px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 217 -  รูปลักษณ์กระเรียน จากเคล็ดวิชาเลียนแบบสัตว์เก้าอสูร ความเร็วขีดเส้นแบ่งกันฟ้าดินกับสวรรค์


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 217 -  รูปลักษณ์กระเรียน จากเคล็ดวิชาเลียนแบบสัตว์เก้าอสูร ความเร็วขีดเส้นแบ่งกันฟ้าดินกับสวรรค์

ชิงสุ่ยเก็บเลือดกว่า 10 หยด จากตัวของเต่ายาทองคำ เลือดแต่ล่ะหยดของมันนั้นล้วนเป็นสีทองและมีขนาดเท่าเม็ดถั่วซึ่งค่อยๆถูกเติมเต็มในขวดแก้วเล็กๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยจำเป็นต้องใช้เลือดของมันจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากครั้งก่อน

 

ชิงสุ่ยมองเห็นรูปลักษณ์ที่ดูไม่พอใจจากสายตาของเต่ายาทองคำ ก่อนที่มันจะกลับไปนอนอาบแดดเช่นเคย

 

ชิงสุ่ยก็ได้สกัดเลือดจากหอยหลอดเงินขาวพันปี ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะไม่รู้สึกอะไรต่อเขา และเมื่อมองไปที่คุณภาพของเลือด คุณภาพของมันนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับเลือดของเต่าหญ้าทองคำหรืออาจจะแย่กว่าเล็กน้อย

 

ชิงสุ่ยเองค่อนข้างดีใจอย่างยิ่งที่การฝึกฝนของเขาคืบหน้าขึ้นไป เขารู้สึกซึ่งความสงบอย่างเห็นได้ชัดในทุกๆครั้งที่เขาฝึกฝน โลกทั้งใบเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วคราว

 

เมื่อเวลาใกล้สิ้นสุดลง ชิงสุ่ยจึงรีบทำความสะอาดตัวเองในขณะที่เขาอยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ก่อนที่เขาจะกลับออกมาเพื่อพักผ่อนในห้องของเขา ชิงสุ่ยชอบที่จะนอนยามเมื่อเขาอยู่ภายนอกดินแดนห้วงมิติ แม้ว่ามันจะเป็นเวลาเพียงชั่วครู่ยามเมื่อเขาอยู่ภายในดินแดนห้วงมิติ และเขาก็ไม่อยากเสียเวลาใดๆเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเลือกที่จะนอนภายนอกดินแดน

 

ในตอนเช้าเขาตื่นขึ้นมาตามปกติ แม้ว่าชิงสุ่ยจะเคยกล่าวว่าเขาต้องการมอบสูตรในการบ่มสุราเชียงชุนกระดูกเสือให้กับชางห่ายผู้เป็นพ่อซึ่งเขาก็ได้รับคำตอบด้วยการปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะบ่มมันเพื่อมอบให้กับชางห่ายผู้เป็นพ่อในทุกๆวัน โดยที่เขาเองก็สามารถร่วมวงดื่มได้ด้วยเช่นกัน

 

ในตอนเช้าเขายังคงฝึกฝนเคล็ดวิชารูปรลักษณ์หมี แม้ว่าการฝึกฝนยังไม่อาจบรรลุขั้นเพิ่มพูลได้ แต่ถ้าหากวันใดที่เขาสามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นสมบูรณ์แบบ พลังของมันจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะคาดคิดอย่างแน่นอน

 

ตัวของชิงสุ่ยเองก็ยังคงพยายามฝึกฝนเคล็ดวิชารูปลักษณ์กระเรียน ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมายังเมืองหลวงของมหาทวีปเมฆามรกต ในตอนที่ชิงสุ่ยพยายามเขียนสำเนาของเคล็ดวิชารูปลักษณ์กระเรียนเขาก็เริ่มเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างที่ตัวเอง ดังนั้นเขาจึงพยายามฝึกฝนเคล็ดวิชารูปลักษณ์กระเรียนมาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

 

หลังจากที่เขาฝึกฝนมาระยะหนึ่ง ชิงสุ่ยก็เริ่มรู้สึกได้ว่าเขาสามารถประยุกต์การใช้งานเคล็ดวิชารูปลักษณ์กระเรียนได้หลากหลายอย่าง เคล็ดวิชารูปลักษณ์กระเรียนส่วนใหญ่จะเน้นไปในทางสมดุลและจะไม่ค่อยปรับสมดุลร่างกายของผู้ชายให้มีน้ำหนักเบาลง แต่ความแข็งแกร่งปรับเพิ่มขึ้น

 

เมื่อสำเร็จขั้นเริ่มต้นมันจะช่วยลดน้ำหนักในร่างกายลง ถึง 10% และเมื่อสำเร็จในขั้นเพิ่มพูลน้ำหนักในร่างกายจะลดลง 20%  และในที่สุดเมื่อบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ น้ำหนักในร่างกายของคนเราจะลดลงครึ่งหนึ่งในทันที

 

ชิงสุ่ยรู้ดีว่าน้ำหนักนี้ไม่ใช่น้ำหนักที่แท้จริงของร่างกาย แต่มันเป็นความรู้สึกที่เขารู้สึกได้ว่าร่างกายนั้นมีน้ำหนักที่ลดลง ทั้งๆที่ร่างกายน้ําหนักคล้ายจะลดลง 10%  และความแข็งแกร่งในร่างกายนั้นจับเพิ่มส่วนทางกัน มันกลับเพิ่มขึ้นอีก 10%

 

"นี่คงจะทำให้ข้าสามารถแข็งแกร่งขึ้นอีก 10 เปอร์เซ็นต์"ชิงสุ่ยเปล่าในขณะที่เขาค่อยๆเชื่อในความคาดดาวต่างๆ และเขาก็รู้สึกอีกว่า การเลียนแบบสัตว์ตัวอื่นที่อยู่ภายในเคล็ดวิชาเลียนแบบสัตว์ 9 อสูร เต็มไปด้วยหนทางที่ยากลำบากมากยิ่งขึ้น ทั้งที่มันถูกเรียกว่าเคล็ดวิชาเลียนเเบบสัตว์ 9 อสูร แต่ตัวของชิงสุ่ยเองกับเริ่มไม่แน่ใจละว่าเขาจะสามารถควบคุมพวกมันได้กี่แบบ

 

สัตว์อสูรทั้ง 9 ตัวนั้นประกอบขึ้นจาก มังกร นกหงส์เพลิง รุด คชสาร กระเรียน หมี พยัคฆ์ ราชันวานร กวาง ตัวของชิงสุ่ยนั้นได้ข้ามการฝึกฝนรูปลักษณ์วานรออกไปโดยเลือกฝึกฝนแต่รูปลักษณ์กระเรียน เพราะเขาเชื่อว่าในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขานั้นเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง และเขาเชื่อว่าเขาจะได้รับประโยชน์จากมันมากยิ่งขึ้น นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ชิงสุ่ยเชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งเขาอาจจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 50%  เมื่อมันผนวกเข้ากับเคล็ดวิชาอื่นๆ

 

ชิงสุ่ยยังคงหมั่นฝึกฝนรูปลักษณ์กระเรียนอยู่หน้าห้องของเขาอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นของรูปลักษณ์กระเรียนนั่นก็คือการใช้ขา ผนวกกับแขน และท่าทาง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของอำนาจกระเรียน

 

เคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาสนับสนุนอย่างแท้จริง มันสามารถผนวกเข้ากับทุกเคล็ดวิชาในทุกๆเวลาในยามจำเป็นที่จะต้องต่อสู้ ชิงสุ่ยได้ตระหนักว่าเมื่อเขาใช้อำนาจกระเรียนผสานเข้ากับ ลูกเตะพยัคฆ์คำรณมันสามารถส่งให้พลังนั้นไหลไปตามธรรมชาติและยิ่งทวีคูณความว่องไวจนสามารถส่งศัตรูสู่ความตายได้ทันทีโดยใช้เพียงกระบวนท่าเดียว

 

มันทำให้รู้สึกว่าการยกของหนักกลายเป็นสิ่งที่เบา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเบาลงแต่ความรุนแรงที่ระเบิดออกมานั้นกลับน่ากลัวเกินกว่าจะคาดคิดถึง

 

รูปลักษณ์กระเรียนแม้จะดูไม่มีท่าทางใดๆแต่มันกลับมีลักษณะคล้ายกับเคล็ดกวางย่างก้าว ซึ่งมันคอยสนับสนุนกันได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากเคล็ดวิชานี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ชิงสุ่ยรู้สึกได้ทันทีว่าเมื่อนำมันมาผนวกกับเคล็ดกวางย่างก้าวมันทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นสู่ถึง 20% แม้ว่าจะสำเร็จเพียงแค่ขั้นเริ่มต้นก็ตาม

 

ในหมู่ผู้มีพลังความแข็งแกร่งและอำนาจ ช่องว่างระหว่างความเร็วของพวกเขานั้นมีขนาดเล็กมาก เช่น ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับเทวะเซียนเทียนมีมากถึง 80000 จิน แต่ละถ้าหากเป็นผู้ที่อยู่ระดับโฮ่วเทียน(ก่อนเซียนเทียน) จะมีความแข็งแกร่งประมาณ 10000 จิน แต่ในแง่ของความเร็ว ความเร็วของผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียนเพียงก้าวเดียว พวกเขาสามารถไปไกลได้ถึง 20 เมตร แต่ผู้ที่อยู่ในตับโฮ่วเทียนก็ยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ไกลถึง 10 เมตร

 

ในแง่ของความแข็งแกร่ง ช่องว่างระหว่างพวกเขาอาจสูง  8-9 เท่า อย่างไรก็ตามในแง่ของความเร็วความแตกต่างของพวกเขามีอยู่ประมาณเพียงแค่ 2 เท่าๆนั้น แต่ความแตกต่าง 2 เท่านี้เรียกว่าเป็นความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับพื้นดินก็ว่าได้

 

ความเร็วคือความแข็งแกร่ง หากวันใดศาสตราวุธของผู้อื่นมุ่งเป้ามาที่ศีรษะของคนๆหนึ่ง และถ้าหากคนๆนั้นมีความเร็วมากเพียงพอ เขาก็จะไม่มีวันโดนทำร้ายได้อย่างเด็ดขาด นั้นคือเหตุผลว่าทำไมในมวลหมู่ผู้ฝึกตนและจอมยุทธทั้งหมดในโลกใบนี้ สิ่งที่เชื่อว่าความเร็วเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีใครสามารถเอาชนะได้ นั่นจะทำให้อัญมณีสีดำขั้นที่ 3  มีราคามากกว่าอัญมณีที่แสนล้ำค่าชนิดอื่นแม้ว่าจะอยู่ระดับเดียวกัน

 

และสิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประทับใจอยู่ลึกลึกภายในใจมากที่สุด คือความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวของชางห่ายผู้เป็นพ่อจากการที่เขาได้แสดงความเร็วในก่อนหน้านี้ เพียงแค่ชางห่ายผู้เป็นพ่อเคลื่อนไหว ผู้อาวุโสจากนิกายเทพกระบี่ก็ไม่มีโอกาสรอดเลยแม้จะชั่ววินาทีเดียว มันเป็นความน่าสงสารที่เขาไม่สามารถแม้แต่จะตอบโต้ได้

 

ช่องว่างระหว่างผู้ฝึกตนปราณเทวะกษัตริย์ทั้งสองเป็นช่องว่างที่ใหญ่มาก กลิ่นอายจากคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าสามารถครอบงำผู้อื่นได้ แต่ทางด้านพลังอำนาจและ ความเร็วนั้น ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

 

รอยยิ้มอ่อนๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของชิงสุ่ย ในยามที่เขาสามารถควบคุมอำนาจกระเรียน เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าราวกับว่าตัวเขากำลังจะบินสู่ผืนนภา อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็รู้ดีว่าแม้ว่าเขาจะสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แบบ เขาก็ยังไม่อาจเป็นได้อยู่ที่ น้อยมันก็สามารถเพิ่มความเร็วของเคล็ดวิชากวางย่างก้าวได้ อีกทั้งยังสามารถรักษาสมดุลในแต่ละท่าทาง จนทำให้มันเข้าสู่การเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์ จนก่อให้เกิดพลังอำนาจที่รุนแรง

 

แม้ว่าจะไม่มีเคล็ดวิชาโจมตีจากรูปลักษณ์กระเรียน ซึ่งตัวของชิงสุ่ยตอนนัี้ก็รู้ดีว่าเขานั้นไม่มีเวลาในการฝึกฝนมากนัก แต่เขาเองก็ถือครองรูปลักษณ์หมีที่แข็งแกร่งมากเพียงพอแล้ว แต่เมื่อผนวกมันเข้าด้วยกันเขาก็รู้สึกได้เลยว่ารูปลักษณ์หมีก็มากเพียงพอแล้วต่อการตั้งรับ

 

รูปลักษณ์กระเรียนขึ้นอยู่กับความพยายามและแรงผลักดัน มันจะเป็นตัวที่ทำให้การฝึกฝนคืบหน้าอย่างรวดเร็ว

 

สิ่งที่ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อมากที่สุดคือรูปลักษณ์กระเรียนจะสามารถเข้ากันกับรูปลักษณ์หมีได้แม้ว่าพวกมันจะดูไม่ลงล่องลงลอยกัน แต่มันกลับเข้ากันได้ดี

 

รูปลักษณ์หมีเน้นไปในด้านความแข็งแกร่งและคอยเพิ่มน้ำหนักร่างกายของตัวเอง เมื่อรูปลักษณ์หมีถูกใช้งาน ชิงสุ่ยจะรู้สึกว่าร่างกายของเขาน้ำหนักขึ้นกว่า 1000 จิน มันจึงทำให้การโจมตีแต่ละครั้งแข็งแกร่งและมั่นคง และมันจะทำให้ร่างกายของเขามีความเสถียรภาพราวกับภูเขาที่สามารถด้านการโจมตีจากผู้อื่นได้มากกว่าเดิม

 

ชิงสุ่ยเคยเอาความคิดเกี่ยวกับการรวมรูปลักษณ์หมีและรูปลักษณ์กระเรียนออกไปจากสมองของเขา แต่เมื่อชิงสุ่ยได้ทดลองแล้วมันยิ่งทำให้เขารู้สึกงุนงงมาก เขารู้สึกราวกับว่าหมีกำลังจะลอยสู่ท้องนภาได้

 

เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ชิงสุ่ยรู้สึกได้ทันทีหรือว่ารูปลักษณ์หมี ได้สร้างความเร็วและการโจมตีที่เกิดจากแรงปะทะจนน่าสะพรึงกลัว จากที่ห่างไกลสายตาของคู่สามีภรรยาชางห่ายก็กำลังมองชิงสุ่ยด้วยความตกใจ

 

" รู่ตง เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้?"ชางห่ายหันศีรษะไปหาภรรยาโฉมงามที่อยู่ข้างกายเขาก่อนที่เขาจะยิ้มและกล่าวถาม

 

"ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาเป็นชายหนุ่มคนที่สอง ที่ข้าไม่อาจมองเห็นสิ่งใดในตัวเขาได้ ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับตัวเขาแม้แต่ข้าเองก็ไม่ต่างกัน"หญิงสาวโฉมงามยิ้มให้กับชางห่ายและกล่าวออกมา

 

"ข้าเองก็รู้สึกอิจฉา แต่เจ้าคงไม่มีทางชอบเขามากกว่าข้าอย่างแน่นอน"ชางห่ายยิ้มขณะที่เขาเอื้อมมือไปจับมือภรรยาโฉมงามของเขา

 

หญิงสาวโฉมงามเขินอายเล็กน้อย มันยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ก่อนที่เธอจะกลิ้งกรอกดวงตาของเธอไปมองชางห่ายและกล่าวว่า "นี้เจ้าพูดอะไรกัน? แม้ว่าเจ้าจะอายุ 70 กว่าปีแล้วก็ตามเจ้าก็ยังคงไร้สาระไม่เปลี่ยนแปลง"

 

"ฮ่าๆๆๆๆๆ รู้สึกสงสารในตัวของเยวี่ยเยวี่ยเหลือเกิน ดูเหมือนลูกของเราจะไม่มีความสนใจในตัวเขาเลย ถ้าไม่ใช่เขา ก็คงไม่มีใครเหมาะสมที่สุดกับเยวี่ยเยวี่ยแล้วละ"ชางห่ายกล่าวด้วยความรู้สึกแย่

 

"แม้ว่าเยวี่ยเยวี่ยจะไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลยในตอนนี้ แตกมันก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตเธอจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา"หญิงสาวโฉมงามกล่าวอย่างมีเสน่ห์

 

ลูกสาวของพวกเขาได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆและได้รับถ่ายทอดสายเลือดที่ยอดเยี่ยมจากคู่สามีภรรยาชางห่ายทั้งสอง มันจึงทำให้การฝึกฝนของเธอนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว แล้วมันก็ทำให้เธอหาคนที่คู่ควรกับเธอได้ยากแม้ว่าเธอจะอายุ 30 ปีแล้วก็ตาม

 

ชางห่าย เองคนข้างข้างบนว่าลูกสาวของเขานั้นจะมีความคาดหวังที่สูงมากและจะไม่สนใจคนที่อยู่ข้างกาย  มันยิ่งทำให้เขานึกถึงคำพูดที่เขาบอกไว้ว่าถ้าหากไม่ใช่ชายคนนี้ก็คงไม่มีใครคู่ควรกับลูกสาวของเขาแล้ว

 

"หรือว่าเจ้ากำลังจะบอกว่าเยวี่ยเยวี่ยกำลังรู้สึกผูกพันกับเด็กหนุ่มคนนี้"ชางห่ายมองดูการเคลื่อนไหวของชิงสุ่ยที่ดูเงอะงะ แต่กลับว่องไวและเต็มไปด้วยการประสานงานที่ดี ในมวลหมู่รุ่นเยาว์เด็กหนุ่มคนนี้เท่านั้นที่พอจะเทียบเทียมกับตัวเขาในวัยหนุ่มได้ แน่นอนว่าในกลุ่มผู้คนที่มีอายุใกล้เคียงกับเยวี่ยเยวี่ยไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง พวกเขาต่างถูกตัดสินโดยสายตาของช่างห่าย แต่กับเด็กหนุ่มคนนี้เขาถือว่าเป็นชายคนเดียวที่เต็มไปด้วยความลึกลับมากที่สุดตั้งแต่ชางห่ายเคยเจอ

 

"ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น แต่ถ้าเพียงบอกว่ามันมีความเป็นไปได้ดังกล่าว เมื่อเขาในตอนนี้อาจจะเข้าไปอยู่ในหัวใจของลูกสาวก็เราแล้ว"หญิงสาวโฉมงามมองชางห่ายและกล่าวด้วยความสุภาพ

 

" เข้าใจละ ถ้าเช่นนั้นข้าจะได้ละทิ้งเรื่องเหล่านี้ไป ข้าว่าคืนนี้พวกเราควรหาอะไรทำระหว่างเจ้ากับข้าดีกว่า"ชางห่ายดึงหญิงสาวโฉมงามเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนและค่อยๆกระซิบใกล้หูของเธอ

 

" ไอ้คนนิสัยเสีย เจ้าของอยากถูกข้าตีสินะ!!!!!"หญิงสาวโฉมงามวางมือลงบนแขนของชางห่าย เสียงพูดของเธอนั้นเป็นไปด้วยความดุดัน แต่มันกลับทำให้ชางห่ายรู้สึกเพลิดเพลิน

 

ทั้งสองยังคงอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันอย่างเงียบสงบ ก่อนที่หญิงสาวโฉมงามคนนี้จะก้าวออกไปจากชางห่าย

 

" ไอ้เจ้าโง่ เจ้านี่มันโง่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ ทำอย่างกับเจ้าไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง? ในตอนที่ชายหนุ่มมากมายจากนิกายเทพกระบี่มาตามล่าตัวเด็กหนุ่มน้อยคนนี้ ทำอย่างกับเจ้าไม่เห็นสีหน้าลูกของเรา ก็เห็นสีหน้าของนางไหมล่ะ?"รอยยิ้มอันน่าหลงใหลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาวโฉมงามขณะที่เธอพูดกับชางห่าย

 

ชางห่ายยังคงยืนตกตะลึง ก่อนที่เขาจะเรียกคืนภาพความวิตกกังวลที่อยู่ในใบหน้าลูกสาวของเขาในวันนั้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายหลายปีที่ชางห่ายได้เห็นรูปลักษณ์ดังกล่าวบนใบหน้าลูกสาวของเขาที่มีต่อคนนอกสายเลือด มันมีปัจจัยหลายหลายอย่างที่แฝงอยู่เบื้องหลังการแสดงออกดังกล่าว แต่ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวของเธอเอง ซึ่งมันอาจจะเป็นสัญญาณของจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง

"สุราวิศิษฎ์พิสุทธิฉันเป็นเครื่องดื่มที่ยอดเยี่ยมสำหรับข้าจริงๆ"ชางห่ายกล่าวอย่างฉับพลันพร้อมทั้งเผยรอยยิ้ม ในขณะที่เขามองชิงสุ่ยซึ่งกำลังอยู่ห่างไกลออกไป

 

เมื่อหญิงสาวโฉมงามคนนั้นได้ยินคำพูดของชางห่าย ใบหน้าของเธอยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง มันทำให้เธอนึกถึงค่ำคืนในวันนั้นที่ทำให้พวกเขาเกือบไม่ได้หลับได้นอน

 

ในมื้อเช้าทั้ง 5 คนนั่งลงรับประทานอาหารร่วมกันกับครอบครัวที่มีสานสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น แต่ละคนเป็นประกายไปด้วยรูปลักษณ์ที่งดงามอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

 

"ท่านผู้อาวุโส ข้าอาจจะต้องขออาศัยอยู่ที่นี่อีกสักพัก แม้กระทั่งในยามที่ข้ามีปัญหาท่านผู้อาวุโสไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยข้าเลย นี่คือตัวยาที่ข้าได้กันมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ได้โปรดยอมรับสิ่งของชิ้นนี้เป็นการตอบแทนจากความชื่นชมของข้าด้วยเถิด"ชิงสุ่ยหยิบขวดยาทั้งสองออกมาซึ่งในแต่ละขวดนั้นบรรจุยาเม็ดฟื้นฟูขนาดเล็กจำนวน 2 เม็ดเอาไว้

 

ก่อนที่ชิงสุ่ยจะได้ส่งขวดยาทั้งสองให้กับคู่สามีภรรยาชางห่าย ห่าวหยุนลิ่วลี่รู้ได้ทันทีว่าพวกมันคืออะไร แต่เธอก็ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมานอกเสียจากรอยยิ้มที่ปรากฏ

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยตกสู่ห้วงเวลาแห่งความสับสน เพราะเธอเองไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด เธอรู้สึกว่าชิงสุ่ยมีหลายอย่างที่คอยปิดบังเธอ และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกแบบนี้ ในอดีตที่ผ่านมาเธอไม่เคยขาดการดูแลเอาใจใส่และปิดบังต่างๆเลย

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยดูเหมือนจะรู้สึกหดหู่ใจแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอรู้สึกเช่นนั้น มันอาจเป็นเพราะว่าเธอกำลังรู้สึกบางสิ่งบางอย่างกัลบชายคนนี้

 

"โอ้ นี่คือของขวัญให้กับพวกเราอย่างนั้นหรือ? นี้เจ้ารู้เรื่องการปรุงยาด้วย?"ชางห่ายถามด้วยความประหลาดใจในขณะที่เขาเครื่องมือไปหยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็ก ซึ่งคราวนี้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริงนับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าชิงสุ่ยสามารถกลั่นสุราเชียงชุนกระดูกเสือได้เขาก็ประหลาดใจแล้ว แต่ในครั้งนี้เขากลับรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถแทบจะทุกด้าน

 

" นี่มันยาเม็ดระดับราชันย์ขั้นที่ 1"ชางห่าย มองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจและดวงตาก็เบิกกว้าง

 

เมื่อแม่ของชางห่ายหมิงเยวี่ยได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบเปิดขวดยากระเบื้อง ก่อนที่เธอจะหันไปมองชางห่ายผู้เป็นสามี "ความเป็นประกายและกลิ่นหอมนี้จะต้องเป็นยาระดับราชันย์อย่างแน่นอน ว่าแต่ผลลัพธ์มันจะช่วยในเรื่องใด?"

 

คำถามของเธอมุ่งเป้าไปที่ชิงสุ่ย

 

"เพิ่มความสามารถในทุกด้านอีก 10%"

 

"กระแอ้ม สิ่งของนี้มันมีค่าเกินไป ข้าไม่อาจยอมรับได้!!!"เมื่อชางห่ายได้ยินคำพูดของชิงสุ่ยที่กล่าวเรื่องผลลัพธ์ที่ได้ มันเต็มไปด้วยแววตาที่ชัดเจน สิ่งของนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาอยากได้มันมาครอบครอง

 

"ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้ ข้าได้พิสูจน์ผลของมันแล้ว แต่ช่างน่าเสียดายที่แต่ละคนจะสามารถใช้มันได้เพียง 2 ครั้งเท่านั้น"ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับยิ้มให้กับชางห่าย

 

"สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ในความเข้าใจของข้านี่คงเป็นยาเม็ดที่อยู่ในระดับสูงที่สุด ของยาเม็ดขั้นราชันย์ระดับ 1"ชางห่ายมองชิงสุ่ยดูท่าทางแปลกๆและยังคงยิ้มต่อไป

 

"ยาเม็ดที่ดีที่สุดในมวลหมู่ยาเม็ดขั้นราชันย์ระดับ 1?  หรือว่ายาเม็ดราชันระดับ 1  จะถูกแยกออกเป็นหลายๆขั้นย่อย"ชิงสุ่ยสังเกตเห็นว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่รู้จักจากคำพูดของชางห่าย

 

ช่างห่ายเองยังคงตกตะลึง เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอคนที่สามารถกลั้นยาเม็ดราชันระดับหนึ่งขึ้นมาได้ และที่สำคัญที่สุดคือเขากลับไม่รู้จักความรู้ทั่วไปในการเป็นนักปรุงยา

 

"ตราบเท่าที่มันสามารถเพิ่มระดับความสามารถขึ้นได้อีก 10% พวกมันจะถูกยกเป็นยาเม็ดราชัน ระดับที่ 1 ได้ทันที ซึ่งมันก็เหมือนกับยาเม็ดของเจ้านั้นเอง"ชางห่ายยิ้มแล้วมองไปที่ชิงสุ่ยราวกับว่าเขาต้องการเห็นการแสดงออกบางอย่างจากชิงสุ่ย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องรู้สึกผิดหวัง

 

"โอ้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ฮ่าๆๆๆๆเขาไม่รู้เรื่องเหล่านั้นหรอก ถ้ารู้เพียงแค่ว่าค่าสามารถกลั่นตัวยานี้ได้ ถ้าเพียงหวังว่าท่านผู้อาวุโสคงจะไม่ปฏิเสธมัน"ชิงสุ่ยถูจมูกของเขาพร้อมทั้งเผยรอยยิ้ม

 

ชางห่ายเองพูดไม่ออกไปทันที ยาเม็ดนี้แม้ว่ามันยังไม่เคยปรากฏราคาที่ไหนเลย รายการที่มันช่วยเพิ่มความสามารถในทุกด้านขึ้นอีก 10 เปอร์เซ็นต์ มันจึงเทียบเท่ากับยาเม็ดราชันอันล้ำค่าระดับ 3 ได้เลยทีเดียว

 

ชางห่ายสะบัดกำไลมือเพื่อหยิบอัญมณีสีดำออกมาซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับสิ่งที่ภรรยาชางห่ายมอบมันให้แก่ห่าวหยุนลิ่วลี่ก่อนจะส่งไปให้ชิงสุ่ย " ข้าไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้ ดังนั้นเจ้าควรรับสิ่งนี้ไป!!!"

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยเห็นว่าภายในกำไลของพ่อของเธอดูเหมือนจะเป็นอัญมณีสีดำระดับ 3  แต่เมื่อเธอมองเห็นอัญมณีสีดำใกล้ๆ เธอก็รู้ได้ทันทีว่ามันคืออัญมณีสีดำขั้นที่ 4…………..

 

 

รีวิวผู้อ่าน