px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 251 – รองเท้าเหล็กกล้าเหมันต์ ความรู้สึกของรองเท้าและผู้หญิง


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 251 – รองเท้าเหล็กกล้าเหมันต์ ความรู้สึกของรองเท้าและผู้หญิง

 

ลมอันปั่นป่วนได้พัดพาพายุแห่งภูเขามา!

 

ชิงสุ่ยละทิ้งความคิดที่ทำให้เสียสมาธิทั้งหมดในใจของเขาออกไปและเขาก็ปิดกั้นตัวเองอยู่กับการฝึกฝน นับตั้งแต่ที่เขาได้ฝึกตนแบบเทวบ่มเพาะกับชิงห่านยี่ ความสามารถของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ของเหลวขนาดเท่าผลองุ่นในกะบังลมของเขาตอนนี้มีขนาดเท่ากับผลเกาลัด พลังงานที่อยู่ในใจกลางของมันคือความน่าเกรงขามอันบริสุทธิ์

 

น่าเสียดายที่เขาไม่ได้บรรลุถึงระดับ 90 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล ตอนนี้ชิงสุ่ยคาดหวังถึงขีดความสามารถของระดับที่ 90  หลังจากที่เขาไม่สามารถบรรลุขั้นที่ 5 แห่งเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลได้ มันเป็นอีกหนึ่งหนทางในการมองหาโอกาสในการพัฒนาหลังจากบรรลุระดับที่ 90

 

สำหรับเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลแม้ว่า ชิงสุ่ยจะเคลื่อนไหวได้เร็วแต่ก็ไม่เร็วเท่าไหร่ ของเหลวในกะบังลมของเขาหมุนวนอย่างแรง ระเบิดอันยิ่งใหญ่และความหนักหน่วงของลมปราณแห่งเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลก็ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา

 

หลังจากการไหลเวียนอื่นๆ เส้นทางสำคัญที่กว้างใหญ่และยากลำบากก็ถูกปิดกั้นลงในระดับที่ 89 ระดับรอบของลมปราณแห่งเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลจะไหลเวียนอยู่ภายในทุกวันทำให้ระดับถัดไปนั้นแข็งแกร่งมากขึ้น

 

จนกระทั่งถึงช่วงระดับที่ 89 แล้ว ลมปราณแห่งเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลที่อยู่ในเส้นทางที่สำคัญนั้นน่ากลัวที่สุด แม้ว่าจะยังไม่สามารถผ่านไปถึงระดับที่ 90 เมื่อมีการบรรลุเส้นทางที่สำคัญกะบังลม กระดูก กระดูกกล้ามเนื้อ และรากฐานตลอดทั่วทั้งร่างกายจะมีความเข้มแข็งมากขึ้น

 

ชิงสุ่ยลืมตาขึ้นและยิ้มอย่างขมขื่น ยังไม่มีสัญญาณของความก้าวหน้า เขาไม่สามารถทำอะไรได้ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ตอนนี้เขาคิดว่าสิ่งที่เขาควรทำคือการฝึกฝนให้บรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นที่ 4 แห่งเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล

 

ตอนนี้อยู่ในช่วงของการสะสมรอบของระดับ 90 และจะขยายกว้างไปจนถึงระดับ 99 ซึ่งมันเป็นอุปสรรคต่อขั้นที่ 4 และ 5

 

เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกฝนแล้ว ชิงสุ่ยได้เห็นว่ายังเหลือชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของเหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปีอยู่อีกและเขาจำได้ว่ารองเท้าของเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเขาเริ่มทำขึ้นโดยใช้ผิวหนังของราชันย์อสรพิษวงแหวนทองคำ ชิงสุ่ยเริ่มหลอมเหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปีและเขาตัดสินใจที่จะทำรองเท้าโดยใช้เหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปีด้วย

 

เขาเริ่มทำโดยใช้เหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปีโดยใช้เทคนิคพันค้อนกัมปนาทอย่างจริงจัง ชิงสุ่ยได้ระมัดระวังเป็นพิเศษในขณะนี้ ขณะที่เขากำลังใช้เหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปี เขาพยายามอย่างพิถีพิถันทุกครั้งอย่างสุดฝีมือ

 

ชิงสุ่ยจำได้ว่าการทุบตีด้วยค้อนกว่า 1,100 ครั้งทำให้เขามีความสุข อาจเป็นผลมาจากการที่เขาหล่อหลอมจนกระทั่งเขาเข้าสู่สภาพแห่งความสงบ

 

ด้วยความช่วยเหลือของโครงสร้างและวิธีการต่าง เขาได้เสริมสร้างโครงสร้างของกระดูกเพื่อที่แม้จะต้องทำการตีโลหะสำหรับรองเท้าก็จะไม่ให้ ชิงสุ่ยปวดหัวอย่างหนัก ด้วยวิธีการ ขั้นตอน ตัวอย่าง และแบบอย่างทำให้มันราบรื่นขึ้นและง่ายดาย ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมันเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน

 

การลอกผิวหนังของงูที่มีลายหินอ่อนสีทองคำไม่ใช่เรื่องง่าย ชิงสุ่ยคิดว่าลายของมันเหมาะกับทั้งชายและหญิงเพราะมันเป็นสีทองคำ แต่รองเท้าคู่นี้กลับไม่ได้ดูสง่างาม มันให้ความรู้สึกเป็นเกล็ดๆและผิวสัมผัสของอสรพิษวงแหวนทองคำก็ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกหดหู่มากยิ่งขึ้น

 

จริงๆแล้วจุดสำคัญของราชันย์อสรพิษวงแหวนทองคำอยู่ที่ลายวงแหวนทองคำอันเลื่องชื่อและส่วนลายหินอ่อนสีทองที่ล้อมรอบมัน ซึ่งทำให้ผิวหนังของมันมีราคาสูงมากเสียยิ่งกว่าแร่มรกตด้วยซ้ำไป

 

ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าเขาควรจะมีความสุขหรือหัวเราะเยาะตัวเองดีที่เขาตาบอดมองไม่เห็นคุณค่าของมัน

 

คราวนี้ชิงสุ่ยเริ่มต้นด้วยไฟเบาๆและตามด้วยเปลวเพลิงที่รุนแรง ผิวราชันย์อสรพิษวงแหวนทองคำและโครงสร้างของเหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปี หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ก่อนจะเริ่มถลุงด้วยไฟอุ่นๆอีกครั้ง

 

เมื่อแสงสีทองปรากฏนั่นคือสัญญาณของการหลอมรองเท้าสำเร็จโดยใช้เหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปี ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆในใจ อาจเป็นเพราะเขาใช้เหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปีหรือเพราะเขาใช้ความพยายามมากที่สุดในครั้งนี้มันถึงสำเร็จ

 

แม้ว่ารองเท้าคู่นี้จะส่องประกายและแวววาวเหมือนรองเท้าสีทองคำของของชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ แต่มันก็ไม่ได้สวยงามเช่นของพวกเขาทั้งคู่ มันดูค่อนข้างดุดันและเหมาะให้ผู้ชายสวมใส่

 

รองเท้าเพิ่มความเร็ว 10 ส่วน, พลัง 50 ส่วน, ความว่องไว 30 ส่วน, และความทนทาน 10 ส่วน!

 

ถึงแม้คุณสมบัติพิเศษที่ชิงสุ่ยต้องการจะยังไม่ปรากฎ แต่การเพิ่มขึ้นของคุณสมบัติดังกล่าวก็จะทำให้การต่อสู้ได้เปรียบมากยิ่งขึ้น รองเท้าชั้นเสิศระดับ 1 มีประสิทธิภาพสูงมาก มันจะแข็งแรงกว่านี้ถ้าเข้าสามารถทำรองเท้าชั้นเลิศระดับ 7 หรือไม่? ชิงสุ่ยปรารถนาอย่างสุดซึ้ง แต่เขารู้ดีว่าต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งหากจะคิดฝันถึงมัน

 

ชิงสุ่ย ทำรองเท้านี้ให้ตัวเอง เขารู้ว่าพลังแห่งความหวังจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตลอดเวลานอกเหนือจากการฝึกอบรมเขามองหาการหลอมบางสิ่งบางอย่างที่จะสามารถเพิ่มความสามารถของเขา เขาจะหลอมชุดเกราะและสร้อยคอสำหรับวิหคเพลิง

 

ชิงสุ่ยต้องการจะลองรองเท้าสองคู่ก่อนหน้าที่เขาเคยทำไว้ แต่ก็น่าเสียดายที่ว่าพวกมันมีขนาดเล็กเกินไปและเหมาะสำหรับผู้หญิงเท่านั้น ในที่สุดเขาก็จะได้สัมผัสกับความรู้สึกที่สวมใส่รองเท้าที่เพิ่มความเร็วขึ้น

 

เขารีบสวมรองเท้าสีทองคำคู่นั้นเข้าไปในขาของเขา แม้มันจะสั้นกว่าคู่ก่อนหน้าแต่ก็ดูสง่ามากขึ้น!

 

"มันไม่ได้รู้สึกเย็นเลย? แต่รู้สึกอบอุ่นหน่อยๆ" ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจมาก เขาคิดว่ารองเท้าที่ทำขึ้นมาจากเหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปีนั้นจะต้องมีความหนาวเหน็บซาบซ่านไปถึงกระดูก อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดว่ามันจะไม่หนาวเย็นเลย ในขณะที่สัมผัสภายนอกกลับรู้สึกเย็นแต่สัมผัสภายในของรองเท้าไม่รู้สึกเย็นเลย

 

เมื่อหมุนเวียนลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลลงไปในรองเท้าก็จะมีพลังงานลึกลับไหลเวียนออกมาจากโครงสร้างของรองเท้า ความรู้สึกนั้นเหมือนกับการมีน้ำดื่มเย็นๆชื่นใจในวันที่อากาศแผดเผาอย่างร้อนแรงหรือเหมือนช่วงเวลาที่ได้เล้าโลมและบุกเบิกเข้าไปยังเรือนร่างของสาวงาม มันช่างแสนวิเศษมาก

 

"อาาาาาา แม้กระทั่งรองเท้าก็ให้ความรู้สึกแบบนี้ได้" ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าห่าวหยุนลิ่วลี่รู้สึกอย่างไรขณะสวมใส่และไม่รู้ว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยจะรู้เรื่องนี้หรือไม่

 

ผู้หญิงที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศจะไม่เข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกนี้ แต่เธอจะรู้สึกว่ารู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง คิดถึงความสุขของห่าวหยุนลิ่วลี่ ในเวลานั้นความตื่นเต้นและเสน่ห์ที่สะท้อนอยู่บนใบหน้าของเธอเมื่อเธอร่ายรำด้วยกระบี่ของเธอ เฉพาะตอนนี้ชิงสุ่ยรู้ว่านั่นคือเหตุผลของการแสดงออกของเธอและไม่แปลกใจในความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้น

 

ชิงสุ่ยเริ่มแสดงท่วงท่ารูปลักษณ์กระเรียนในดินแดนหยกยุพราชอมตะและผลที่ได้ทำให้เขาตกใจ รองเท้าที่ควรจะเพิ่มความเร็วให้เขา 10 ส่วน แต่มันกลับเพิ่มขึ้นอย่างน้อยถึง 15 ส่วน แม้ว่าจะมีความสามารถในการเพิ่มความเร็ว แต่ก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้

 

"อืมมมมมมม เหมือนว่าข้าจะใช้ลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลเป็นตัวเร่งความสามารถหรือไม่" ชิงสุ่ยคิดว่าเขาใช้ลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลในระหว่างขั้นตอนการหลอมและมันทำให้เขารู้สึกดีมาก ตอนนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับความสามารถเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากการใช้ลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล

 

ไม่นานนักชิงสุ่ยก็เคยชินกับการควบคุมความเร็วที่เพิ่มขึ้นและเขารู้ว่าลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างมาก รองเท้าคู่ที่เหมือนกันแต่มีความสามารถต่างกัน ชิงสุ่ยมีความสุขมาก มันคุ้มค่ามากสำหรับคุณสมบัติพิเศษที่ได้รับมา

 

หลังจากที่ใช้มันสักครู่หนึ่ง เขาก็ถอดมันออก เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องออกไปจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ ในเวลาที่เหลือชิงสุ่ยรู้ว่าเขาต้องเพิ่มพลังทางจิตวิญญาณขึ้นเป็นสองเท่า เขาไม่ต้องการแบกรับความเกลียดชัง ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาต้องทำ มารดาของเขากำลังรอคอยเขากลับไปอยู่

 

นครเยียนก็ยังมีอาจารย์เทพธิดาที่กำลังรอเขาอยู่ เขาก็ยังต้องการที่จะยืดอายุของหลวนหลวน และอาจารย์ของเขาก็ยังได้มอบหมายงานไว้ให้เขาที่สันเขาราชันย์ราชสีห์... ?

 

ในตอนเช้าเขาทำงานอย่างหนักที่ร้านตีเหล็ก ในขณะที่คนจำนวนมากต่างหลั่งไหลแวะเวียนเข้ามาดู เขาไม่ได้ขายอะไรมากมายในตอนเช้าและไม่ได้โลหะชั้นเลิศหรือว่าอัญมณีลึกลับใดๆ

 

เมื่อถึงตอนเที่ยง ชิงสุ่ยปิดประตูและมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ชางห่าย เขาต้องการหลีกเลี่ยงความสนใจที่ไม่พึงประสงค์และในเวลาเดียวกันก็เป็นการบอกนิกายเทพกระบี่ว่าเขาไม่มีแผนที่จะหนีออกไป

 

เขาได้ยินจากชางห่ายว่าพวกเขายังไม่พร้อมเตรียมรับมือและดังนั้นเขาก็จึงไม่สามารถที่จะหลบหนีออกไปได้อย่างเต็มที่ มันยังคงขึ้นอยู่กับนิกายเทพกระบี่ แต่ชิงสุ่ยไม่กล้าที่จะคิดถึงการที่คู่ผัวเมียชางห่ายต้องเสียสละตัวเองและชางห่ายหมิงเยวี่ยก็คงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้เกิดขึ้น ในขณะที่ชิงสุ่ยไม่เข้าใจชางห่ายหมิงเยวี่ยเท่าไหร่ เธอคงจะไปตายมากกว่าถ้าไปอยู่ในจุดนั้น

 

เขาไม่ทันรู้ตัวว่ามาถึงทางเข้าคฤหาสน์ชางห่ายแล้ว เมื่อเขาเดินเข้าไปเขาก็เห็นชางห่ายหมิงเยวี่ยยืนอยู่ใกล้กับบ่อน้ำขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกล ชิงสุ่ยไม่เคยรู้สึกว่าเธอจะอ่อนแอและเหงา เธอเหมือนดวงจันทร์ที่สว่างไสวในท้องฟ้าสดใสและชัดเจน แม้เธอในตอนนี้จะดูงดงามแต่ชิงสุ่ยก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย

 

เธอกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะตามมา เธอกลัวว่าสิ่งที่เธอกลัวจะเกิดขึ้นและยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่รู้ว่าเธอจะทำยังไงถ้ามันเกิดขึ้นจริง

 

ชิงสุ่ยเดินช้าๆเข้าไปยืนข้างๆเธอ เขาหันศีรษะไปมองใบหน้าอันงดงามของชางห่ายหมิงเยวี่ย เธอช่างงดงามดั่งหยกล้ำค่า ชิงสุ่ยรู้สึกราวกับว่าเธอเป็นภาพที่สวยงามที่สุดและไม่สามารถไขว่คว้าได้เช่นดวงจันทร์ที่ชัดเจนในท้องฟ้า

 

“อย่ากังวล เราควรจะคิดถึงวิธีหลีกเลี่ยงปัญหานี้ นอกจากนี้สิ่งต่างๆอาจจะไม่เป็นเช่นที่เจ้าคิด" ชิงสุ่ยกล่าวเบาๆ

 

"ข้ารู้สึกราวกับว่าข้าอยู่ในกรอบ ข้ากลัวมากข้าไม่รู้ว่าข้าควรจะทำอะไร" ชางห่ายหมิงเยวี่ยมองกลับไปที่ชิงสุ่ยและกล่าวเบาๆ

 

ไม่ว่าเธอจะเข้มแข็งหรือเคยผ่านสิ่งต่างๆอะไรมา สำหรับเธอที่จะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ เธอก็สูญเสียไปความเป็นตัวเองและเธอก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้

 

"ยังมีข้าอยู่ เราสามารถคิดแก้ปัญหาร่วมกันได้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ตราบเท่าที่เราใส่ใจในทุกวิถีทางไม่มีอะไรที่เราไม่สามารถทำได้" ชิงสุ่ยรู้ว่าเขาควรจะให้การสนับสนุนและกำลังใจแก่เธอในขณะนี้ ถ้าเขาอยู่ข้างๆเธอแต่กลับหมกมุ่นอยู่กับความสิ้นหวังด้วยกันมันจะทำให้เธอรู้สึกถึงความสูญเสียและหมดหนทาง ในขณะที่ชิงสุ่ยรู้ว่าโอกาสในการเปลี่ยนสิ่งต่างๆเป็นเรื่องยากมาก แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่พวกเขาจะหมกมุ่นอยู่กับความสิ้นหวัง เขาควรจะยืนขึ้นและกล้าหาญ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีร่างกายที่กำยำแต่เขาควรจะมีจิตใจที่เปิดกว้าง

 

"ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้" ชางห่ายหมิงเยวี่ยย้ำคำนั้นเบาๆ ดวงตาสีดำและลึกซึ้งของเธอมองไปที่ชิงสุ่ย ความรู้สึกหม่นหมองบนใบหน้าของเธอทำให้เธอหลงทาง

 

"ทำไมเจ้าถึงมาวันนี้?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยดูเหมือนจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นชิงสุ่ย

 

"ไม่ใช่เพราะข้าเป็นห่วงเจ้าหรือ? เจ้าไม่ได้ให้ความสบายใจแก่ผู้อื่น ในขณะที่น้ำในทะเลมีคลื่นแรงโหมกระหน่ำ แต่การที่ต้องไปเผชิญกับมันช่างเป็นเรื่องที่น่าสังเวชจริงๆ..."

รีวิวผู้อ่าน