px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 213 - วังเทวโลก


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

 

บทที่ 213 - วังเทวโลก

 

"ไปกันเถอะ ลูกของพวกเรากำลังรอที่จะกินนมอยู่"

 

ห่าวหยุนลิ่วลี่ "..............."

 

ชิงสุ่ยชิงที่กำลังมองดูหญิงสาวโฉมงามดุจนางอัปสรกำลังแสดงท่าทางโกรธ เขายิ่งรู้สึกว่าพวกเธอมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

 

"เจ้าคนเจ้าชู้ ไอ้คนไม่ดี……."ห่าวหยุนลิ่วลี่บ่นพึมพำราวกลับว่าเธอกำลังพูดอยู่กับตัวเอง แต่ในทุกคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกของเธอ

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยรีบปล่อยมือชิงสุ่ยออกในทันที ใบหน้าของเธอนั้นค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ชิงสุ่ยรับรู้กลิ่นหอมจากการสัมผัสมือที่นุ่มนวลของเธอ มันเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่ยั่วยวนใจเมื่อสัมผัสปลายจมูก

 

ในขณะที่ชิงสุ่ยมองดูรูปลักษณ์ที่ทรงเสน่ห์ของชางห่ายหมิงเยวี่ย โดยเฉพาะยอดหน้าอกคู่งาม มันทำให้เค้าคิดถึงตอนที่นายน้อยเฟิงจ้องมองและต้องการที่จะทำสิ่งที่น่าขยะแขยงต่อชางห่ายหมิงเยวี่ยโดยอาศัยสถานะเป็นหลานของผู้อาวุโสเฟิงแห่งนิกายเทพกระบี่ มันยิ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกหดหู่ใจในตัวของชายทั้งสามคน

 

โดยทั่วไปแล้วชิงสุ่ยก็ไม่ได้รังเกียจชายแต่งตัวประหลาดทั้งสามคน เพียงแต่พวกเขานั้นกล้าตะโกนเรื่องที่น่าอับอายท่ามกลางผู้คนมากมายตอนกลางวันแสกๆ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าชายทั้งสามคนนี้เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง และความโง่งม

 

แม้ว่าตัวของชิงสุ่ยและสาวงามทั้งสองจะไม่ได้ออกไปไกลจากเส้นทางแห่งทักษิณากาล แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ชิงสุ่ยไม่ต้องวิตกกังวล ในทางกลับกัน เขาเองก็รู้สึกว่าเหตุการณ์เหล่านี้คือว่าเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อมีสาวงามดุจนางอัปสรปรากฏตัวขึ้น ใครกันที่จะไม่อยากครอบครองพวกนาง

ในตอนแรกเขาคิดว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยจะค่อนข้างมีชื่อเสียงภายในเมืองเมฆามรกตอย่างน้อยก็พื้นที่ทางตอนใต้ของเมือง แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะต้องถูกรังแกตั้งแต่วันแรก มันจึงทำให้ชิงสุ่ยเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด

 

พื้นแผ่นดินในโลกเก้ามหาทวีปกว้างใหญ่ไพศาลเหลือขนาด และประชากรที่มากเกินกว่าล้านล้านคน แต่ละอาณาจักรเต็มไปด้วยผู้คนมากมายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคน อีกทั้งทั้งโลกใบนี้ยังมีและกลุ่มตระกูลมากมาย ยังไม่นับรวมผู้ที่เป็นราชันย์ในแต่ละที่ของโลกใบนี้

 

สำหรับปุถุชนคนธรรมดานั้นที่ไม่เคยออกผจญภัยในโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ และขีดจำกัดในการเดินทาง การที่พวกเขาจะสามารถแพร่กระจายชื่อเสียงของพวกเขาให้ดังออกไปในเมืองต่างๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

 

นั่นจึงทำให้แม้แต่คนที่มีชื่อเสียงและโด่งดังภายในโลกเก้ามหาทวีป ถึงแม้ว่าชื่อของพวกเขาจะถูกเล่าขานกันเป็นร้อยเป็นพันปี ผู้คนส่วนมากก็ยังคงไม่เคยเห็นหน้าค่าตาพวกเขามาก่อน

 

และเนื่องจากการสื่อสารภายในดินแดนเจ้ามหาทวีปแห่งนี้ยังมีขีดจำกัดมากมายไม่เหมือนโลกใบก่อน มันจึงทำให้การขยายฐานอำนาจและชื่อเสียงจึงเน้นไปในทางการแต่งกายหรือลักษณะที่สามารถทำให้ผู้คนจดจำได้ เช่นการสวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมกระบี่เงินของนิกายเทพกระบี่ และเสื้อคลุมสามสีของนิกายสราญรมย์ ซึ่งมันก็ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นมีชื่อเสียงขึ้นมาได้

 

นิกายกระบี่นภาเป็นที่รู้จักกันดีภายในอาณาจักรชางหลางแต่เมื่อออกสู่โลกภายนอก มันกลับไม่เหลือสิ่งใดเอาไว้เป็นเครื่องหมายแสดงความยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับนิกายเทพกระบี่ ถ้าหากพวกเขาออกจากประตูทักษิณไป  พวกเขาคงจะไร้ซึ่งเสียงไม่ต่างกัน

 

จากเรื่องราวทั้งหมด ความสำเร็จย่อมขึ้นกับเวลา ขึ้นกับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ในสถานที่แห่งนี้ นิยายเทพกระบี่ได้เปรียบทางด้านตำแหน่งที่ตั้ง เนื่องจากเป็นนิกายที่สืบทอดกันมายาวนานกว่าพันปีภายในทางประตูทิศทักษิณ วันที่ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถวางรากฐานที่ยาวนานจนกลายเป็นรากฐานขนาดใหญ่ได้แต่ถ้าหากพวกเขาออกจากประตูทิศทักษิณไปพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับปุถุชนคนทั่วไป แต่ถ้าหากพวกเขายังคงอยู่ในพื้นที่ประตูทิศประจิม พวกเขาจะมีชื่อเสียงและความแข็งแกร่งเหนือกว่าหลายๆอาณาจักร

 

"แม่นางหมิงเยวี่ย นิยายเทพกระบี่แข่งแกร่งมากจริงๆหรือ? และผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ภายในนิกายเทพกระบี่นั้นอยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสหรือไม่?"ชิงสุ่ยเริ่มต้องการอยากรู้เรื่องราวพลังอำนาจและความแข็งแกร่งของนิกายที่โด่งดังแห่งนี้ นอกจากนี้ชิงสุ่ยเองก็อยากรู้ระดับพลังผู้เป็นพ่อของชางห่ายหมิงเยวี่ย

 

"เจ้าสามารถบอกระดับพลังในการบ่มเพาะของท่านพ่อข้าได้อย่างนั้นหรือ?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยถามกลับพร้อมทั้งแสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ มันยิ่งทำให้เสน่ห์ของเธอวังลึกตราตกลงไปในจิตใจของชิงสุ่ยมากยิ่งขึ้น

 

ชิงสุ่ยได้แต่จ้องมองใบหน้าที่วิจิตรงดงามของชางห่ายหมิงเยวี่ย ขนตาคู่ยาวยิ่งเสริมสร้างความงดงามให้กับดวงตาที่ชัดเจนของเธอ ในตอนนี้ลูกรักของเธอนั้นเปรียบดังภาพวาดที่ที่ปราณีตในทุกลายเส้น

 

"ตัวข้านั้นยังไม่สามารถรับรู้ถึงพลังนั้นได้"ชิงสุ่ยกล้าออกมาอย่างจริงจังในขณะที่เขากำลังจะถูกชางห่ายหมิงเยวี่ยเคาะศีรษะ

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยไร้คำพูด เธอยังตกอยู่ในอาการตกใจในการกระทำของชิงสุ่ยก่อนหน้านี้ ในตอนแรกเธอคิดว่า ชิงสุ่ยจะสามารถบอกระดับพลังพ่อของเธอได้จริงๆ ซึ่งในระหว่างที่รอคำตอบนั้นเธอก็พบเห็นว่าเขานั้นจ้องมองเธอนานยังผิดสังเกต

 

แต่อย่างน้อยในสายตานั้นก็ไม่มีความน่ารังเกียจผสมอยู่ แต่หลังจากที่เธอได้ยินคำตอบเธอก็ค่อนข้างจะรู้สึกโกรธเนื่องจากการที่เขาไม่สามารถบอกระดับพลังท่านพ่อของเธอได้ แต่เหตุใดเขาจึงจำเป็นต้องมองเธอเป็นเวลานานัก

 

ตัวของชางห่ายหมิงเยวี่ยเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังหรือแม้กระทั่งรู้สึกถึงความรัก เธอรู้สึกว่าตัวเธอนั้นยังคงมองไม่เห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตัวของชิงสุ่ย เธอเองไม่สามารถบอกระดับพลังในการบ่มเพาะของชิงสุ่ยได้ ในขณะที่เขานั้นช่างดูคล้ายปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปที่ไร้อำนาจ ซึ่งเธอเองก็ได้ขอร้องให้พ่อของเธอประเมินระดับพลังของเขา ซึ่งมันเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นพ่อของเธอประเมินระดับพลังของผู้อื่น อีกทั้งเธอยังได้รับคำตอบว่า "ดีมาก"กลับมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคำว่า "ดีมาก" กับคำว่า "ไม่เลวเลย" แม้พวกมันจะจะฟังดูเป็นคําที่ชื่นชมแต่มันก็แปลงไปด้วยความแตกต่าง สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายมากที่สุดก็คือการที่แม่ของเธอนั้นต้องการที่จะจับคู่เธอกับเขา หลังจากที่ได้พบหน้าชิงสุ่ยเป็นครั้งแรก มันก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้เลยว่า นี่มันต้องเป็นเรื่องตลกมากแน่ๆ ตัวของเธอเองนั้นไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน และไม่เคยคิดจะแต่งงานกับใคร

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ชางห่ายหมิงเยวี่ยเองก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจ และยิ่งไปกว่านั้น ชิงสุ่ยเองยังเป็นคนที่ห่าวหยุนลิ่วลี่หลงรัก เธอไม่อาจทำผิดต่อความรักที่ห่าวหยุนลิ่วลี่มีต่อชิงสุ่ยได้

 

"ถ้าวันใดข้าไม่ได้เจอเขา ข้าคงจะต้องคิดถึงเขามากแน่ๆเลย เพียงแค่ข้าได้เจอหน้าเขาข้าก็มีความสุขแล้ว ถ้าหากเขามีความสุขหัวใจของข้าก็จะมีความสุข และถ้าหากวันใดที่เขาเศร้าหัวใจของข้าก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน ทุกครั้งที่ข้าได้พบหน้าหัวใจของข้าก็เต้นถี่ ข้าชอบในทุกถ้อยคำที่เขากล่าวออกมา……"ชางห่ายหมิงเยวี่ยยังคงคิดถึงสิ่งที่ห่าวหยุนลิ่วลี่กล่าวไว้กับเธอ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นคำพูดของเขาในวันนี้กลับตราตึงอยู่ไหนความคิดของเธอตลอดเวลา

 

"เยวี่ยเยวี่ย กลับบ้านกันเถอะ ลูกของพวกเรากำลังรอที่จะกินนมอยู่นะ"ชางห่ายหยิงเยวี่ยรู้สึกได้ว่าในเวลาสั้นๆตอนนั้นหัวใจของเธอนั้นเต้นถี่มาก คำพูดของชายหนุ่มคนนี้นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่จริงจังและความรู้สึกอบอุ่น แม้มันจะดูเหมือนภาพลวงตาแต่เธอกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ผ่านเข้าสู่หัวใจของเธอ

 

ความคิดและภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถาโถมเข้าสู่จิตใจของชางห่ายหมิงเยวี่ย โดยเฉพาะคำพูดและสายตาที่อ่อนโยนของชิงสุ่ย เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงสายตาของชิงสุ่ยเพื่อไม่ให้เขาเห็นความรู้สึกของเธอ ในตอนนี้เธอนั้นไม่ได้รู้สึกเกลียดชังใดๆทั้งสิ้น แต่มันเป็นความรู้สึกแห่งความสุขที่กำลังเติมเต็มในหัวใจ

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยรู้สึกว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นหนึ่งในชายที่สมควรรักษาไว้ เขาเป็นชายที่มักจะสร้างความประหลาดใจได้ในทุกๆครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้ชางห่ายหมิงเยวี่ยรู้สึกหงุดหงิดมากที่สุดนั่นก็คือเธอกำลังมองเห็นภาพเงาสะท้อนพ่อของเธอจากตัวของชิงสุ่ย ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่อาจเกลียดชังชิงสุ่ยได้อีก ต่อให้ชิงสุ่ยพยายามกลั่นแกล้งหรือล้อเลียนเธอ เธอก็ไม่รู้สึกเกลียดชังใดๆทั้งสิ้น

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชางห่ายหมิงเยวี่ยมองเห็นการกระทำที่เด็ดเดี่ยวและมั่นใจของชิงสุ่ย เธอชอบวิธีการในการจัดการสิ่งต่างๆของเขา และเธอค่อนข้างชอบสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจลงไป สำหรับชายวัยกลางคน 2 คนที่เพิ่งเผชิญกับความทรมาน ชางห่ายหมิงเยวี่ยรู้ดีว่าถ้าหากชิงสุ่ยต้องการจัดการขั้นเด็ดขาด ชายวัยกลางคนระดับเทวะเซียนเทียนทั้ง 2 คนคงจะกลายเป็นคนพิการเป็นอย่างน้อย ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้หวังจะเห็นเหตุการณ์เช่นนี้

 

"นิกายเทพกระบี่ถือเป็นหนึ่งในนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่อาณาเขตนี้ และยังเป็นนิกายที่มีประชากรมากที่สุดอีกด้วย ดังนั้นโครงข่ายความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงยิ่งใหญ่เช่นกัน ดังนั้นในพื้นที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาไม่อาจกระทำได้ ซึ่งทุกคนเองก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจำนวนของผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสที่อยู่ในนิกายนั้นมีมากเพียงใด แต่อย่างน้อยทุกคนก็รู้ดีว่าตำแหน่งระดับผู้อาวุโสนั้นมีไม่ต่ำกว่า 30 คนอย่างแน่นอน และผู้อาวุโสบางคนก็บรรลุถึงในระดับปราณเทวะกษัตริย์อีกด้วย ซึ่งบางคนอาจจะสูงกว่านั้น"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวคำอธิบายขนาดที่เธอมองไปทางชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยคนข้างรู้สึกประหลาดใจในจำนวนตัวเลขเหล่านี้ เพียงแค่ตัวตนของชางห่ายหมิงเยวี่ยคนเดียวก็แข็งแกร่งเหนือกว่าทุกคนที่อยู่ในอาณาจักรชางหลางแล้ว

 

"มีใครที่อยู่ในนิกายเทพกระบี่ สามารถบรรลุก้าวข้ามระดับปราณเทวะกษัตริย์ขึ้นสู่ปราณนักบุญพิโรธบ้างหรือไม่?"ชิงสุ่ยเงยหน้าจ้องมองชางห่ายหมิงเยวี่ยพร้อมทั้งกล่าวถาม

 

"เรื่องอื่นข้าไม่มั่นใจ แต่เรื่องนี้ถ้าสามารถบอกเจ้าได้หรือว่า ไม่เพียงแต่นิกายเทพกระบี่จะไม่มีใครที่อยู่ไหนระดับปราณนักบุญพิโรธ แม้แต่กลุ่มวังเทวโลกที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเมฆามรกตที่สืบทอดกันมามากกว่าหมื่นปีก็ไม่ปรากฏผู้ที่อยู่ในระดับปราณนักบุญพิโรธเช่นกัน"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวพร้อมก็ถอนหายใจ

 

ชิงสุ่ยเองรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นมันช่างไม่น่าเป็นไปได้ มันจะไม่มีใครในมหาทวีปเมฆามรกตเลยสักคนหนึ่งเลยหรือที่อยู่สามารถก้าวข้ามขึ้นไปอยู่ในระดับปราณนักบุญพิโรธได้ แต่หลังจากที่เธอบอกว่าอย่างน้อยก็มีระดับปราณเทวะกษัตริย์อยู่ 30 คนที่ฝึกตนอยู่ในนิกายเทพกระบี่ นั่นจึงทำให้เขาคิดแล้วจริงๆว่าไม่มหาทวีปเมฆามรกตแห่งนี้คงจะไม่มีผู้ฝึกตนปราณนักบุญพิโรธอยู่จริงๆ

 

เมื่อเธอมองดูความสงสัยที่รวยสายตาของชิงสุ่ย ช่างห่ายหมิงเยวี่ยจึงหัวเราะและค่อยๆกล่าวว่า"มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะที่จะสามารถก้าวข้ามระดับปราณเทวะกษัตริย์ขึ้นสู่ระดับปราณนักบุญพิโรธ ถ้าเคยได้ยินข่าวลือที่ว่าผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่อยู่ในกลุ่มวังเทวโลกได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของระดับปราณเทวะกษัตริย์และเขาได้พยายามฝึกฝนบ่มเพาะดีกว่า 700 ปี จนแม้กระทั่งเขาต้องละสังขาร เขาก็ยังคงไม่อาจลิ้มรสชาติการก้าวขึ้นสู่ระดับปราณนักบุญพิโรธใด อันที่จริงแล้วในมหาทวีปเมฆามรกตแห่งนี้ก็มีผู้คนมากมายก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของระดับปราณเทวกษัตริย์ แต่พวกเขาก็ได้ใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตของพวกเขาในการพยายามบ่มเพาะแต่พวกเขาก็ไม่มีคนใดเลยที่สามารถก้าวข้ามไปได้ โดยเฉพาะ 1000 ปีที่ผ่านมานี้ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องคนที่สามารถก้าวข้ามขึ้นสู่ระดับปราณนักบุญพิโรธเลยแม้แต่ครั้งเดียว"

 

นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาทวีปเมฆามรกตคือกลุ่มนิกายวังเทวโลก ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อที่ชิงสุ่ยคุ้นเคยมาก และแล้วเขาก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที เพราะชื่อที่คุ้นเคยมีคือชื่อที่ทุกคนบนโลกเก้ามหาทวีปรู้จัก และยังเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในมหาทวีปแห่งนี้ แม้ว่ามหาทวีปเมฆามรกตจะเป็นทวีปที่อ่อนแอที่สุดของโลกเก้ามหาทวีป

 

ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่านิกายกระบี่นภากับนิยายเทพกระบี่มีชื่อที่คล้ายคลึงกัน มั่นคงจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกัน

 

"การที่จะสามารถก้าวข้ามระดับปราณเทวะกษัตริย์ขึ้นสู่ระดับปราณนักบุญพิโรธมันจะยากขนาดไหนกันนะ?"ชิงสุ่ยถูจมูกขนาดที่เขาถามด้วยความข่มขื่น แม้ว่าจะมีระดับพลังที่สูงเหนือกว่าระดับปราณนักบุญพิโรธ ไม่ว่าจะเป็นระดับพลังปราณจักรพรรดิ ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ หรือแม้กระทั่งระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ตัวของชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่ามหาทวีปที่อ่อนแอที่สุดแห่งนี้ จะไม่มีแม้แต่คนเดียวเลยที่สามารถบรรลุในระดับปราณนักบุญพิโรธได้

 

"มันช่างเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ พื้นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของมหาทวีปเมฆามรกต กลับไร้จอมยุทธที่แข่งแกร่ง ไม่มีแม้กระทั่งคนที่บรรลุปราณนักบุญพิโรธ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสารเหลือเกิน"ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

 

"ถูกต้องแล้วล่ะ เพียงแค่เส้นทางสู่เทวะเซียนเทียน ก็สามารถปิดกั้นคนทางก้าวต่อไปของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว  มีเพียงหนึ่งในหมื่น หรืออาจจะเป็นหนึ่งในแสนเท่านั้นที่จะสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับเทวะเซียนเทียนได้ แม้ว่าคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มนั้นจะสามารถบรรลุระดับเทวเซียนเทียนได้ มันก็จะมีระดับขั้นอีกกว่า 10 ขั้นที่คอยขัดขวางมีให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดต่อไป แล้วจะมีสักกี่คนกันที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของผู้ฝึกตนเทวเซียนเทียนไปได้ แล้วหลังจากที่ก้าวขึ้นสู่ระดับปราณเทวะกษัตริย์ กว่าที่พวกเขาเหล่านั้นจะก้าวต่อไปได้แต่ละก้าวมันก็ยอมยากราวกับการตามหาเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์ แม้ว่าพวกคนเหล่านั้นจะใช้ความพยายามทั้งหมดในการขึ้นสู่จุดสูงสุดของระดับปราณเทวะกษัตริย์พวกเขาเหล่านั้นก็ยังมองไม่เห็นหนทางในการที่จะก้าวขึ้นไปสู่ระดับปราณนักบุญพิโรธ ดังนั้นการที่คนคนนึงจะสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับปราณนักบุญพิโรธได้คงจะเป็นการที่สวรรค์ขีดเขียนชะตาชีวิต และมอบพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับคนคนนั้น ซึ่งแม้แต่คนที่ได้รับพรสวรรค์จากพระเจ้าอย่างสัตตะดวงใจลี้ลับก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดเหล่านั้นไป"ชางห่ายหมิ่งเยวี่ยกล่าวอย่างลึกซึ้ง

 

ชิงสุ่ยเองก็เห็นด้วยกับเรื่องเหล่านี้ เพราะเพียงแค่การที่เขาจะก้าวขึ้นสู่คลื่นสวรรค์ขั้นที่ 4  ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาลเขาก็ต้องใช้เวลาไปกว่า 7 ปี นั่นก็หมายความว่าเขานั้นติดอยู่บนจุดสูงสุดของระดับโฮ่วเทียนไปถึง 7 ปี ถ้าเปรียบกับโลกใบนี้ เขาควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนที่ได้รับพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่จากสวรรค์ แต่ตัวของชิงสุ่ยเองจับรู้สึกว่าทุกอย่างไม่อาจรอได้ ชีวิตของเขาในโลกใบนี้ได้รับความทุกข์ทรมานมาตลอด รวมถึงการท้าทายต่างๆ และการที่เขาได้รับสิ่งที่เลวร้ายมากมาย เมื่อมองดูชางห่ายหมิงเยวี่ยที่สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของระดับเทวะเซียนเทียนได้ตั้งแต่อายุ 30 ปี เมื่อเปรียบเทียบระหว่างตัวเขาและเธอ มันยิ่งทำให้ชิงสุ่ยไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเขานั้นเป็นคนที่แข็งแกร่ง

 

" พวกเรากลับไปทานมื้อกลางวันก่อนดีกว่าแล้วเดี๋ยวค่อยออกมาเดินเล่นใหม่ในช่วงบ่าย และเพื่อเป็นการลงโทษเจ้าในวันนี้ ข้าขอสั่งให้เจ้าทำอาหารให้พวกเรากิน"มันช่วยไม่ได้ที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยจะรู้สึกโกรธที่เขาคิดใช้ประโยชน์จากเธอ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ยังแฝงไปด้วยความรู้สึกยินดี

 

"ท่านรู้วิธีการทำอาหารบ้างหรือไม่?"ชิงสุ่ยเปล่าถามชางห่ายหมิ่งเยวี่ยขณะกำลังเดินมุ่งหน้ากลับบ้าน

 

"ข้าทำไม่เป็น"ชางห่ายหมิงเยวี่ยตอบด้วยความเขินอาย

 

"แล้วเจ้าเคยทำอาหารบ้างสักครั้งหรือไม่"ชิงสุ่ยยิ้มและถามอีกครั้ง

 

"ไม่"ชางห่ายหมิงเยวี่ยตอบกลับด้วยความเขิลอาย ในขณะที่เธอไม่เข้าใจสิ่งที่ชิงสุ่ยกำลังถาม

 

เมื่อเห็นการตอบกลับที่ลังเลของชางห่ายหมิงเยวี่ย ชิงสุ่ยจึงยิ้มและกล้าบอกเธอว่า "ท่านต้องการทำอาหารอร่อยๆให้กับท่านพ่อท่านแม่ของท่านสักครั้งหรือไม่?"

 

 

รีวิวผู้อ่าน