px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 287 - ความรุ่งเรืองที่สืบทอดกันในแต่ละช่วงอายุคน!


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 287 - ความรุ่งเรืองที่สืบทอดกันในแต่ละช่วงอายุคน!

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยเห็นการแสดงออกของชิงสุ่ยและรู้สึกดีใจที่เขาไม่ค่อยให้ความสนใจสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้างเช่นกัน!

 

"ไปเถอะ ท่านอาจารย์อาวุโสจะต้องคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ!" ห่าวหยุนลิ่วลี่หัวเราะ สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของชางห่ายหมิงเยวี่ยร้อนผ่าวมากยิ่งขึ้น

 

"ลิ่วลี่ ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเจ้าเองบ้างล่ะ... เรื่องที่พวกเราเหมือนๆกัน..." ชางห่ายหมิงเยวี่ยพึมพำไปทางห่าวหยุนลิ่วลี่ที่ยังคงหัวเราะอยู่

 

ชิงสุ่ยมองไปที่หญิงสาวทั้งสองด้วยความสับสน ทั้งสามคนเดินทางกลับไปยังที่พักของชางหวู่ย่าด้วยกัน

 

"ชิงสุ่ย พวกชายคนที่เจ้าจัดการไปคือใครกัน? เจ้าต้องการจะบอกกับท่านอาจารย์อาวุโสก่อนหรือไม่?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลาถามขึ้นมาเบาๆ

 

คนที่อยู่ข้างๆชิงสุ่ยไม่เหมือนคนเดิมในอดีต เธอสูญเสียความหยิ่งที่เธอเคยมีมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าเธอจะยังคงทำตัวห่างเหินและห่างไกลจากโลกภายนอก แต่เสียงกระซิบของเธอก็ยังคงทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกคิดถึงเล็กน้อย

 

มีคนบอกว่าถ้าผู้หญิงคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง นั่นหมายความว่าผู้หญิงคนนั้นเริ่มตกหลุมรักผู้ชายคนนี้แล้ว

 

เธอชอบเขาหรือไม่?

 

"ชายคนนั้นเป็นคุณชายสามจากตระกูลกงซุน ไว้กลับไปก่อน ข้าจะลองถามท่านอาจารย์อาวุโสดูว่าตระกูลกงซุนนั้นเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ข้าแค่จัดการกับพวกสุนัขรับใช้ของมันไปเท่านั้น ข้าคิดว่าพวกพี่น้องตระกูลกงซุนนั้นเป็นพวกที่อ่อนแอ" ชิงสุ่ยพูดอย่างช้าๆหลังจากคิดเล็กน้อย

 

"ข้าเห็นด้วย ท่านอาจารย์อาวุโสเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องในวังเทวโลก ท่านน่าจะช่วยพวกเราได้" ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวอย่างนุ่มนวล

 

ทั้งสามคนเดินไปอย่างช้าๆภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะตกดินเพื่อกลับไปยังที่พักของชางหวู่ย่า ชิงสุ่ยมองไปที่ทิวทัศน์อันสวยงามที่ย้อมไปด้วยแสงของอาทิตย์ตกดินรอบๆตัวเขาพร้อมกับหญิงสาวที่แสนงดงาม

 

คนอื่นมองไปที่ ชิงสุ่ย ด้วยความอิจฉา ห่าวหยุนลิ่วลี่ กำลังดึงมือของ ชิงสุ่ย และ ชางห่ายหมิงเยวี่ย อยู่ด้านอื่น ๆ ของเขาแม้ว่าเธอจะไม่ได้โยงมือของเธอกับเขา

 

ชางหวู่ย่ากำลังทำอาหารเมื่อชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสองกลับมาถึง เขามองอย่างมีความสุขมาก "ชิงสุ่ย เจ้ากลับมาแล้ว อาหารเตรียมไว้เกือบจะเสร็จแล้ว!" เขากล่าวอย่างมีความสุขเมื่อเห็นพวกเขา

 

"ให้ข้าช่วยท่านเถอะ!" ชิงสุ่ยยิ้ม เขารู้สึกว่าชางหวู่ย่าปฏิบัติกับเขาเหมือนหลานชายของตัวเอง หญิงสาวทั้งสองต้องบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องของพวกเธอและสิ่งที่เกิดขึ้นที่คฤหาสน์ชางห่าย

 

"พวกเจ้าทุกคนคุยกันไปก่อนเถอะ ข้าเกือบจะทำเสร็จแล้ว!" ชางหวู่ย่าหัวเราะเบาๆ

 

ชิงสุ่ยมีเครื่องปรุงรสหลากหลายชนิดและผลสุคนธ์มอมเมา งาม้วน โกฐจุฬาลัมพา และผลไม้หลากชนิด ตราบใดที่อาหารไม่ได้ไม่สุกหรือสุกเกินไปก็จะไม่มีปัญหาใดๆเกี่ยวกับเรื่องรสชาติ ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาไม่เพียงแต่จะสามารถทำให้ชางหวู่ย่าลิ้มรสอาหารที่แสนอร่อยแล้ว แต่เขายังสามารถเติมเต็มความเสียใจของเขาที่ไม่สามารถมาทำอาหารให้ได้อีกด้วย

 

"ท่านอาจารย์ผู้อาวุโส ตระกูลกงซุนเป็นเช่นไรหรือ?" ชิงสุ่ยถามชางหวู่ย่าหลังจากที่เขาทำอาหารเสร็จแล้ว

 

ชางหวู่ย่ารู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม "ตระกูลกงซุนมีสังฆราช ผู้อาวุโส และผู้นำเหล่าสาวกแห่งคฤหาสน์ดาราจันทราซึ่งแท้จริงแล้วเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลพวกเขา"

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชิงสุ่ยรู้ได้ในทันทีว่าตระกูลกงซุนนั้นน่ากลัว ในวังเทวโลกอำนาจจะอยู่ในมือของสังฆราช ผู้อาวุโส และตระกูลต่างๆถึงสามชั่วอายุคน ตระกูลที่ไม่มีลูกหลาน ความเจริญรุ่งเรืองก็จะหยุดอยู่แค่เพียงรุ่นของพวกเขาเท่านั้น ส่วนตระกูลที่มีลูกหลานสืบสกุล ความเจริญรุ่งเรืองก็จะส่งต่อๆกันไปเป็น 100 ปีด้วยบรรพบุรุษ 200 ปีด้วยลูกชายของพวกเขา และ 300 ปีด้วยหลานชายของพวกเขา!

 

ตำแหน่งผู้นำเหล่าสาวกถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่เท่าเทียมกับตำแหน่งสังฆราชซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกยกระดับจากตำแหน่งผู้อาวุโส ในวังเทวโลกผู้นำเหล่าสาวกของคฤหาสน์ต่างๆอาจจะดูว่ามีตำแหน่งคล้ายคลึงกันหรือด้อยกว่าเหล่าผู้อาวุโส แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องในนามเท่านั้น

 

"มีอะไรหรือไม่ ชิงสุ่ย? ถึงแม้ตระกูลกงซุนจะมีอำนาจอยู่บ้าง แต่ข้าผู้ซึ่งเป็นอาจารย์อาวุโสของเจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน อย่าลืมข้า เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเจอกับปัญหาและหมดหนทาง" ชางหวู่ย่ากล่าวอย่างใจเย็น เสียงอันสงบนิ่งทำให้รู้สึกได้ถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา นี้ต้องเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างเรียกกันว่ามั่นคงดั่งภูเขา เขาช่างเหมาะสมกับภูเขาที่กล่าวไว้จริงๆ

 

"ข้าขอขอบคุณท่าน ท่านอาจารย์อาวุโส!" ชิงสุ่ยขอบคุณอย่างจริงใจแก่ชางหวู่ย่า

 

ชางหวู่ย่าหัวเราะ "โฮ่ๆ ตั้งแต่นี้ต่อไปพวกเราก็ถือว่าเป็นครอบครัวกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องมากพิธีหรอก! "

 

ชิงสุ่ยยิ้มให้เขาอย่างไม่ได้คาดคิด ชางหวู่ย่าทำดีต่อเขาเพราะรู้เรื่องสถานการณ์ที่ซับซ้อนบางอย่างมากกว่าเขาเป็นแน่ ชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ชิงสุ่ยจะจดจำสิ่งนี้ไว้ในใจ

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยส่ายศีรษะอย่างช้าๆ ขณะที่ห่าวหยุนลิ่วลี่หัวเราะออกมาสุดเสียง เสียงที่เยือกเย็นนี้ทำให้หัวใจของชิงสุ่ยสั่นไหว เขาไม่สามารถทำอะไรได้ แต่นึกถึงจำช่วงเวลาที่พวกเขามีร่วมกันบนหลังของวิหคเพลิง ครึ่งล่างของร่างกายเขามีปฏิกิริยาเล็กน้อยกับความทรงจำเหล่านี้

 

"ชิงสุ่ย เจ้ามาหาข้าที่นี่พรุ่งนี้และเรียนรู้อะไรบางอย่างพร้อมกับเยวี่ยเยวี่ยและลิ่วลี่ นี่คือข้อเสนอที่ดีที่สุดในวังเทวโลก ชายชราผู้นี้มีประสบการณ์กว่า 200 ปี และสามารถให้ทางลัดทั้งหมดทุกอย่างแก่เจ้าได้" ชางหวู่ย่ากล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อชิงสุ่ยกำลังเตรียมตัวจากไป

 

"ขอบคุณท่านอาจารย์อาวุโส!" ชิงสุ่ยไม่มีคำพูดดีๆอะไรให้นอกเสียจากรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดของเขา แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะปกปิดความประหลาดใจและพึงพอใจบนใบหน้าของเขาได้

 

หลังจากกล่าวลาแล้ว ทั้งสามคนก็กลับไปที่ห้องพักของพวกเขา ชิงสุ่ยรีบล็อคประตูในทันทีหลังจากที่เข้าไปในห้องนอนของเขาแล้วและเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ เมื่อเขาเห็นสมุนไพรที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเต็มไปทุกที่ ชิงสุ่ยประมาณอย่างคร่าวๆว่าพวกมันน่าจะมีอายุประมาณ 300 ปีแล้ว เขายืนอยู่ท่ามกลางสมุนไพรอันล้ำค่าที่พร้อมจะเติบโตจนมีอายุเป็น 1,000 ปี หรือ 2,000 ปีในอนาคต...

 

ดอกไม้แห่งชีวิตที่เคยถูกถอนออกไปเมื่อก่อนหน้านี้ได้เติบโตขึ้นมาใหม่แล้ว มันน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 1ปีถึงจะบานขึ้นอีกครั้ง สำหรับห่าวหยุนลิ่วลี่ ชิงสุ่ยจะใช้ดอกไม้แห่งชีวิตทุกดอกตราบใดที่ยังมีความหวังในการช่วยเหลือลิ่วลี่ เขาไม่ลังเลเลยที่จะใช้มัน

 

หลังจากผ่านมาเป็นเวลานาน ต้นนิรนามนั้นก็ยังคงรากอยู่แค่เพียงอันเดียว ไม่มีแม้แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใดๆ

 

อาจเป็นได้ว่ามันต้องใช้เวลานานถึง 100 ปีในการแตกหน่ออีก 100 ปีจะออกดอก และอีก 100 ปีผลถึงจะออกหรือไม่? สำหรับผลที่สุกงอมจะต้องใช้เวลาเท่าไร ชิงสุ่ยก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ ถ้าดอกไม้บานจะต้องใช้เวลามากกว่า 100 ปี ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่ผลอันสุกงอมจะต้องใช้เวลานานกว่านั้น...

 

อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มาเป็นระยะเวลานานมากนัก พื้นที่แห่งนี้คือดินแดนหยกยุพราชอมตะและเขามีเวลามากมายที่นี่ ยิ่งต้องใช้เวลานานเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น

 

เขาเกือบจะลืมไปแล้วเกี่ยวกับขวดโหลก้อนเชื้อเห็ดหลินจือ เห็นได้ชัดว่ามันมีขนาดใหญ่ขึ้นหลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน สีทองคำมีความสวยงามเป็นพิเศษและรูปร่างอันไม่สม่ำเสมอทำให้มันดูคล้ายกับก้อนไขมัน บางทีขวดโหลก้อนเชื้อเห็ดหลินจืออาจจะเป็นไขมันที่ไม่ดีหรือไม่?

 

ผลเสริมปราณ ผลเสริมความว่องไว ผลเสริมปราการและผลเสริมกายาเกือบจะสุกได้ที่แล้ว  ชิงสุ่ยสงสัยว่าเมื่อผลเสริมวิญญาณผลสุดท้ายสุกงอม ความสามารถที่มันจะให้คืออะไร? บางทีมันอาจจะเพิ่มพลังงานทางจิตวิญญาณ?

 

เมื่อเขามองไปรอบๆ วิหคก็กู่ร้องออกมาด้วยความยินดีเมื่อมันรู้สึกถึงชิงสุ่ยที่เข้ามา ชิงสุ่ยตอบกลับอย่างมีความสุขด้วยการผิวปากสองครั้งยาวๆ ชิงสุ่ยรู้สึกว่าวิหคเพลิงเริ่มมีสติปัญญามากขึ้น ตามที่คาดไว้เกี่ยวกับสัตว์อสูรแห่งสวรรค์และโลกที่มีสายเลือดของนกหงส์เพลิง

 

จากนั้นเขาก็มองไปที่ปลานิล เต่า เต่าทองคำ และหอยหลอดเงินขาว 1000 ปี แม้ว่าจำนวนของพวกมันจะเพิ่มขึ้น แต่ก็มีการอัตราการเติบโตที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ที่วิหคเพลิงเข้ามาอยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เนื่องจากว่ามันจับพวกมันกินทุกวัน

 

ชิงสุ่ยเริ่มตั้งเตาไฟพร้อมกับตั้งหม้อซุปปลาและหม้อซุปสรรพสิ่งบำรุงกำลัง เขามักจะทำเช่นนี้เมื่อใดก็ตามที่เขาเข้ามาในดินแดนหยกยุพราชอมตะ หลังจากเดือดแล้วเขาก็จะปล่อยให้มันค่อยๆตุ๋นด้วยเปลวไฟอ่อนๆและกินอาหารเมื่อใดก็ตามที่เขาหิว เวลาที่เหลือจากการฝึกฝน ถ้าเขาง่วงนอนจริงๆเขาก็จะงีบหลับ การขาดการนอนหลับไม่กี่วันจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกตนมากนัก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ นอกจากนี้การนอนหลับยังเป็นประโยชน์ต่อจิตใจและนี่คือเหตุผลที่ผู้ฝึกตนจะนอนเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน

 

ชิงสุ่ยจะเริ่มต้นการฝึกฝนของเขาหลังจากเสร็จสิ้นเรื่องนี้ทั้งหมด ส่วนแรกของการฝึกฝนจะเป็นเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล มันช่วยให้รู้สึกสดชื่นและเสริมสร้างร่างกายเมื่อฝึกซ้อมทั้งวัน

 

จากนั้นเขาก็จะต่อด้วยเคล็ดกระบี่พื้นฐานและเพลงกระบี่เทวโลก สำหรับเพลงกระบี่เทวโลกที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในวังเทวโลกนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่เทคนิคที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเทคนิคที่คุ้มค่าที่จะฝึกฝน

 

ชิงสุ่ยไม่เคยเบื่อที่จะทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำๆ จากนั้นเขาก็จะยกค้อนด้วยเทคนิคพันค้อนกัมปนาทของเขาซึ่งถือว่าค่อนข้างพัฒนามากขึ้นแล้วในถึงปัจจุบัน

 

ปัจจุบันชิงสุ่ยไม่ได้มีแผนจะใช้เทคนิคค้อนดั่งกล่าวกับฝ่ายตรงข้าม เขาหวังแค่ว่าจะมันจะสามารถเข้าถึงดินแดนไร้ขอบเขตหรือแม้กระทั่งดินแดนสรวงสวรรค์ได้ จากนั้นบางทีเขาอาจจะสามารถหลอมอุปกรณ์ระดับ 2 ระดับ 3 หรือระดับที่สูงขึ้นได้และบางทีเขาอาจจะสามารถเพิ่มคุณภาพของอุปกรณ์ให้เพิ่มขึ้นได้

 

ในวันรุ่งขึ้นชิงสุ่ยก็ยังคงฝึกฝนอยู่ที่ลานสาธารณะ เขาตระหนักดีว่าลานสาธารณะและอนุสรณ์สถานศิลาหินศิลปะการต่อสู้เป็นสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่นมากที่สุด บางทีคงเป็นเพราะบริเวณอนุสรณ์สถานศิลาหินศิลปะการต่อสู้หลังเทือกเขาเปิดให้สำหรับทุกคนในวังเทวโลกและหลายคนก็สนใจภาพวาดแกะสลักศิลาหินสัตว์อสูร มันจึงเป็นเหตุผลที่อนุสรณ์สถานศิลาหินศิลปะการต่อสู้มีผู้ไปเยี่ยมชมถึงประมาณวันละ 30,000 คน ศิลาหินแต่ละแห่งจะมีคนโดยเฉลี่ย 30 คน ศิลาหิน 1,000 อัน ก็จะมีผู้คนอย่างน้อย 30,000 คน

 

ลานสาธารณะเป็นเพียงสถานที่แห่งเดียวที่มีเป็นลานสาธารณะของคฤหาสน์ดาราจันทรา มันสามารถจุคนได้ถึง 20,000 คนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นชิงสุ่ยจึงสามารถหาพื้นที่ว่างสำหรับการฝึกฝนได้ในตอนเช้า

 

การฝึกฝนในเช้าวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับเขา แม้ว่าเขาจะดึงดูดความสนใจจากหลายๆคน แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะในตอนท้ายก็จะไม่มีใครสนใจเขา หลังจากชิงสุ่ยเห็นว่าเขาฝึกมากพอแล้วในวันนี้ เขาก็เดินทางไปยังที่พักของชางหวู่ย่า

 

เมื่อมาถึงเขาแล้ว เขาก็ค้นพบว่าหญิงสาวทั้งสองนั้นอยู่ที่นั่นและดูเหมือนจะพูดคุยเรื่องอะไรกับบางอย่างกับชางหวู่ย่า

 

"ชิงชุ่ย เจ้ามาฝึกฝนพร้อมกับพวกเราเถอะ มิฉะนั้นท่านอาจารย์อาวุโสคงจะต้องทำซ้ำถึงสองครั้ง" ห่าวหยุนลิ่วลี่โบกมือเรียกเขา

 

"ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าได้เริ่มต้นฝึกฝนช่วงแรกไปแล้วหรือ" ชิงสุ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

 

"พวกเราล้อเล่น วันนี้เป็นวันแรกของพวกเราด้วยเช่นกัน" ห่าวหยุนลิ่วลี่หัวเราะเบาๆ หน้าอกอันงดงามและละเอียดอ่อนของเธอสั่นไหวไปมาเล็กน้อย มันช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก

 

ชิงสุ่ยรีบหันเหความสนใจของเขา ความสามารถในการคุมสมาธิของเขาเริ่มเสื่อมลงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเร็วๆนี้ เขาสงสัยว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับ "เคล็ดวิชาทวิบ่มเพาะ" ที่เขาฝึกฝนทุกวันหรือไม่

 

"วันนี้พวกเจ้าจะได้เรียนรู้ขั้นตอนอำพรางเมฆขั้นแรก พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ข้าจะบอกและใช้หัวใจของเจ้าสัมผัสมัน อย่าเคร่งเครียดและกังวลกับส่วนที่เหลือมากเกินไป เจ้าเพียงแค่ฝึกซ้อมต่อไปเรื่อยๆ ขั้นตอนอำพรางเมฆแท้จริงแล้วคือการฝึกก้าวเท้า ‘ย่างก้าวอำพรางเมฆ’เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนให้ชำนาญ เจ้าจะค้นพบความลับที่อยู่เบื้องหลังย่างก้าวอำพรางเมฆเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม อย่าแสวงหารูปแบบที่ตายตัวของย่างก้าวอำพรางเมฆ เพราะมันจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน"

 

ชางหวู่ย่ามีกลิ่นอายของความมีเกียรติและสง่างาม เมื่อเริ่มสอนและพูดคุยเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังรักษาท่าทีอันสงบของเขาอยู่เสมอ

 

"ย่างก้าวอำพรางเมฆมุ่งเน้นไปที่ ‘ลอย’ และ ‘เหิน’ เจ้าจะต้องรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยและตัวเดินอยู่บนก้อนเมฆ ย่างก้าวอำพรางเมฆเป็นที่รู้จักกันดีในด้านการผันแปรและความรวดเร็วของพวกมัน ข้าจะสอนวิธีการไหลเวียนลมปราณก่อน"

รีวิวผู้อ่าน