ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 257 - ความยุ่งเหยิงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีกำลังจะถึงจุดจบลง
ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดเลยว่ากำไลจะเพิ่มพลังทำลายล้าง มันเพิ่มพลังการทำลายล้างให้กับผู้สวมใส่ถึง 10 ส่วน
เขาสามารถเพิ่มความเสียหายที่เกิดขึ้นกับฝ่ายตรงข้ามได้ 10 ส่วน ในกรณีที่จำเป็นเพียงแค่เพิ่มขึ้น 10 ส่วน มันก็อาจจะเพียงพอที่จะทำให้ศัตรูถึงแก่ความตาย
นี่คือพลังอำนาจในการทำลายล้าง แม้ในบางครั้งมันอาจจะดูไม่ค่อยสำคัญ แต่บางทีพลังทำลายล้างเหล่านี้ก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่นำพาไปสู่ความตายในที่สุด
ชิงสุ่ยหยิบกำไลขึ้นมาและใส่มันลงไป ทันทีที่เขาสวมก็รู้สึกว่ามีพลังที่รุนแรงแผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายของเขา มันเป็นพลังที่จะก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมในระหว่างการโจมตี
สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขอย่างหนึ่งก็คือเขาสามารถเปิดใช้งานคุณสมบัตินี้ได้ทันที มันจะช่วยให้เขาประหยัดเวลาลงได้ครึ่งหนึ่ง ในขั้นต้นชิงสุ่ยคิดว่าเขาสามารถใส่อุปกรณ์เหล่านี้ได้ไม่จำกัดจำนวน มันจะดียิ่งขึ้นถ้าเขาสามารถใส่มากกว่าสิบชิ้นในแต่ละแขนของเขา อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าความเป็นไปได้ในเรื่องนี้มันน้อยมาก
ชิงสุ่ยยังคงทำการหลอมสิ่งต่างๆและฝึกฝนลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลให้ถึงจุดสูงสุด หลังจากนั้นเขายังคงทำอาวุธและกำไลอย่างไม่หยุดยั้งในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเสร็จสิ้นการหลอมรองเท้า 2 คู่, ชุดเกราะปราการศึกวงแหวนทองคำ 1 ชุด, ชุดเกราะต่อสู้สำหรับหญิงสาว 3 ชุด และกำไล 5 ชิ้น มันก็ได้เวลาที่เขาจะต้องจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ
ชุดเกราะต่อสู้สำหรับหญิงสาวมีคุณสมบัติเหมือนกับชุดเกราะปราการศึกวงแหวนทองคำ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยรู้สึกเหนื่อยล้ามาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงฟุบหลับไปในทันทีหลังจากที่เขาออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ
เมื่อชิงสุ่ยตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันก่อนและเอาของที่เขาหลอมไว้ออกมา ชุดเกราะปราการศึกวงแหวนทองคำและชุดเกราะต่อสู้สำหรับหญิงสาวทำให้เขารู้สึกมีความสุขเพียงแค่มองไปที่พวกมัน
ชิงสุ่ยคิดว่าเขาควรจะเรียกหญิงสาวทั้งสองคนมาพร้อมๆกัน เมื่อเขานึกถึงฉากที่ยอดเยี่ยมเมื่อคืนที่เขากระทำกับพวกเธอ มุมริมฝีปากของเขาก็ขดงอขึ้นเพราะมันทำให้เขารู้สึกเคลิบเคลิ้ม
หลังจากนั้นเป็นต้นมาชิงสุ่ยก็ยังคงยิ้มพร้อมกับมองไปที่หญิงสาวทั้งสองคนที่กำลังเดินลงมาจากชั้นบนซึ่งไม่ห่างจากเขามากนัก อาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่หญิงสาวงดงามมากที่สุดก็คือตอนที่พวกเธอลุกขึ้นมาจากเตียงในตอนเช้า ท่วงท่าที่เฉื่อยชาและสั่นไหวไปมายามที่อยู่บนเตียงนั้นสวยงามยิ่งนัก อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่มีคนจำนวนน้อยที่จะได้เห็น ในปัจจุบันไม่มีชายใดที่จะสามารถมองเห็นสภาพแบบนั้นของชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ได้ในตอนที่พวกเธอยังคงอยู่บนเตียง
เมื่อหญิงสาวทั้งสองเห็นชิงสุ่ยถือชุดเกราะและสิ่งของอื่นๆมากมาย พวกเธอก็เดินเข้ามาหาอย่างอยากรู้อยากเห็น ถึงแม้มีหยุดชะงักไปบ้างเล็กน้อย อาจเป็นเพราะพวกเธอรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยเมื่อนึกถึงฉากในคืนที่ผ่านมาโดยเฉพาะกับตัวชางห่ายหมิงเยวี่ย
"ชิงสุ่ย สิ่งของพวกนี้คืออะไรกัน?"
"ยอดเยี่ยมเลยที่พวกเจ้าทั้งสองคนอยู่ที่นี่ พวกเจ้าเอามันไปคนละหนึ่งชุดและส่วนที่เหลือสำหรับท่านผู้อาวุโส" ชิงสุ่ยยิ้มและพูดกับหญิงสาวทั้งสอง
"นี่สำหรับพวกเราหรือ?"
"ถ้าไม่ใช่แล้วจะเป็นของผู้ใดกัน? นี่สำหรับพวกเจ้าและของอีกสองชุดสำหรับผู้อาวุโสทั้งสอง" ชิงสุ่ยแนะนำอีกครั้ง
ชางห่ายหมิงเยวี่ยทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็หยุดมันเอาไว้และรับของมาจากมือของชิงสุ่ย ห่าวหยุนลิ่วลี่เองก็รีบหยิบเอามันไป ชิงสุ่ยมีความสุขมาก เขารู้ว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยคงจะต้องการถามเขาว่าพวกมันถูกหลอมขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม
"ข้าสามารถลองมันดูตอนนี้ได้เลยหรือไม่?" ห่าวหยุนลิ่วลี่กระพริบตาอันงดงามและพูดขณะที่เธอนึกถึงคุณสมบัติพิเศษของพวกมันเหล่านั้น
ชิงสุ่ยยิ้มและพยักหน้า!
ห่าวหยุนลิ่วลี่หยิบชุดของเธอและเดินเข้าไปในห้อง!
"เจ้าอยากที่จะลองมันดูบ้างหรือไม่?" ชิงสุ่ยมองไปที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยที่อยู่ข้างๆเขา เขารู้สึกว่าเธอคงจะดูงดงามและน่าหลงใหลมากจนไม่อาจจะห้ามใจได้หากว่าเธอใส่มัน
ชางห่ายหมิงเยวี่ยมองไปทางชิงสุ่ยอย่างแปลกประหลาด ชิงสุ่ยถูเบาๆไปที่จมูกของเขาและหยิบกำไลที่มือของเขาส่งให้ชางห่ายหมิงเยวี่ย
"นี่ของเจ้า ทุกคนจะได้รับมันคนละหนึ่งชิ้น"
ชางห่ายหมิงเยวี่ยไม่ได้รับมันเอาไว้ เธอเพียงแค่จ้องมองไปที่กำไล มันมีสีดำสวยงาม เมื่อมองดูแล้วช่างน่าลึกลับซับซ้อน ชางห่ายหมิงเยวี่ยไม่ได้หยิบมันขึ้นมา แต่เธอกลับแบมืออันเรียวงามดั่งหิมะออกมา
จิตใจของชิงสุ่ยเริ่มว้าวุ้นจากการแสดงออกของเธอ เขาวางมันลงบนฝ่ามือที่งดงามดั่งหิมะและมองอย่างงุนงงไปที่ใบหน้าอันงดงามราวเทพธิดา
ชางห่ายหมิงเยวี่ยขยับตัวออกห่างจากชิงสุ่ย ในขณะนั้นห่าวหยุนลิ่วลี่ก็ได้เดินออกมาในชุดซึ่งประกอบไปด้วยชุดเกราะต่อสู้สีทองคำและรองเท้าสีมรกต แม้ว่าชิงสุ่ยจะได้เตรียมใจกับความงดงามเช่นนี้ไว้บางแล้ว แต่เขาก็ยังคงตกตะลึงกับความงามอันน่าอัศจรรย์ของเธอ
ดวงตาที่มีเสน่ห์ของห่าวหยุนลิ่วลี่เป็นประกายเมื่อเธอมองไปที่ชิงสุ่ย เธอทำให้เขารู้สึกเสียวซ่านราวกับว่าเขากำลังถูกกัดเซาะด้วยพลังบางอย่าง
"อสูรสาว!" ชิงสุ่ยรู้สึกว่าคำพูดนี้อธิบายได้ดีที่สุดเกี่ยวกับการกระทำของเธอ เธอให้ความรู้สึกราวกับว่าเธอมีเปลวเพลิงซึ่งจะทำให้คนอื่นถูกกักขังอยู่ในป่าแห่งจินตนาการ
"ข้าดูดีหรือไม่?" ห่าวหยุนลิ่วลี่นั่งคุกเข่าด้านหน้าชิงสุ่ยและหมุนวนไปรอบๆ ผมสีดำยาวสลวยของเธอที่ปกคลุมไหล่ช่วยเสริมเสน่ห์ของหญิงสาวให้กับเธอ
"แน่นอน เจ้าดูดี!" ชิงสุ่ยพูดและหยิบกำไลยื่นให้เธอไปชิ้นหนึ่ง เมื่อเขาเห็นห่าวหยุนลิ่วลี่ทำท่าทางยั่วยวนเล็กน้อยขณะที่เธอเอื้อมมืออันเรียวบางออกมา ชิงสุ่ยก็มองไปทางชางห่ายหมิงเยวี่ยอย่างอึดอัดใจ
ในขณะที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยเองก็ยิ้มราวกับว่าเธอไม่ได้เห็นอะไร!
"สำหรับสองสามวันนี้ อย่าปล่อยให้เรื่องต่างๆพวกนี้มาคอยเป็นปัญหากวนใจเลย นำของที่เหลือเหล่านี้ไปให้พวกผู้อาวุโสทั้งสองด้วย ข้าหวังว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากมัน" ชิงสุ่ยมอบสิ่งของที่เหลืออยู่ในมือให้กับชางห่ายหมิงเยวี่ย
ห่าวหยุนลิ่วลี่รู้สึกประหลาดใจมากที่ได้ใส่รองเท้าที่ชิงสุ่ยทำให้เป็นครั้งแรก เธอไม่ได้ถามอะไรแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจก็ตาม เธอรู้สึกดีใจมากที่ทราบว่าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นโดยชิงสุ่ย มันราวกับว่าเป็นเรื่องที่ดูปกติมาก
"เยวี่ยเยวี่ย หลังจากที่เจ้าใส่มันแล้วอย่าลืมเอามาให้ข้าดูด้วยหล่ะ!" ชิงสุ่ยร้องขอกับงหญิงสองสาวทั้งสองคนที่เดินจากไปได้ไม่ไกล
สิ่งที่เขาได้รับคือเสียงหัวเราะของห่าวหยุนลิ่วลี่และสายตาที่คอยแอบชำเลืองมองของชางห่ายหมิงเยวี่ย!
เมื่อชิงสุ่ยเห็นชางห่ายหมิงเยวี่ย เขารู้ว่าเหตุการณ์ในอดีตทำให้เธอเปลี่ยนไปหรือทำให้เธอหยิ่งน้อยลง!
ระหว่างทานอาหารเช้าคู่ผัวเมียชางห่ายมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แม้กระทั่งชางห่ายหมิงเยวี่ยก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ท่าทางของพวกเขา
"ขอบใจชิงสุ่ยสำหรับสิ่งของพวกนี้ มันทำให้ข้าสามารถต่อกรกับผู้อื่นได้เพิ่มขึ้นอีกกว่าสิบกระบวนท่า! "ชางห่ายยิ้มและกล่าว
"ท่านผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าเลย คราวนี้มันเป็นการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิต" ชิงสุ่ยยิ้มและพูดออกมาด้วยใจจริง หญิงสาวทั้งสองคนที่กำลังมองดูฉากที่เกิดขึ้นไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับชางห่ายหมิงเยวี่ยที่หลายครั้งมักจะต้องเจอกับรอยยิ้มอันลามกของชิงสุ่ยที่มีต่อเธอ อย่างไรก็ตามการได้เห็นความจริงใจในรอยยิ้มของเขาตอนนี้ก็ทำให้เธอคิดว่ามันช่างน่าเหลือเชื่อที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
"เอาล่ะ แต่ถ้าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดูแล้วไม่ค่อยจะสู้ดี พวกเจ้าทุกคนจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า" ชางห่ายมองไปทางชิงสุ่ยและพูดอย่างจริงจัง
ชิงสุ่ยถอนหายใจและพยักหน้า เขารู้ว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้นชางห่ายจะต้องบอกให้เขาพาชางห่ายหมิงเยวี่ยหนีไป
สายตาของชางห่ายหมิงเยวี่ยเศร้าสลดเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ อย่างไรก็ตามสายตาอันดื้อรั้นของเธอก็บอกให้คนอื่นๆทราบถึงการตัดสินใจของเธอเอง
ชางห่ายยิ้มเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาเขาก็มีวิธีการที่จะทำให้ชิงสุ่ยพาเธอหนีไป
ชิงสุ่ยไปที่ร้านตีเหล็กในตอนเช้าและเห็นฮูยูอยู่ไม่ไกล เมื่อฮูยูเห็นชิงสุ่ย เขาก็เดินเข้าไปหาอย่างมีความสุข!
"ข้าเข้าใจขั้นตอนการไหลเวียนของลมปราณแล้ว ข้าเข้าใจการไหลเวียนของลมปราณแล้ว!" ฮูยูกล่าวซ้ำไปซ้ำมา
ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวว่า" ตอนนี้ท่านสามารถเรียนรู้เทคนิคการทุบด้วยค้อนได้แล้ว"
ชิงสุ่ยไม่ได้ปิดประตูร้านตีเหล็ก เขากลัวว่าชายวัยกลางคนที่สง่างามจะกลับมาอีกครั้ง การสัญจรของผู้คนในถนนและภายในร้านยังคงมีข้อจำกัดอยู่บ้าง
ชิงสุ่ยแนะนำจุดหลักๆของเทคนิคพันค้อนกัมปนาทให้กับฮูยู เขาสอนการใช้พลังและสาธิตให้เห็นอย่างช้าๆ ก่อนที่เขาจะมองดูความพยายามของฮูยูในการหลอมอยู่ข้างๆ
ปัจจุบันฮูยูได้หายจากอาการป่วยของเขาแล้ว หลังจากได้รับการรักษาจากชิงสุ่ย การเสริมสร้างกล้ามเนื้อของเขามีความแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม
จนกระทั่งผ่านไปครึ่งวัน ชิงสุ่ยรู้สึกว่าฮูยูสามารถใช้เทคนิคพันค้อนกัมปนาทได้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคล่องแคล่วมากเท่าไหร่ เขาวางแผนที่จะให้ผลเสริมปราณอีกสองผลแก่ฮูยูค แต่ก็รู้สึกเสียดายที่เขาจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกเหนือจากผลเสริมความว่องไวที่เก็บไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน ผลไม้พวกนี้ถูกเก็บไว้เพื่อช่วยตัวเขาและสร้างเส้นทางหลบหนี นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเก็บมันไว้จำนวรหนึ่ง ในตอนนี้มันสามารถเพิ่มความว่องไวได้ถึง 15 นาที
หลังจากที่จมดิ่งลงไปในความคิดครู่หนึ่ง ชิงสุ่ยก็กลับมาจ้องมองที่ฮูยูอีกครั้งและกล่าวว่า "ท่านพี่ฮู ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ร้านตีเหล็กอีกต่อไป ข้าอาจจะไม่ได้กลับที่นี่อีก ท่านต้องฝึกฝนเทคนิคการทุบค้อนให้ดีเช่นเดียวกับการฝึกลมปราณ"
"ทำไมเจ้าถึงต้องจากไป?" ฮูยูถามด้วยความรู้สึกแปลกใจและเสียใจ
ชิงสุ่ยพยักหน้า "สิ่งที่ดีทั้งหลายบางครั้งมันก็ต้องจุดจบ ข้ามีความสุขมากที่ได้พบกับท่านพี่ฮู ถ้าโชคชะตายอมให้เราเจอกันอีกครั้ง ข้าจะแวะมาที่นี่เพื่อบอกลาท่าน"
ฮูยูขมวดคิ้วและถอนหายใจ หลังจากนั้นสักครู่เขาก็กล่าวว่า "น้องชายชิงสุ่ยเจ้าบอกว่าสิ่งที่ดี เช่นนั้นหากเจ้าผ่านมาที่นี่สักวันหนึ่ง เจ้าต้องแวะมาเยี่ยมพี่ชายของคนนี้ให้ได้ ถ้าไม่มีเรื่องร้ายอะไร ข้าก็คงจะไม่ไปจากที่นี่"
หลังจากพูดแบบนี้แล้วฮูยูก็โห่ร้อง เขารู้สึกขอบคุณต่อหนุ่มน้อยคนนี้และรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ชิงสุ่ยจะอยู่ในร้านนี้ตลอดไป
อย่ากังวลข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านในอนาคต ดูแลตัวเองด้วย!"
ชิงสุ่ยบอกลาอย่างไม่รู้สึกเศร้าหมอง ฮูยูเป็นเหมือนพี่ชายคนโตของเขา เขาไม่ต้องการให้ฮูยูไม่สบายใจ
ชิงสุ่ยจากไป ตอนแรกเขาต้องการจะห้ามไม่ให้ฮูยูออกจากเมืองทักษิณภายในครึ่งปีนี้ แต่เมื่อได้ยินว่าเขาไม่มีแผนที่จะออกไปไหน เขาก็รู้สึกโล่งใจ หลังจากเรื่องทุกอย่าง ชิงสุ่ยกังวลว่าคนเหล่านั้นที่เขาติดต่อด้วยจะตกเป็นเหยื่อของนิกายเทพกระบี่ หากพวกเขาไม่ได้ออกไปจากที่นี่พวกเขาก็อาจจะปลอดภัย
เมื่อชิงสุ่ยกลับมาที่คฤหาสน์ชางห่าย เขารู้สึกมั่นใจว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ ได้เข้ามาในหัวใจของเขาแล้วและเขาก็ไม่สามารถที่จะตัดขาดจากพวกเธอได้
ชิงสุ่ยนึกไม่ออกถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการผจญภัยครั้งนี้ ในตอนต้นเขาได้วางแผนที่จะมาถึงมหาทวีปเมฆามรกตเพื่อเก็บประสบการณ์และฝึกฝนตัวเอง เขาไม่ได้คาดหวังให้ชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่มาอยู่ร่วมกับเขา เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ชิงสุ่ยไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก เขาได้รับการปฏิบัติจากชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ ในฐานะเพื่อนของพวกเธอ
ในบางช่วงเวลาชิงสุ่ยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆเพียงแค่เป็นเพื่อนกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของความรัก ชิงสุ่ยไม่ได้คาดหวังเรื่องนี้ แต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและยุ่งเหยิง
เมื่อเขากลับไปและเห็นว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยกำลังยืนอยู่ที่บ่อน้ำอีกครั้งในช่วงเวลาที่ตกต่ำ ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังจะเกิด
"เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องเป็นห่วง มาเถอะ ข้าจะกอดเจ้าเอาไว้..."