px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 259 - ฉากโศกนาฏกรรม ความตายที่อาจจะมาเยือนห่าวหยุนลิ่วลี่


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 259 – ฉากโศกนาฏกรรม ความตายที่อาจจะมาเยือนห่าวหยุนลิ่วลี่

 

สองสามวันผ่านไปอย่างสงบ ชิงสุ่ยกำลังฝึกฝนระหว่างวัน เขาฝึกฝนรูปลักษณ์กระเรียนและเทคนิคย่างก้าวกระเรียนทะยานของเขา ในเวลาเดียวกันเขาก็คอยดูแลการฝึกฝนของหญิงสาวทั้งสองคน

 

ในช่วงสองสามวันมานี้ชิงสุ่ยได้สร้างหมวกเกราะในดินแดนหยกยุพราชอมตะซึ่งมันให้คุณสมบัติคล้ายคลึงกันกับชุดเกราะ

 

คุณสมบัติ : เพิ่ม 10% ให้กับการป้องกัน ความแข็งแกร่ง ความอดทน และความว่องไว

 

ชิงสุ่ยไม่รู้จะพูดอะไร หมวกเกราะนี้อ่อนแอเกินไป แม้ว่าการเพิ่มพลังการป้องกันจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่การเพิ่มคุณสมบัติอื่นๆก็ยังน้อยเกินไป อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยยังคงหลอมสิ่งของที่เหลืออีกสองสามชิ้นเล็กน้อย

 

"ชิงสุ่ย ข้ารู้สึกเบื่อแล้ว พวกเราไปเที่ยวสนุกกันเถอะ!" ห่าวหยุนลิ่วลี่พูดกับชิงสุ่ยหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ

 

ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงอยู่และชิงสุ่ยตระหนักว่าพวกเขาค่อนข้างเหนื่อยล้าจากไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อมองเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังของห่าวหยุนลิ่วลี่ เขาก็ตอบตกลงเพื่อไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ผ่อนคลาย เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นมันเต็มไปด้วยความเครียด

 

ชิงสุ่ยยังคงกังวลว่าพวกนิกายเทพกระบี่จะจับตัวพวกเขาเพื่อไปข่มขู่ชางห่ายหรือจัดการฆ่าพวกเขาเสียเลย

 

"จำไว้ว่าให้สวมชุดเกราะและนำอาวุธของเจ้าติดตัวไปด้วย!" ชิงสุ่ยเตือนพวกเธอเผื่อในกรณีที่ไม่คาดฝัน

 

ชิงสุ่ย ห่าวหยุนลิ่วลี่ และชางห่ายหมิงเยวี่ยวางแผนที่จะไปเยือนเส้นทางแห่งทักษิณกาลซึ่งไม่ไกลจากที่นี่นัก ก่อนที่ทั้งสามคนจะออกไป ชางห่ายก็ขอให้พวกเขาระมัดระวังตัวและกลับมาเร็วๆ

 

ถนนที่คึกคักและฝูงชนไม่เคยซาลง ทุกคนยุ่งอยู่กับตัวเอง เสียงดังของการค้าขายกลายเป็นฉากที่น่ารื่นเริง

 

ห่าวหยุนลิ่วลี่มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในวันนี้ เธอลากชิงสุ่ยและชางห่ายหมิงเยวี่ยไปดูทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอไม่ค่อยซื้ออะไร ชางห่ายหมิงเยวี่ยดูเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย ถึงแม้เธอจะถูกดึงห่าวหยุนลิ่วลี่ดึงไป แต่เธอก็ไม่ได้มองสินค้าพวกนั้นสักเท่าไหร่

 

พวกเขาเดินไปรอบๆเส้นทางแห่งทักษิณกาล ผ่านประตูนับไม่ถ้วนและไม่ทราบว่าพวกเขาเดินไปไกลมากน้อยเพียงใด การปรากฏตัวด้วยความงดงามของชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ชิงสุ่ยซึ่งกำลังถูกลากจูงต้องตกอยู่ในสายตาที่อิจฉาและคำสาปแช่งจากคนรอบๆที่เดินผ่าน

 

ถนนถัดไปเบื้องพวกเขาช่างว่างเปล่า ราวกับว่าพวกเขาก้าวเข้าไปในอีกมิติหนึ่งและถนนก็ค่อนข้างกว้างมาก

 

การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย ถนนบริเวณใกล้เคียงกันนั้นคึกคักและเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง ขณะที่อีกที่หนึ่งกลับดูรกร้าง

 

"ทำไมไม่มีใครอยู่บนถนนสายนี้?" ชิงสุ่ยถามชางห่ายหมิงเยวี่ยอย่างจริงจัง

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยและพวกเขามาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร? เมื่อเธอกำลังจะพูดกับชิงสุ่ยก็มีเสียงที่ไม่คาดคิดขัดจังหวะออกมา

 

"ถนนสายนี้เรียกว่า ‘ถนนหลั่งโลหิต’ โดยทั่วไปการต่อสู้ใดๆจะถูกตัดสินกันที่นี่ มันอาจจะดูสะอาดสะอ้าน แต่จริงๆแล้วมีเลือดหลั่งรินลงบนที่แห่งนี้ไปทั่ว!"

 

เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันแรงกล้า!

 

ชิงสุ่ยเห็นคนจำนวนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวพร้อมกับกระบี่เล่มยาวโผล่ออกมาจากมุมบริเวณใกล้เคียง พวกเขานำโดยชายสูงอายุสองคน คนหนึ่งดูแล้วสุภาพและอีกคนช่างดูแข็งกร้าว เจ้าของเสียงเป็นชายชราที่ดูสุภาพ

 

การแสดงออกทางสีหน้าของชิงสุ่ยเปลี่ยนไป หญิงสาวทั้งสองคนต่างก็มองมาที่ชิงสุ่ย ทำให้ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าเขาควรจะมีความสุขหรือหดหู่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ความเชื่อมั่นในการจ้องมองของหญิงสาวทั้งสองคนนี้ควรทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชาย แต่เขาไม่ได้มีความสามารถดังกล่าว

 

ชิงสุ่ยมองออกไปและพบว่ามีคนไม่น้อยกว่ายี่สิบคนจากนิกายเทพกระบี่ ซึ่งในหมู่พวกเขามีผู้อาวุโสอยู่สองคน

 

"พวกเจ้าทุกคนคงจะเฝ้ารอที่จะจับตัวพวกเราอยู่นานมาก พวกเจ้ารอพวกเราอย่างว่างเปล่าอยู่นานแค่ไหน มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจ?" ชิงสุ่ยขมวดคิ้วและมองไปที่ชายสูงอายุคนหนึ่งที่ดูสุภาพแต่สีหน้าของเขามืดมนลง

 

"เฝ้ารอพวกเจ้า? เจ้าคิดว่าเจ้ามีค่ามากพอสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นหรือ? พวกเราจะทำให้มันจบลงในเวลาสองวันนี้ แต่เนื่องจากพวกเราพบเจ้าในวันนี้ มันอาจจะทำให้หลานของข้าเพลิดเพลินได้บ้างเช่นกัน" ผู้อาวุโสถ่มน้ำลายของเขาออกมาด้วยความเกลียดขัง

 

"ผู้อาวุโสหยิง บรรพบุรุษกล่าวว่าอย่าทำอะไรด้วยความประมาท” ผู้อาวุโสอีกคนที่นิ่งเงียบอยู่กล่าว

 

"บรรพบุรุษได้สั่งให้จับพวกมันทั้งหมดมาให้ได้ภายในสองวันนี้ ถ้าพวกเราทำให้พวกมันทั้งสามคนฝั่งอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล งานของพวกเราก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น แน่นอนบรรพบุรุษจะตอบแทนพวกเราทั้งสองเป็นอย่างดี ผู้อาวุโสซุนอย่าบอกข้าว่าพวกเราไม่สามารถฝั่งพวกมันทั้งสามคนไว้ที่นี่ได้" ผู้อาวุโสหยิงกล่าวกับผู้อาวุโสอีกคนด้วยความดูถูก

 

"ดี…"

 

"ถ้าพวกเราทั้งสองดูแลจัดการพวกเขาได้เรียบร้อย ข้าจะยอมรับกับคำพูดของท่าน" ผู้อาวุโสหยิงกล่าว

 

"ท่านจริงจังกับเรื่องนี้หรือ?"

 

"นี่เป็นการต่อสู้ในระดับปราณเทวะเซียนเทียน" ผู้อาวุโสหยิงกล่าวกับผู้อาวุโสซุนขณะที่มองไปที่ชิงสุ่ยและเพื่อนๆของเขาอย่างมืดมน

 

"ชิงสุ่ย พวกเราจะทำอย่างไร?" ห่าวหยุนลิ่วลี่ถามอย่างใจเย็นแม้ว่าเธอจะกลัว

 

ชิงสุ่ยยังไม่มีความคิดที่ดี พวกผู้อาวุโสสองคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาคือผู้ฝึกตนระดับปราณเทวะกษัตริย์ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอยู่ในระดับปราณเทวะกษัตริย์ขั้นที่ 1 แต่ชิงสุ่ยก็คิดว่าอย่างน้อยเขาอาจมีโอกาสชนะ ถ้าพวกเขามีเพียงคนเดียว

มันเป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีในตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเรียกวิหคเพลิงออกมา เขาก็คาดการณ์ว่าฝ่ายตรงข้ามของเขาจะไม่ปล่อยให้ทั้งสามคนมีเวลาที่จะปีนขึ้นไปบนหลังของมัน แต่ชิงสุ่ยก็ยังคิดที่จะเรียกวิหคเพลิงออกมาเพราะหวังว่าอย่างน้อยหญิงสาวสองคนจะสามารถหนีไปได้ พวกเขาควรจะหนีถ้าสถานการณ์เป็นใจ

 

แต่น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามของเขารีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันทีที่ชิงสุ่ยเคลื่อนไหว เขาต้องให้หญิงสาวทั้งสองอยู่ข้างๆกันเอาไว้เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะใกล้พอที่จะเรียกวิหคเพลิงออกมาให้ทั้งหญิงสาวสองคนขึ้นไปอยู่บนหลังของมัน

 

ชิงสุ่ยได้วางแผนไว้แล้ว ถ้าหญิงสาวสองคนนี้สามารถปีนขึ้นไปบนหลังของวิหคเพลิงได้สำเร็จ ชิงสุ่ยก็จะสั่งให้วิหคเพลิงบินกลับไปที่คฤหาสน์ชางห่าย ขณะที่เขาสามารถหลบหนีออกไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากเทคนิคย่างก้าวกระเรียนทะยานและดินแดนหยกยุพราชอมตะ

 

"ผู้อาวุโสซุนปล่อยให้ข้าจัดการเด็กน้อยคนนี้ ท่านและเหยี่ยวปีกเหล็กของท่านสามารถจัดการกับหญิงสาวทั้งสองคนนี้ได้" ผู้อาวุโสหยิงกล่าวในขณะที่ฝ่ามือของเขาพุ่งออกไปหาชิงสุ่ย ลมหายใจของเขาพ่นลมออกมาเหมือนควันสีขาว

 

ชิงสุ่ยระมัดระวังในการต่อสู่ครั้งแรกกับคู่ต่อสู้ระดับปราณเทวะกษัตริย์ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับปราณเทวะกษัตริย์ขั้นที่ 1 แต่พลังของเขาก็ไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อเทียบกับระดับปราณเทวะเซียนเทียน นั่นคือช่องว่างที่ไม่อาจจะมองข้ามได้ระหว่างพวกเขา

 

เสียงของพยัคฆ์คำรามดังขึ้น มีกลุ่มพลังงานสีเหลืองถูกปล่อยออกมาจากกรงเล็บพยัคฆ์ของชิงสุ่ย จนถึงปัจจุบันพลังของชิงสุ่ยสูงถึง 30,000 จินแล้ว มันไม่ได้แตกต่างกันมากนักเมื่อเทียบกับพลังของฝ่ายตรงข้ามที่มีระดับปราณเทวะกษัตริย์ขั้นแรก ชิงสุ่ยสามารถต่อสู้โดยไม่ต้องกังวล

 

รูปลักษณ์พยัคฆ์ของชิงสุ่ยนั้นสมบูรณ์แบบ พยัคฆ์เคยเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘ราชันย์แห่งอสูร’ ในอดีต แม้แต่การโจมตีธรรมดาด้วยกรงเล็บก็มีความแรงถึง 20,000 จิน

 

จนถึงวันนี้พลังของชิงสุ่ยได้เข้าถึงระดับพยัคฆ์ที่ดุร้ายขึ้นแล้ว

 

ชิงสุ่ยไม่ได้ขาดพลังหรือเทคนิคใดๆ เขาขาดแค่เพียงประสบการณ์ในการต่อสู้ที่แท้จริง เขาลดฝ่ามือลงและได้ยินเสียงดังขึ้นสองครั้ง

 

ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเลือดไหลของโลหิต แต่ลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลในร่างกายของเขาทำให้มันสงบลงได้ทันที เขาคิดกับตัวเองว่า ผู้ฝึกตนระดับปราณเทวะกษัตริย์นี้จะมีความสามารถเช่นไร? การที่เขาต่อสู้กับตัวเองอยู่เสมอ เขาได้ใช้พลังเต็มที่หรือไม่?"

 

ในความประหลาดใจของชิงสุ่ย ผู้อาวุโสเองก็ยิ่งประหลาดใจมากยิ่งขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผนของเขาที่จะเอาชีวิตของเด็กคนนี้ แต่ชิงสุ่ยกลับสร้างเสียหายให้กับเขาอย่างมาก มันเป็นไปไม่ได้ เขาคิดว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่น่าจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับการโจมตีของเขาได้เลย

 

หลังจากการเผชิญหน้าครั้งนี้ชิงสุ่ยรู้ว่าเขายืนอยู่ในระดับใด เขาต้องการที่จะต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับปราณเทวะกษัตริย์ที่มีระดับสูงกว่านี้

 

เมื่อผู้อาวุโสหยิงดึงพัดของเขาออกมาในระหว่างที่เขาแลกหมัดกับชิงสุ่ย ชิงสุ่ยก็เกือบจะโอดครวญออกมาเพราะพัดนั่นดูเหมือนกับคมมีดแหวกสวรรค์

 

มันเป็นพัดนาดใหญ่และเรียบง่าย ชิงสุ่ยคิดว่ามันมีขนาดอย่างน้อย 2 เมตร ยาวประมาณ 1 ฟุต และมีความหนา 1 นิ้วยกเว้นขอบพัด พัดดูเหมือนจะถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยทองสัมฤทธิ์ มันเปล่งประกายงดงาม

 

ดูเหมือนว่าเขาจะได้เรียนรู้ทักษะยกสิ่งของที่หนักให้เบามาด้วย

 

ชิงสุ่ยกำลังดิ้นรนเพื่อหยิบกระบี่ดารายุพฆาตที่หนัก 2000 จิน ด้วยกำลังมหาศาลมหาศาลของเขาที่ 300,000 จินออกมา โดยทั่วไปทุกคนที่สามารถใช้อาวุธหนักได้เกิดมาพร้อมกับพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่หรือได้รับการฝึกตนอย่างเข้มงวดเพื่อที่จะสามารถยกของที่หนักได้ราวกับว่ามันเบา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสังเกตว่ามันมีนัยสำคัญในด้านกำลังระหว่างอาวุธ 50 จิน กับอาวุธ 500 จิน แม้ว่าจะมันจะมีน้ำหนักเช่นเดียวกัน

 

ชิงสุ่ยค่อยๆยกกระบี่ดารายุพฆาตของเขา เขาได้ฝึกฝนด้วยกระบี่เล่มนี้ด้วยน้ำหนักไม่น้อยกว่า 2,000 จินอย่างลึกซึ้ง

 

ชิงสุ่ยรู้ว่าไพ่ตายของผู้อาวุโสหยิงอยู่ที่พัด เขาเข้าไปปะทะโดยไม่ลังเลใดๆ ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะจบมันให้รวดเร็วที่สุด

 

แคร้งงงงง!

 

มีเสียงปะทะจากนกโผล่ออกมา ชิงสุ่ยหันไปมองและไม่สามารถทำอะไรได้ เหยี่ยวปีกเห็ลกที่มีขนาดเล็กกว่าวิหคเพลิงกำลังพยายามจะดับไฟบนร่างของตัวเอเหนือท้องฟ้า วิหคเพลิงซึ่งอยู่ไม่ไกลได้พ่นเปลวเพลิงสีม่วงออกมา

 

เพลิงอินทนิล!

 

ชิงสุ่ยรู้ว่าวิหคเพลิงสามารถพ่นเปลวไฟออกมาได้ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าเปลวไฟจะมีสีม่วงและรวดเร็วดั่งแสง มันจะระเบิดออกเมื่อสัมผัสกับเป้าหมาย

 

ชิงสุ่ยเคยเห็นวิหคเพลิงพ่นเปลงไฟออกมาเพียงไม่กี่ครั้ง กลิ่นอายของการเผาไหม้ลอยไปทั่วอากาศ มันกลับกลายเป็นว่าผู้อาวุโสหยิงสะบัดพัดของเขาที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของพลังที่รวบรวมไว้ใส่ไปที่ชิงสุ่ยซึ่งกำลังเหม่อลอย

 

เขาไม่สนใจที่จะซ่อนกลิ่นอายของเขาเพราะเขาต้องการที่จะจัดการกับชิงสุ่ย กลิ่นอายนั้นรุนแรงมากจนแม้แต่ลูกศิษย์ธรรมดาๆของนิกายเทพกระบี่ก็กระเด็กออกไปเล็กน้อย

 

ชิงสุ่ยระวังตัวเป็นอย่างมากและไม่ได้ลดการป้องกันลง เขาเตรียมพร้อมที่จะตัดมันด้วยกระบี่ดารายุพฆาตที่อยู่ในมือของเขา ถึงวันนี้ชิงสุ่ยได้รับการฝึกฝนให้ยกของที่หนักราวกับว่ามันเบาไปจนถึงระดับที่ลึกซึ้งแล้ว

 

เสียงกระทบกันของโลหะปะทะต่อกันและถูกเจาะเข้าไปในหูของชิงสุ่ย เขาเห็นว่ากระบี่ดารายุพฆาตของเขาไม่มีรอยขีดข่วนเลยและจากนั้นก็สังเกตเห็นว่าใบพัดขนาดยักษ์ของฝ่ายตรงข้ามของเขาก็ยังไม่เป็นอะไรเช่นกัน

 

ปราณกระบี่เกรี้ยวกราด!

 

ข้อแรกในการจัดการกับพัดก็คือการอาศัยเทคนิคที่มีพลังมากขึ้นและท่วงท่าที่แข็งแกร่งกว่าฝ่ายตรงข้ามเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามโดยใช้พลังอำนาจอันเด็ดขาด ข้อที่สองคือการหลีกเลี่ยงท่วงท่าของฝ่ายตรงข้าม

ความแข็งแรงและเทคนิคเป็นสิ่งที่มีความขัดแย้งกันเอง ไม่ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้ใช้มัน

 

เทคนิคแรกของชิงสุ่ยในการเข้าถึงดินแดนไร้ขอบเขตคือเคล็ดกระบี่พื้นฐาน หลักการเบื้องต้น เมื่อชิงสุ่ยหลบพัดของผู้อาวุโสหยิงและโต้กลับด้วยแรงพลังของเขาที่โจมตีใส่ชิงสุ่ย ผู้อาวุโสหยิงก็มองดูราวกับว่าเขาเห็นผี

 

"เคล็ดกระบี่พื้นฐานแห่งดินแดนไร้ขอบเขต เจ้าไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มธรรมดา!" อาการตกใจของผู้อาวุโสหยิงทำให้ชิงสุ่ยพูดไม่ออก คนแก่ผู้นี้กำลังสาปแช่งและตำหนิเขาในระหว่างการต่อสู้ที่เกี่ยวพันถึงชีวิตและความตาย

 

ชิงสุ่ยรู้สึกกังวลมากเมื่อสังเกตเห็นว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยกำลังต่อสู้อยู่กับผู้อาวุโสซุน แต่โชคดีที่วิหคเพลิงได้ทำร้ายเหยี่ยวปีกเหล็กของฝ่ายตรงข้ามและสามารถโจมตีสอดประสานร่วมกับชางห่ายหมิงเยวี่ยได้ ในทางกลับกันห่าวหยุนลิ่วลี่ก็สามารถยืนหยัดอยู่ข้างๆได้อย่างน่ายำเกรง ความแตกต่างระหว่างความสามารถของพวกเขามีมากเกินไป ลูกศิษย์ธรรมดาคนอื่นๆที่ไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ได้สกัดกั้นเส้นทางหลบหนีของห่าวหยุนลิ่วลี่เอาไว้แทน

 

“ผู้อาวุโสซุนและเหล่าลูกศิษย์รีบๆจัดการกับพวกนางแล้วมาช่วยข้าทางนี้" ผู้อาวุโสหยิงไม่สามารถทำอะไรอื่นได้นอกจากปกป้องตนเองจากเคล็ดกระบี่พื้นฐานของชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยไม่ได้คาดหวังว่าเคล็ดกระบี่พื้นฐานแห่งดินแดนไร้ขอบเขตจะมีประสิทธิภาพมากกว่าของดินแดนแห่งสัจธรรมในการต่อสู้จริงเช่นนี้ อำนาจของมันเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20%

 

แม้ว่าเขาจะสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามของเขาขยับไปไหนไม่ได้ แต่เขาไม่สามารถฆ่าศัตรูได้ ชิงสุ่ยไม่ได้สามารถใช้อาวุธที่ลับที่ซ่อนอยู่ได้ แม้ว่าการเรียกค้นสิ่งของจากดินแดนหยกยุพราชอมตะจะไม่จำเป็นต้องมีทางเข้าออก แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาสั้นๆพอสมควร ในกรณีเช่นนี้การเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะจำเป็นต้องใช้เวลาซึ่งอาจจะทำให้เกิดช่องโหว่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างยิ่งในระหว่างการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญ มันหมายถึงการจบชีวิตในทันที

 

"อสูรร้ายตัวนี้ช่างก้าวร้าว หากข้ามีเวลาสักเล็กน้อย ข้าสามารถชนะมันได้ภายใน 30 กระบวนท่า" ผู้อาวุโสหยิงกล่าวด้วยความโกรธ

 

ชิงสุ่ยเกิดความกังวลมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องของผู้อาวุโสซุน เทคนิคย่างก้าวกระเรียนทะยานของเขาทำให้ศัตรูได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยและตอนนี้การโจมตีทั้งหมดของเขาถูกป้องกันไว้ได้ด้วยพัดขนาดใหญ่

 

ชิงสุ่ยมีความรู้สึกพัดขนาดใหญ่ของเขาเป็นเหมือนดั่งโล่ การป้องกันของมันแข็งจนไม่อาจจะทะลวงผ่านไปได้ ดูเหมือนว่าคนรุ่นเก่าผู้นี้จะมีประสบการณ์มากจากการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนและสนามรบที่เขาเคยประสบมาเป็นเวลาหลายปี

 

“ลิ่วลี่!”

 

ชิงสุ่ยได้ยินเสียงร้องไห้ตื่นตระหนกฉับพลันพร้อมกับวิหคกู่ร้องด้วยเสียงแหลม!

 

ชิงสุ่ยเกิดความปั่นป่วน เขาหันไปรอบๆและได้รับการต้อนรับด้วยภาพสีแดงสดต่อหน้า

 

ห่าวหยุนลิ่วลี่ยังคงถูกซัดกระเด็นลอยอยู่กลางอากาศด้วยเลือดของเธอที่สาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่ กระดูกซี่โครงและซี่โครงของเธอถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ชายชราผู้นั้นฟาดฟันกระบี่ของเขาจากมุมด้านขวาของชุดเกราะของเธอยาวไปจนถึงมุมขวาริมฝีปากของเธอและไปยังมุมตาข้างซ้ายของเธอ

 

ชิงสุ่ยจ้องเขม็งไปที่ฉากโศกนาฏกรรมบนท้องฟ้า เขาเพียงแต่ดูด้วยมันด้วยความเศร้าสลด ขณะที่ห่าวหยุนลิ่วลี่ลอยแน่นิ่งอยู่กลางอากาศ ในตอนนี้เธออาจตายไปแล้วก็ได้

 

“ลิ่วลี่...”

รีวิวผู้อ่าน