px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 255 - ข้าจะไม่ไปไหน แม้ว่าข้าจะต้องตาย เจ้ากอดข้าได้ไหม?


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ - 255 ข้าจะไม่ไปไหน แม้ว่าข้าจะต้องตาย เจ้ากอดข้าได้ไหม?

 

มันคล้ายกับความสุขของเขาที่ได้เห็นทั้งชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ สวมรองเท้าที่เขาหลอมขึ้นมาเอง มันรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในหัวใจ เขารู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกที่เป็นนิรันดร์

 

ชิงสุ่ยมองไปที่เกราะปราการศึกวงแหวนทองคำที่เสร็จสมบรูณ์ ผิวของชุดเกราะนี้พิมพ์ลายของอสรพิษวงแหวนทองคำ ภายในทำมาจากจิตแก่นแท้เหล็กกล้า ชิงสุ่ยตัดสินใจเรียกมันว่าเกราะปราการศึกวงแหวนทองคำ

 

เขามองไปบนท้องฟ้า ชิงสุ่ยไม่ได้คาดคิดว่าชุดเกราะปราการศึกชุดหนึ่งจะทำให้เขาเสียเวลาเกือบทั้งหมดของช่วงบ่ายไปเพื่อให้มันเสร็จสมบูรณ์ แต่เขาก็พอใจกับมัน

 

ตอนนี้ทุกอย่างดูสงบมาก แต่ชิงสุ่ยรู้ว่านี่เป็นความสงบก่อนเกิดพายุใหญ่ เมื่อถึงวันนั้นมันจะเป็นดั่งวันที่มีลมกรรโชกแรงและฝนที่ตกหนัก เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะผ่านมันไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

 

ชิงสุ่ยใส่ชุดเกราะปราการศึกวงแหวนทองคำไว้เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มโอกาสในการรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ตอนนี้เขามีชุดเกราะปราการศึกและรองเท้าที่พร้อมแล้ว ตลอดช่วงเวลาอื่นที่นอกเหนือจากการฝึกซ้อมชิงสุ่ยยังได้วางแผนที่จะทำหมวกเกราะ เข็มขัด กำไล และสร้อยคอ ชิงสุ่ยจะไม่ละทิ้งโอกาสในการเพิ่มพลังของเขาแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

 

ท้องฟ้าเริ่มมืดลงและชิงสุ่ยวางแผนที่จะออกจากร้านช่างตีเหล็กและมุ่งหน้ากลับไปที่คฤหาสน์ชางห่าย หลังจากเรื่องราวทั้งหมด เขาได้กล่าวกับชางห่ายและคนอื่นๆว่าเขาจะย้ายกลับไป

 

อย่างไรก็ตามในขณะนั้น ชิงสุ่ยรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่สั่นคลอนอย่างไม่อาจอธิบายได้

 

มันเป็นความรู้สึกที่ผมชี้ตั้งและชิงสุ่ยรีบเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะทันทีเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายนอกจากข้างใน

 

เพียงชั่วลมหายใจลมหายใจหลังจากที่ชิงสุ่ยได้เข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ก็ปรากฏบุคคลผู้หนึ่งอยู่ไม่ไกลจากชิงสุ่ย ชิงสุ่ยเห็นได้ชัดว่าเป็นชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามสวมชุดคลุมสีม่วงลายพระจันทร์เพื่อให้ความสำคัญกับกลิ่นอายอันสง่าราศีของเขา ดวงตาของเขาสดใสและมีความรู้สึกของคนที่เคยผ่านชีวิตมามาก จมูกและริมฝีปากของเขาดูเหย่อหยิ่งให้ความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนแปลกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่มีกลิ่นอายบางอย่างปกคลุมท่ามกลางความสง่างามของเขา

 

"ข้าเห็นได้ชัดว่ามันอยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่มีอะไรเลยที่นี่?" ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามและหล่อเหลาพึมพำกับตัวเอง

 

ชิงสุ่ยมองไปที่ชายคนนี้ซึ่งอาจจะเป็นคู่ต่อสู้กับชางห่าย แม้ว่าเขาจะยังคงเป็นรองชางห่ายอยู่สักหน่อย ในขณะนี้เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขาเป็นคนจากนิกายเทพกระบี่

 

ชิงสุ่ยรู้ว่าชายคนนี้กำลังมองหาเขา ต้องขอบคุณความรู้สึกทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเขา ตอนนี้ชิงสุ่ยยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าชายคนนี้มาจากนิกายเทพกระบี่และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่แค่ผู้อาสุโสเท่านั้น

 

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถโจมตีด้านนอกจากภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะได้ ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะทำให้ชายวัยกลางคนต้องรู้สึกตื่นตระหนก

 

ชายวัยกลางคนปิดดวงตาที่สว่างไสวขนาดใหญ่ทั้งสองข้างลงเพื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวในบริเวณโดยรอบ ในทางกลับกันชิงสุ่ยพยายามยับยั้งตัวเองใน ดินแดนหยกยุพราชอมตะและควบคุมไม่ให้เขาโจมตีใส่ชายวัยกลางคน

 

แม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ควรจะสามารถหนีไปได้อย่างปลอดภัยในดินแดนหยกยุพราชอมตะ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยยังคงรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างแอบซ่อนอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่เขาก็ยังยับยั้งแรงกระตุ้นให้เกิดการลอบโจมตี

 

ชิงสุ่ยยับยั้งตัวเองเพื่อไม่ให้เตือนศัตรูล่วงหน้าถึงภัยอันตรายอื่นๆ ถ้าเขาสามารถเข้าสู่รอบระดับที่ 90 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล ชิงสุ่ยจะรีบออกไปโดยไม่ลังเลเลย เขาจะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากคู่ต่อสู้ของเขาได้หากเขาทำการลอบโจมตี

 

"ข้าสงสัยว่าบรรพบุรุษอาวุโสไปที่คฤหาสน์ชางห่ายหรือยัง?" ชายคนนั้นพูดเบาๆขณะที่เขาขบคิด

 

สายตาของชิงสุ่ยเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำ เขากำหมัดอย่างแน่นหนาขณะที่เส้นเลือดบางๆเผยออกมาบนฝ่ามือของเขา เขาพยายามอย่างหนักเพื่อจะควบคุมตัวเอง เขาสวมเกราะปราการศึกวงแหวนทองคำ รองเท้าเหล็กกล้าเหมันต์ และเรียกวิหคเพลิงมาอยู่ข้างกาย เขาเตรียมตัวที่จะพุ่งออกไปในช่วงเวลาที่ดีที่สุด

 

ชิงสุ่ยมีแรงกระตุ้นให้รีบออกไปในทันที แต่เขารู้ว่าเขาจะต้องคว้าโอกาสที่สุดที่สุดในการต่อสู้กับชายวัยกลางคนผู้นี้ อย่างไรก็ตามในขณะนั้นเขาได้ยินชายวัยกลางคนถอนหายใจ!

 

"ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ" หลังจากพูดแบบนั้นเขาก็รีบวิ่งผ่านประตูหลังไปในทันที

 

"อ่าาาาาา มันคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ..." ชิงสุ่ยด่าทอออกมาด้วยความเหยียดหยาม เขายังสงสัยว่าชายคนนี้กำลังพยายามจะหลอกหลอนเขาอยู่หรือไม่ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มันดีกว่าที่จะไม่เชื่อ

 

หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ ชิงสุ่ยจึงออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะและรีบไปยังคฤหาสน์ชางห่ายโดยไม่คำนึงว่าชายวัยกลางคนจะพูดหลอกล่อให้เขาออกมา จิตใจของเขาจะไม่สงบจนกว่าเขาจะเห็นว่าครอบครัวของชางห่ายปลอดภัยด้วยตาตัวเอง

 

เมื่อ ชิงสุ่ยมาถึงคฤหาสน์ชางห่าย เขาสังเกตเห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ ตอนนั้นมืดแล้วเขาจึงเดินเข้ามาอย่างเงียบๆและในที่สุดเขาก็รู้สึกสบายใจเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยลอยออกมา

 

เมื่อชิงสุ่ยเดินเข้าไปในห้อง เขาสังเกตเห็นว่าพวกเขาอยู่ห่างไปเพียงเล็กน้อยและเขาก็ยิ้มอย่างเขินอาย

 

"ชิงสุ่ย เกิดขึ้นกับมือของเจ้า?" ห่าวหยุนลิ่วลี่สังเกตเห็นว่ามีเลือดไหลอยู่บนมือของชิงสุ่ยและเธอรีบวิ่งไปคว้ามือของเขาอย่างรู้สึกไม่ชอบใจ

 

"ชิงสุ่ย เกิดอะไรขึ้น?" ชางห่ายสังเกตเห็นด้วยว่าบางสิ่งถูกปิดอยู่ เขาเดินไปทางด้านชิงสุ่ยและถามเบาๆ

 

"อะไรทำให้เจ้าต้องข่วนมือทั้งสองข้างเช่นนี้?" ชางห่ายถามอย่างงุนงง

 

"มันเป็นเพราะข้าได้ยินมาว่าบรรพบุรุษอาวุโสแห่งนิกายเทพกระบี่ได้เดินทางมาที่นี่แล้ว" ชิงสุ่ยยิ้มอย่างขมขื่นตามที่เขาพูด หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มให้ห่าวหยุนลิ่วลี่เพื่อแสดงว่าเขาสบายดีในขณะที่เขาค่อยๆดึงมือกลับ

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยและแม่ของเธอก็เดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและมองเขาด้วยความห่วงใย มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะบอกว่าพวกเขาไม่ได้สัมผัสถึงความห่วงใยที่เขามีให้ หลังจากเรื่องทั้งหมดชิงสุ่ยได้รีบกลับมาด้วยความตื่นตกใจโดยไม่กลัวความตาย เมื่อได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวชางห่าย

 

"ชิงสุ่ยมาตรงนี้ ข้าจะทำความสะอาดแผลและทายาให้เจ้า!" แม่ของชางห่ายหมิงเยวี่ยยิ้มและพูด

 

ชิงสุ่ยยิ้มให้เธอและไปล้างเลือดจากมือของเขา นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มต้นการฝึกฝนเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล การฟื้นตัวของชิงสุ่ยก็น่าทึ่งขึ้นเป็นอย่างมาก แผลเป็นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาใดๆ

 

"มากินอาหารเย็นกันก่อน พวกเราจะคุยกันในภายหลัง" ชางห่ายยิ้มและพูดเมื่อเขาเห็นว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

 

มันเงียบมากในช่วงมื้ออาหารและมันก็เหมือนกับว่าไม่มีใครอยากกินมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ เนื่องจากพวกเธอทั้งสองกินไปเพียงเล็กน้อย ชิงสุ่ยกังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

"ท่านพ่อพูดออกมาเร็วๆเถอะ ถ้าไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่สามารถนอนหลับลงได้" หลังจากที่พวกเขากินอาหารแล้ว ชางห่ายหมิงเยวี่ยก็นั่งลงข้างๆชิงสุ่ยและพูด!

 

"ไม่น่าจะเกินครึ่งเดือน สำหรับครึ่งเดือนนี้พวกเราจะต้องตื่นตัวมากขึ้นและรอโอกาสที่จะเกิดขึ้น เมื่อมันมาถึง เจ้าต้องฟังการตัดสินใจของข้า" ชางห่ายยิ้มและพูด

"แผนของท่านอาวุโสจะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเราหลบหนีออกไป?" ชิงสุ่ยเงยศีรษะของเขาขณะมองดูชางห่ายด้วยดวงตาที่ร้อนรน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความกล้าหาญ ดวงตาของเขาส่องสว่างดั่งดวงดาว

 

"ข้าจะไม่ไปไหน แม้ว่าข้าจะต้องตาย!" ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวหัวชนฝา

 

ชิงสุ่ยถูจมูกของเขา เขารู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นและในขณะนี้เขายังไม่มีแผนการที่จะหลบหนีออกไป

 

"เฮ้อ ชายแก่ตาบอดได้บรรลุระดับพลังปราณเทวะกษัตริย์ขั้นที่ 7  ในขณะที่ข้าอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณเทวะกษัตริย์ขั้นที่ 6 เท่านั้น คงจะต้องใช้อย่างน้อย 100 กระบวนท่าในการสังหารข้า" ชางห่ายถอนหายใจและกล่าวออกมา

 

ชิงสุ่ยได้วิเคราะห์คำพูดของชางห่ายอย่างรวดเร็ว ชางห่ายสามารถสกัดการเคลื่อนไหวได้เป็นร้อยๆครั้ง ถ้าเพียงแต่เขาสามารถเพิ่มความเร็วให้กับชางห่ายได้อีก 10 ส่วน การป้องกัน 10 ส่วน โดยไม่สนใจความแข็งแกร่งและถ้ามีเทคนิคของเขาช่วยอีกแรงก็อาจจะเป็นประโยชน์ในการสู้รบ

 

อะไรที่ทำให้ชิงสุ่ยคิดว่าชายแก่ตาบอดจะบรรลุระดับพลังปราณเทวะกษัตริย์ขั้นที่ 7 และระดับพลังปราณเทวะกษัตริย์ขั้นที่ 7 ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย!

 

"ท่านผู้อาวุโส พวกเราไม่มีโอกาสชนะสักนิดเลยหรือ" ชิงสุ่ยถามแบบไม่คาดความหวังมากนัก เขาไม่เชื่อในปาฏิหารย์ แต่เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถทำได้ด้วยความพยายาม

 

"มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่มันยากเกินไปที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้" ชางห่ายถอนหายใจและพูด

 

"ท่านผู้อาวุโส ในสถานการณ์เช่นนี้ท่านก็ควรจะพูดมันออกมา ถ้ามีโอกาสไม่ได้หมายความว่าชีวิตของทุกคนจะปลอดภัยหรือ?" ชิงสุ่ยปฏิเสธที่จะยอมแพ้ในทุกโอกาส

 

"เมื่อสามสิบปีที่แล้วข้าได้ทำให้ตาของเขาบอดไปข้างหนึ่ง ถ้าตาอีกข้างของเขาบอด มันก็จะไม่มีปัญหาสำหรับพวกเราที่จะเอาชีวิตรอด"

 

คำพูดของชางห่ายทำให้ชิงสุ่ยมีความหวัง เมื่อเขาพบทิศทางใดๆเขาจะทุ่มเทให้กับมัน ชิงสุ่ยมองไปที่ชางห่ายอย่างจริงจัง

 

"ดวงตาข้างไหนของเขาที่ยังปกติอยู่?"

 

"ตาซ้ายของเขา!" ชางห่ายรู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกว่าชิงสุ่ยเป็นปริศนาลึกลับมากและเขาอาจจะสามารถทำอะไรบางอย่างที่เกินความคาดหมายได้ ชางห่ายหมิงเยวี่ยเองก็มองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความรู้สึกซับซ้อน แต่ก็มีความสุข

 

ครึ่งเดือน ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขาจะต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวให้ดี โชคดีที่เขาได้เริ่มต้นการเตรียมการบางอย่างไว้แล้ว หลังจากทานอาหารค่ำ ชิงสุ่ยมุ่งหน้าไปยังด้านหลังตึกพร้อมกับชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่

 

"ชิงสุ่ย ท่านพ่อบอกว่าไม่มีรับประกันสำหรับชีวิตของทุกคน เมื่อถึงเวลาและเมื่อโอกาสมาถึงให้พาหลิวหลี่หนีออกไป ดูแลนางให้ดี เจ้าเข้าใจหรือไม่?" เมื่อพวกเขากำลังมุ่งหน้ากลับ ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวอย่างเศร้าหมอง

 

"ลองพูดอีกครั้งแล้วข้าจะตีก้นของเจ้า" ชิงสุ่ยมองอย่างใจเย็นไปที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยตามที่เขากล่าว ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาโกรธหรือล้อเล่น

 

"คนพาล นี้เป็นเรื่องดีสำหรับเจ้า ข้าไม่สามารถหลบหนีไปได้โดยลำพังและทิ้งท่านพ่อกับท่านแม่เอาไว้ แต่ก็ไม่เหมือนกันสำหรับพวกเจ้าทั้งสองคน" ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวด้วยความโกรธ

 

"ข้าจะไม่จากไปไหน ข้าจะไม่จากไปแม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม" ห่าวหยุนลิ่วลี่ยิ้มและพูด แต่ใครๆก็สามารถบอกได้ว่าเธอมุ่งมั่นมาก

 

"ลิ่วลี่ ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้?" สายตาของชางห่ายหมิงเยวี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เมื่อเธอมองห่าวหยุนลิ่วลี่

 

"ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าได้รับจากอาจารย์ ถ้าข้าหนีไป ข้าคงจะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้" ห่าวหยุนลิ่วลี่ได้กล่าวเหมือนชางห่ายหมิงเยวี่ยเป็นนายของเธออีกครั้งเมื่อมาถึงจุดนี้

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยหันศีรษะมาและมองชิงสุ่ยอีกครั้งด้วยสายตาที่เป็นประกาย ชิงสุ่ยมองไปที่เธอและยิ้ม "อย่ากังวล บางสิ่งก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราจินตนาการให้เป็น ความพยายามของมนุษย์เป็นปัจจัยในการตัดสินใจเสมอมาและมนุษย์เป็นเจ้านายแห่งโชคชะตาของตัวเอง”

 

"ขอบคุณชิงสุ่ย!" ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวอย่างจริงจัง

 

"เจ้ากำลังทำตัวมากพิธีรีตองอีกครั้ง พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมเจ้าถึงมองข้าเป็นคนนอก? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะยืนอยู่เคียงข้างเจ้าและยังมีหลิวหลี่อีกคน ทุกคนจะอยู่ด้วยกัน" ชิงสุ่ยยิ้มและพูด

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยไม่รู้สึกโกรธในคำพูดของชิงสุ่ย มันเป็นเรื่องยากมากที่ชิงสุ่ยจะทำอะไรเช่นนี้ให้พวกเขา เขาไม่ได้วางแผนชั่วร้ายใดๆ เขาไม่ได้แสดงว่าเขาต้องการที่จะไล่ตามเธอและเขาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเธอเมื่อเขาทำได้สิ่งใด เหตุผลทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเพราะเธอไม่รังเกียจต่อเขา

 

เขาคิดถึงเรื่องตลกสองสามเรื่องที่เขาทำกับเธอ ในขณะที่ความหมายของคำพูดนั้นมีความคลุมเครือและน่าชื่นชมมาก ความรู้สึกอบอุ่นภายในหัวใจและความรู้สึกที่หัวใจเต้นไม่ได้มาพร้อมกับความโกรธใดๆ

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชางห่ายหมิงเยวี่ยรู้สึกว่ามันอบอุ่นมาก อาจเป็นเพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงใกล้ตอนจบของปัญหาเหล่านี้ เธอตระหนักว่ามีหลายสิ่งที่เธอยังไม่ได้พยายามทำเช่นความรัก เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงทั่วไปจะไม่มีความรักระหว่างชายและหญิง

 

อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้คาดหวังให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เธออาจจะเหลือเพียงไม่กี่วันที่จะมีชีวิตอยู่ แต่เธอไม่ต้องการให้ตัวเองมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเร็วเกินไป เธอกลัวว่าจะถูกผูกติดอยู่ในความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของเธอ

 

เธอไม่ต้องการทิ้งความเสียใจใดๆไว้ เธอต้องการที่จะรู้สึกถึงมันแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะสั้นแค่ไหน แม้ว่าจะเป็นการแสร้งทำ...

 

"ชิงสุ่ย....."

 

ชิงสุ่ยกำลังจะออกไป แต่ก็ได้ยินชางห่ายหมิงเยวี่ยเรียกเขาด้วยเสียงต่ำๆ! เขางุนงงและหันไปมองที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยซึ่งรู้สึกไม่สบายใจ

 

"เจ้ากอดข้าได้ไหม? เช่นเดียวกับที่เจ้าจะทำกับภรรยาของเจ้า!"

 

ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาไม่เคยคิดว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยจะพูดแบบนี้ เขารู้สึกว่าเขาได้ยินมันผิด แต่เขาก็เห็นว่าห่าวหยุนลิ่วลี่กำลังมองไปที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยด้วยความประหลาดใจ

 

อย่าคิดมากเกินไป ข้าแค่กลัวว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน! ข้าอยากเก็บความทรงจำเอาไว้บ้าง" ชางห่ายหมิงเยวี่ยรู้สึกอาย แต่เธอเงยหน้าขึ้นมองชิงสุ่ยอย่างกล้าหาญ สายตาของเธอเป็นประกายอยู่ภายใน เธอเหมือนดั่งเช่นเทพธิดาอันงดงามที่ไร้คู่แข่ง

 

ชิงสุ่ยรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเธอพูดคำเหล่านั้นด้วยความรู้สึกคลุมเครือเช่นนี้ ในขณะที่การแสดงออกของเธอดูค่อนข้างลำบากใจและใบหน้าของเธอก็งดงามมากดั่งเทพธิดา ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอกลัวว่าเธอจะไม่สามารถอยู่รอดผ่านความเจ็บปวดนี้ไปได้ เธอไม่ต้องการให้ชีวิตรักของเธอกลายเป็นความว่างเปล่าและเธอก็ต้องการกอดอบอุ่นอันน่าจดจำ

รีวิวผู้อ่าน