั้นที่ 1 หรือว่าขั้นที่ 2?"ชิงสุ่ย ถามชางห่ายหมิงเยวี่ยเพราะว่าตัวเขานั้นรับรู้ได้ว่ามันจะต้องไม่ใช่หินอัญมณีอีกระดับที่ 3  เพราะผลกระทบของมันนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นตามที่เธอเคยอธิบายไว้

"นี่คือหินจันทราระดับขั้นที่ 2"ชางห่ายหมิงเยวี่ย ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

"แล้วเหตุใดอัญมณีลึกลับถึงได้ปรากฏขึ้นบนโลกเก้ามหาทวีปแห่งนี้มากมายยิ่งนัก"ชิงสุ่ยคิดเพียงว่าสิ่งที่อยู่ในเมืองเขานั้นควรจะเป็นแร่ธาตุธรรมดาที่มีความงดงาม

"เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับจำนวนของมันที่ปรากฏขึ้นบนโลกใบนี้ ตราบใดที่เจ้ายินดีที่จะจ่ายพวกมันในราคาที่สูง เจ้าก็จะสามารถหามันก็ตามที่เจ้าต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่หินอัญมณีระดับที่ 1  จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 100 เหรียญเงิน แม้ว่าเจ้าจะยอมจ่ายถึง 1000 เหรียญเงิน เจ้าพ่อคงไม่อาจหาอัญมณีระดับที่ 2 ได้ และแม้ว่าเจ้าจะมีเงินนับล้านเหรียญเงินมันก็ยังยากเกินกว่าที่เจ้าจะสามารถหาอัญมณีขั้นที่ 3 ได้ พบการวางอัญมณีนั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นอัญมณีระดับสูงนั้น ไม่อาจตีค่าเป็นราคาได้ แต่ถึงอย่างนั้นอัญมณีและป 1 ก็ยังเป็นสิ่งของที่มีราคาถูกมาก"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้ม โดยขณะที่เธอเดินมือข้างหนึ่งของเธอนั้นก็จับมือของห่าวหยุนลิ่วลี่เอาไว้

"แล้วข้าจะหานักหลอมอัญมณีที่ดีได้จากที่ไหน แล้วข้าจะหาคนที่จะช่วยข้าปรับแต่งอัญมณีได้อย่างไร?"สิ่งแรกที่ชิงสุ่ยคิดไว้คือร้านช่างตีเหล็ก อย่างไรก็ตามเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาจะสามารถพบคนเหล่านี้ได้หรือไม่

"นักหลอมอัญมณี? พวกมันเป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมไม่สามารถทนกับงานที่ไม่อาจสำเร็จได้ ดังนั้นแล้วก็อย่างที่ข้าเคยบอกไปความสำเร็จและความล้มเหลวนั้นย่อมขึ้นอยู่กับโชคชะตาในตัวของเจ้าเอง"

"แต่มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง ในบางนิกายขนาดใหญ่หรือตะกูลขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงย่อมมีบุคคลที่ฝึกฝนมาเพื่องานฝีมือนี้ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก ก็อย่างที่บอกไปใครก็สามารถกั้นอัญมณีเหล่านี้ได้ เพียงแต่อัตราความสำเร็จนั้นต่ำเกินไปจนคนส่วนใหญ่ท้อแท้และล้มเลิกความคิดไปเอง"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวและเผยรอยยิ้มขณะที่มองไปทางชิงสุ่ย

"ดูนั่นสิ ที่นี่คือเส้นทางแห่งทักษิณากาล"หลังจากที่ทั้งสามคนได้เดินออกมาสักพักหนึ่ง ชางห่ายหมิงเยวี่ยจะชี้ไปยังสถานที่ที่อยู่ด้านหน้าพร้อมทั้งกล่าวมา

ชิงสุ่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่มองไปทางที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยชี้ออกไป มันเป็นภาพที่งดงามและเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่

เส้นทางแห่งทักษิณากาลไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นทางเดินธรรมดา แต่มันสร้างขึ้นจากการรวมกันของถนนที่ตัดผ่านมากมายที่มีลักษณะคล้ายถนนจากยุคโบราณ มันเป็นไปด้วยความกว้างและความรู้สึกที่ลึกซึ้ง แม้ว่าถนนจะตัดกันมาจากทิศทางที่แตกต่างกัน และแม้ว่าพวกมันจะให้ความรู้สึกไม่เป็นระเบียบ แต่มันกลับแฝงไปด้วยความงดงามที่น่าสนใจ

เบื้องหน้าปรากฏเป็นอาคารลักษณะคล้ายคฤหาสน์ทรงสี่เหลี่ยม ทรงแปดเหลี่ยม และทรง 12 เหลี่ยม นอกจากนี้มันยังเต็มไปด้วยลานกว้างขนาดใหญ่ และสถาปัตยกรรมขนาดสูงใหญ่คล้ายคลึงกับลักษณะพระราชวังโบราณ เพียงแค่มองครั้งเดียว ชิงสุ่ยก็รู้สึกชอบบรรยากาศภายในสถานที่แห่งนี้ มันถูกประดับประดาไปด้วยอาคารที่ตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือยและดูสง่า สิ่งเหล่านี้ทำให้มาตรฐานของที่นี่ถูกยกสูงขึ้นเหนือกว่าสถานที่แห่งอื่น

พื้นที่ของเส้นทางแห่งทักษิณากาลเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่และอยู่ใกล้กับประตูทักษิณ ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารจำนวนมากมายทอดยาวเหยียดไปตามท้องถนน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้

ผู้คนและรถเกวียนจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วท้องถนน แต่ทุกอย่างกับดูเป็นระเบียบเรียบร้อย มีทั้งฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายนักรบกำลังถืออุปกรณ์ที่มีลักษณะหลากหลาย อีกทั้งยังมีกลุ่มหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่มีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บางคนแต่งเครื่องประทินผิวเพื่อเสริมความงาม และอีกกลุ่มหนึ่งแสดงความงดงามของตนเองโดยไม่พึ่งเครื่องประทินผิว นี่จึงเป็นเครื่องแสดงออกถึงเมืองหลวงของอาณาจักร สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมต่างๆเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้มันยังเป็นสถานที่ที่ผู้คนมากมายต่างรวมตัวกันเพื่อฝึกฝนและแสดงความแข็งแกร่งได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่อย่างไรก็ตามโฉมงามทั้งหลายนี้ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าอาจารย์เทพธิดาหรืออีเย้เจี้ยนเก้อหรือแม้กระทั่งโฉมงามอย่างชางห่ายหมิงเยวี่ยได้

"เจ้ามองเห็นคนเหล่านั้นที่ใส่เสื้อคลุมสีขาวพร้อมทั้งถือกระบี่ยาวมาด้วยหรือไม่? คนเหล่านี้คือคนที่มาจากนิกายที่มีจำนวนสาวกมากที่สุดในเส้นทางแห่งทักษิณากาล อีกทั้งยังมีหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าสีสดใสพวกนางส่วนใหญ่นั้นจะมาจากนิกายสราญรมย์"

ชางห่ายหมิงเยวี่ยพยายามบอกเล่าเรื่องราวในขณะที่พวกเขาทั้ง 3 เดินอยู่บนถนนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดภายในเส้นทางแห่งทักษิณากาล ชิงสุ่ยพยายามจดจำทุกอย่างๆเงียบ ซึ่งเขาเองก็จำได้ว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยเคยบอกไว้ว่า ตัวเขานั้นจะต้องห้ามรุกรานกลุ่มคนที่มาจากมหาอำนาจทั้งสาม  ไม่ว่าจะเป็นนิกายเทพกระบี่ นิยายสราญรมย์ และกลุ่มราชนิกูลจักรพรรดิอสูร แต่ตัวของเขาเองนั้นคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ย่อมไม่อาจพบได้ยังไงดาย ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ทราบว่าภูเขาน้ำแข็งแกร่งขนาดไหนและเขาเองก็ไม่คิดถามชางห่ายหมิงเยวี่ยเพราะถึงยังไงมันก็ไม่มีความหมาย

ชิงสุ่ยและสองสาวงามเป็นที่ดึงดูดความสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสองสาวงามที่ไปสะดุดตาเข้ากับกลุ่มชายที่ยืนมองอยู่

"พี่ชาย ท่านเห็นโฉมงามทั้งสองคนได้หรือไม่?พวกนางช่างงดงามเสียจริงๆ คำอธิบายที่ดีที่สุดในการเลือกของนางนั้น ข้าคงจะเรียกพวกนางว่านางอัปสรจากสรวงสวรรค์ พวกเราควรจะไปลองจับนางอัปสรเหล่านี้ดูท่านสนใจหรือไม่?"ชายหนุ่มรูปร่างน่าเกลียดดวงตาคล้ายหนูและมีหัวแม่เท้าขนาดใหญ่ กำลังถามชายที่สูงที่สุดและดูแข็งแรงที่สุดในกลุ่มคนที่อยู่ข้างๆเขากว่า 10 คน

"เพี้ยง!!!"

ชายหนุ่มประธานฝ่ามือตบลงบนใบหน้า "เจ้าอยากตายหรือไง คิดที่จะจับนางอัปสร? เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าผู้คนมากมายกำลังหมายตาพวกเขาอยู่? เจ้าคงรู้แล้วสินะว่าเจ้าคงจะทำอะไรไม่ได้"ใช้สูงและแข็งแรงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

"ทำไมกัน?"ชายหนุ่มรูปร่างผอมรีบถามอย่างน่าอนาถ

"เจ้านี่ช่างโง่เป็นบรม ข้าบอกได้เลยว่าพวกเขาจะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งหรือไม่ก็มาจากภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความจริง เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ?"ชายรูปร่างสูงกล่าวราวกับว่าตัวเขานั้นผจญโลกกว้างมาเยอะ

"เจ้าลองใช้สมองโง่ๆของเจ้าคิดดู มีผู้คนมากมายมายปองหญิงสาวสองคนนี้ เป็นเจ้าไม่รู้สึกแปลกเลยหรือว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ลงมือ เพราะว่าพวกนางนั้นมีกลิ่นอายที่ผิดแปลกจากผู้อื่นไป และถ้าหากเจ้าคิดจะไปกระทำใดต่อพวกนาง เจ้าคงจะรู้ผลที่จะตามมาหลังจากนี้"ชายรูปร่างสูงและแข็งแกร่งกล่าวด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นตั้งอยู่ภายใต้สายตาของชิงสุ่ยมาโดยตลอด

"ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรทำเช่นใรดี" ชายหนุ่มรูปร่างผมลีบสาวด้วยความอนาถา

"พวกเราจะเล่นบทพระเอกขี่ม้าขาวเพื่อช่วยโฉมงาม"ใช้รูปร่างสูงและแข็งแรงกล่าวอย่างชาญฉลาด

"ว้าวววว หัวหน้าของเราฉลาดที่สุดเลย แล้วพวกเราจะต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้สมบทพระเอกขี่ม้าขาวละ?"

"เจ้าช่างโง่ผิดมนุษย์มนาเสียจริง พวกเราทำได้เพียงรอเท่านั้น ไปกันเถอะ!!!"

………………………………………….

"พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ แม่โฉมงามทั้งสองผู้คนมากมายคิดจะลักพาตัวเจ้า"ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมทั้งหัวเราะ เพราะเขาเองก็รู้ว่าพวกเธอจะต้องได้ยินเรื่องราวที่พวกเขาสนทนา แต่ตัวของชางห่ายหมิงเยวี่ยก็ไม่ถือโทษเรื่องที่ชิงสุ่ยถือโอกาสนี้ในการยกล้อพวกเธอ

"ในพื้นที่ที่มีผู้คนมากมายในบริเวณนี้มีใครรู้จัก มีใครรู้จักแม่นางหมิงเยวี่ยบ้างหรือเปล่า?"ชิงสุ่ยถามด้วยความจริงจัง

"ฮ่าๆๆๆ ตัวข้านั้นไม่ค่อยรู้จักคนในพื้นที่แห่งนี้หรอก เพราะค่านั้นใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเมืองอื่นๆ แต่แม้ว่าตอนโตข้าไม่ค่อยได้มาที่แห่งนี้มากนัก แต่ในตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็พาข้ามาที่นี่บ่อยๆ"ชางห่ายหมิงเยวี่ยตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะ

"ให้ตายเถอะ" ชิงสุ่ยอุทาน

"มันเกิดอะไรขึ้น?"ชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่อุทานออกมาพร้อมกัน

"ข้ากล้าพูดเลยว่าภายในอีก 15 นาทีนี้ จะมีใครบางคนพยายามแย่งชิงตัวเจ้าและมันจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง"ชิงสุ่ยลูบจมูกในขณะที่เขากล่าว

"เจ้าพูดจริงจังใช่ไหม?" ข้าว่าเจ้าจะต้องคิดมากเกินไปแน่ๆ"ห่าวหยุนลิ่วลี่มองชิงสุ่ยด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกไป

ในทางตรงข้ามชางห่ายหมิงเยวี่ยหันมองชายหนุ่มสองสามคนที่อยู่ในที่ห่างไกลที่กำลังเดินเข้ามาใกล้

ห่าวหยุนลิ่วลี่เองก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ก่อนที่เธอจะหันมามองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธ

"แม่นางทั้งสอง ไม่ทราบว่าพวกเจ้าสนใจที่จะมาร่วมวงรับประทานอาหารกับข้าหรือไม่?"

ชิงสุ่ยมองดูกลุ่มชายหนุ่มทั้งสามคนที่กำลังเกี้ยวพาราสี ที่เขาจะหันไปมองชางห่ายหมิงเยวี่ย

ชายหนุ่มทั้งสามคนนั้นมีอายุราวๆ 25-26 ปี ภูเขาปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ที่ดูสง่างาม ชิงสุ่ยเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาไม่แสดงคือความน่าเกลียด ภายใต้ชุดเหล่านี้สามารถทำให้ทุกคนกลายเป็นคนที่ดูดีได้ในทันที พวกเขาปรากฏตัวด้วยภาพลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างยิ่ง แต่ช่างน่าเสียดายที่ผู้คนเหล่านี้นั้นเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและไม่มีความเกรงใจ พวกเขามีดีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือผิวพรรณที่บริสุทธิ์

ชางห้ายหมิงเยวี่ยไม่กล่าวคำพูดใดๆ ก่อนที่เธอจะหันไปมองชิงสุ่ยและค่อยๆจับมือเขา พร้อมกล่าวว่า "ชิงสุ่ย ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน พวกเราไปหาที่พักกันเถอะ"

เสียของเธอแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่อ่อนโยนมากจนมันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกไม่คุ้นหู มือของเขาที่ถูกจับไว้แนบแน่นทำให้เขาพยักหน้าไปตามการแสดง

"ช่างเป็นปีศาจที่มีน่ากลัวนัก เจ้าจะต้อง เป็นปีศาจที่ฝึกตนมานับพันปีอย่างแน่นอน……"ชิงสุ่ยกล่าวในใจกับตัวเอง

ชิงสุ่ยรู้ว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องทั้งหมดของชางห่ายหมิงเยวี่ย ตัวเธอนั้นไม่สนใจคนที่แต่งตัวประหลาดตรงหน้าของเธอแล้วตัวเธอนั้นก็ใช้ชิงสุ่ยในการกำจัดชายเหล่านั้น

"ลืมมันไป เพื่อความสุขของตัวข้า ข้าคงจะต้องทำบางสิ่งบางอย่าง"ชิงสุ่ยยังคงพูดกับตัวเอง

"เยวี่ยเยวี่ย เรากลับบ้านกันเถอะ ถึงเวลาที่ต้องให้นมลูกแล้ว"ชิงสุ่ยคว้ามือชางห่ายหมิงเยวี่ยในขณะที่เขาเอาจมูกของเขาชนเข้ากับจมูกของเธอและจากด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก

เพียงแค่ 1 ประโยคก็ทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึงแม้กระทั่งตัวของห่าวหยุนลิ่วลี่เองก็ตามยังเกือบเชื่อเลยว่านี่คือความจริง……..

"อืม!!!"

หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็คว้าแขนมือของชางห่ายหมิงเยวี่ย ในขณะที่เธอยังคงจับมือของห่าวหยุนลิ่วลี่ที่ตกอยู่ในอาการมึนงง และพร้อมที่จะเดินออกไป

" คิดจะออกไปไหน? นายน้อยเฟิงของเรา อนุญาตให้พวกเจ้าออกไปหรือยัง?" ชายหนุ่มที่ยืนด้านหลังกล่าวออกมา

"เจ้าคงจะไม่รู้สินะว่านายน้อยเฟิงของพวกเรามักจะหลงรักผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เพราะนายน้อยๆของพวกเรานั้นชอบดื่มนมจากเต้าในทุกๆวัน"ชายหนุ่มคนอื่นๆกล่าวพร้อมทั้งยิ้มตาม

ซึ่งชิงสุ่ยก็กำลังมองเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นที่ถูกกล่าวถึงว่าเป็นนายน้อยเฟิงกำลังมองหน้าอกที่ดูอวบอิ่มของชางห่ายหมิงเยวี่ย ในขณะที่ริมฝีปากของเขานั้นกำลังสั่น

ชิงสุ่ยมองดูชางห่ายหมิงเยวีี่ยที่เต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธแค้นแต่เธอก็พยายามยิ้มอย่างขมขื่น มันทำให้ชิงสุ่ยถึงกับดีดหินก้อนเล็กๆใส่ชายหนุ่มที่น่าสงสารเหลือเกินซึ่งปากของชายหนุ่มที่น่าสงสารก็ถูกบดขยี้ในทันทีโดยที่ชิงสุ่ยไม่ต้องออกแรงมากนี่เป็นเพียงการสั่งสอนเล็กๆน้อยๆ

หลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มร้องโอดครวญ

ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมทั้งกล่าวถาม"ไม่ทราบว่าพวกเราจะออกไปได้หรือยัง?"

" เจ้าคิดหรือว่าหลังจากที่เจ้า ทำร้ายคนของข้า เจ้าจะจากไปง่ายๆ? เจ้ารู้หรือไม่อ้วนนายน้อยเฟิงของพวกเรา เป็นถึงหลานชายของผู้อาวุโสเฟิงแห่งนิกายเทพกระบี่"

"ชิ!!!"

แล้วก้อนหินก้อนเล็กๆก็พุ่งกระเด็นไปอีกครั้ง คราวนี้ปากของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็ถูกบดขยี้จนต้องร้องโอดครวญ

"คราวนี้พวกเราไปได้หรือยัง?"ชิงสุ่ยยังคงยิ้มขณะที่เขามองไปที่ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่านายน้อยเฟิง

"ไม่!!!"น้ำเสียงเริ่มดูต่ำลง

ชายวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้น เขาแต่งตัวด้วยชุดเสื้อคลุมสีขาวหิมะ ในขณะที่เขาต้องมองด้วยสายตาที่กดดันไปทางชิงสุ่ย

เมื่อเห็นว่าชิงสุ่ยต้องการที่จะต่อสู้ ชางห่ายหมิงเยวี่ยจึงรีบคว้ามือของเขาและส่ายหน้า

"ข้าเชื่อว่าท่านคงจะได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดด้วยตัวเอง ข้านั้นไม่ต้องการสังหารผู้ใดอย่างน้อยที่สุดถ้าก็ได้พยายามให้ดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าหากท่านไม่พอใจ หลังจากวันนี้ท่านสามารถมาหาข้าได้ที่คฤหาสน์ชางห่าย"ช่วงเวลาสั้นๆภายใต้ความลังเลเล็กน้อย ชางห่ายหมิงเยวี่ยก็ค่อยๆกล่าววาจาออกมา ในขณะที่เธอจ้องมองไปยังชายวัยกลางคนและเธอก็ดึงมือของชิงสุ่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ จากสถานที่แห่งนี้

"คฤหาสน์ชางห่าย?"

ชิงสุ่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ยังคงไม่พูดจาใดๆ ในขณะที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยเดินต่อไปเรื่อยก่อนที่เธอจะถอนหายใจ

"ข้าคงจะสร้างปัญหาให้กับท่านอีกแล้ว?"ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากสงบสติอารมณ์

"นิกายเทพกระบี่ เป็นนิกายที่มีอิทธิพลมากในเขตแดนนี้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพยายามบอกเจ้าแล้วว่า อย่าพยายามสร้างความบาดหมางกับพวกเขา และถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรก็ตามแต่ถ้าหากพวกมันทำอะไรมากกว่านี้ ข้าก็คงสังหารพวกมันเช่นเดียวกับเจ้า แม้ว่าข้าจะรู้ว่าพวกมันมาจากนิกายเทพกระบี่ก็ตาม"

" แล้วปัญหาที่ข้าสร้างขึ้นนั้นจะส่งผลต่อท่านและผู้อาวุโสมากเพียงใด?"

"ไม่ต้องกังวล ต้องลืมมันไปเถอะ ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าเองก็ค่อนข้างมีอิทธิพลภายในเขตแดนดีเช่นกัน เราไปกันเถอะ ก่อนที่คข้าจะหมดอารมณ์ในการเดินเล่น พวกเราไปหาอาหารกินและพักผ่อนกันเถอะ"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าว

ชิงสุ่ยถอนหายใจ

"เอออ…..เมื่อกี้เจ้าดูจริงจังมากไปนะ" สายตาที่ลึกซึ้งและงดงามของชางห่ายหมิงเยวี่ยมองไปทางชิงสุ่ย

"กระแอ้ม กระแอ้ม….. เออ... ข้าเพียงพยายามทำให้มันดูสมจริงมากที่สุดก็เท่านั้นเอง"ชิงสุ่ยฝืนคืนภาพตอนที่เขายื่นจมูกของเขาไปแตะจมูกของเธอ มันทำให้บรรยากาศตอนนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดีและตื่นเต้นเร้าใจ แต่มันก็เป็นการกระทำที่ดูไม่สุภาพ

"เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าทำกับข้าวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะโกรธจนไม่อาจควบคุมตนเองได้และพลาดพลั้งสังหารเจ้าหรือไง?"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาด

ห่าวหยุนลิ่วลี่ยิ้มและมองไปที่ชิงสุ่ย

"ข้าไม่กลัวหรอก ฮ่าๆๆๆ"ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้ม

"ทำไมรึ?"ห่าวหยุนลิ่วลี่ยิ้มแล้วถามด้วยความสงสัย

"ไปกันเถอะ ลูกของพวกเรากำลังรอที่จะกินนมอยู่"

ห่าวหยุนลิ่วลี่และชางห่ายหมิงเยวี่ย "..............."

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน