px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 288 – ย่างก้าวอำพรางเมฆ ผู้นำเหล่าสาวก กงซุนเจี้ยนหวู่ เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 288 – ย่างก้าวอำพรางเมฆ ผู้นำเหล่าสาวก กงซุนเจี้ยนหวู่ เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก

 

หลังจากพูดจบ ชางหวู่ย่าก็อธิบายวิธีการไหลเวียนลมปราณสองครั้งและจากนั้นก็เริ่มแสดงให้ดู ในขณะที่ชายชราทำเช่นนั้น ชิงสุ่ยไม่ทราบว่าก้าวขจัดวิญญาณของเขาก้าวหน้าไปได้ไกลเพียงใดแล้ว แต่ระดับก้าวขจัดวิญญาณในปัจจุบันของเขาก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับย่างก้าวอำพรางเมฆอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยสังเกตเห็นว่าระดับก้าวขจัดวิญญาณของเขาดูเหมือนจะสูงพอสมควร แต่ก็ไม่ได้มีความคืบอะไรเพิ่มเติมเมื่อเร็วๆนี้เลย

 

ชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสองมีระดับความเข้าใจที่สูงมากและในไม่ช้าพวกเขาก็ลองทำมัน แต่ก็ดูเหมือนจะยังเกร็งๆอยู่บ้างเมื่อลองมัน ปล่อยตัวตามสบาย ‘เดินเล่น’ พวกเขาแทบจะ "เหิน" ไม่ได้เลย

 

ชางหวู่ย่าเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าเทคนิคนี้ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยและความเข้าใจทั้งหมด มันต้องเข้าใจไปถึงภายในหัวใจ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงเริ่มฝึกฝนอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังไม่ดีเท่าไหร่และเขารู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป

 

ทันใดนั้นเขาก็เข้าสู่สภาวะเช่นเดียวกันกับตอนที่เขาฝึกฝนไทเก๊กในช่วงเวลาต่างๆ มันรู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในความฝัน ชิงสุ่ยเริ่มคุ้นเคยกับย่างก้าวอำพรางเมฆทีละเล็กทีละน้อย เขาลองทำย่างก้าวอำพรางเมฆซ้ำอีกครั้ง ในขณะที่เขาพยายามสัมผัสถึงความรู้สึกของมันเช่นเดียวกัน

 

บางครั้งหญิงสาวทั้งสองก็จะสงบนิ่งลงเพื่อใช้ความคิดบางอย่าง ก่อนที่พวกเธอจะดำเนินการทำอะไรต่อไป ชางหวู่ย่ามองดูจากด้านข้างโดยไม่พูดสักคำ เขายิ้มอยู่คนเดียวหลังจากที่เขามองไปยังกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เขาคุ้นเคย

 

ตลอดสองชั่วโมง ชิงสุ่ยฝึกฝนเหมือนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเครื่องจักร ทันใดนั้นเขาก็หลับตาลงและร่างของเขาก็เหินขึ้น แต่ดวงตาของเขายังคงปิดอยู่ จากนั้นเขาก็ลองเหินขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นธรรมชาติมากขึ้น

 

การจ้องมองของชางหวู่ย่าต่อชิงสุ่ยเห็นได้ถึงสายตาอันเป็นประกายที่เขามีให้ชิงสุ่ย มันสดใสเหมือนดั่งดวงดาว แต่ก็กลับกลายเป็นปกติเพียงชั่วครู่พร้อมกับเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของเขา

 

แม้กระทั่งชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ก็กำลังจ้องมองมาที่ชิงสุ่ยด้วยดวงตาอันงดงามของพวกเธอและรู้สึกประหลาดใจว่าชิงสุ่ยสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างไรด้วยย่างก้าวอำพรางเมฆที่มีความเร็วซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

"เขาเป็นเหมือนดั่งปีศาจจริงๆ นี่มันช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก พรสวรรค์ของข้านั้นโดดเด่นตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่ข้าก็รู้สึกทึ่งหลังจากที่ได้พบกับพี่สาวหมิงเยวี่ยและตอนนี้เขา..." ห่าวหยุนลิ่วลี่หันไปทางชางห่ายหมิงเยวี่ยที่ทำตัวเหมือนมึนงง

 

ชางห่ายหมิงเยวี่ยมองไปที่ห่าวหยุนลิ่วลี่ เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก เธอรู้ดีว่าเธอเป็นคนหัวแข็งมากและเมื่อเห็นผลัพธ์ของชิงสุ่ย มันก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความล้มเหลวและความขุ่นมัว

 

หลังจากที่ชิงสุ่ยรู้สึกพอใจแล้วเขาก็หยุดลง มันผ่านมา 1 ชั่วโมงแล้วก่อนที่เขาจะเห็นว่าคนอื่นมองมาที่เขา เขาได้แต่อมยิ้มและเขินอาย

 

ชิงสุ่ยไม่ได้คาดคิดว่าย่างก้าวอำพรางเมฆจะมีความคล้ายคลึงกันเหมือนกับไทเก๊ก มันทำให้เขาสามารถฝึกฝนได้อย่างที่ต้องการ ตอนนี้เขาเข้าใจว่าทำไมชางหวู่ย่าจึงได้กล่าวคำเหล่านั้นในตอนเริ่มแรก นี่คือเหตุผล!

 

"ชิงสุ่ย เจ้าทำได้อย่างไรกัน?" ห่าวหยุนลิ่วลี่เบ้ปากของเธอและพูดอย่างหยาบคาย ขณะที่เธอเดินไปหาชิงสุ่ยและเงยหน้าขึ้นมองเขา

 

ชิงสุ่ยคิดว่ามันช่างน่าขบขันที่ได้เห็นหญิงสาวเจ้าเสน่ห์คนหนึ่งทำตัวเหมือนเด็กน้อยและพูดว่า "มันช่วยไม่ได้ ข้าค่อนข้างมีความเป็นตัวของตัวเองและข้าก็มีระดับความเข้าใจสูงมาก"

 

"อืมมมม ก็แล้วแต่ตัวเจ้าเถอะ" เมื่อพูดแบบนี้ห่าวหยุนลิ่วลี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอได้แต่ยิ้มกลับไป

 

พวกเขายังคงใช้เวลาช่วงบ่ายฝึกซ้อมย่างก้าวอำพรางเมฆ แม้ว่าหญิงสาวทั้งสองไม่ได้พูดคุยกับชิงสุ่ย แต่ความคืบหน้าของพวกเธอก็ไม่เลวเลยทีเดียว แม้ว่าจะยังตามหลังเขาอยู่ก็ตาม บางครั้งห่าวหยุนลิ่วลี่ก็จะบ่นใส่ชิงสุ่ย ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพียงแค่ช่วงบ่ายของวันเดียว ชิงสุ่ยก็ถูกเรียกว่าคนเลวทรามโดยห่าวหยุนลิ่วลี่อย่างน้อยถึงสามครั้ง

 

คำว่า 'คนเลวทราม' อาจถูกมองว่าเป็นคำชมเชยในหลายๆครั้ง เช่นเดียวกับวิธีการใช้งานในขณะนี้ เมื่อความคืบหน้าของผู้อื่นมีมากกว่าหรือความเข้าใจของคนๆนั้นสูงมากจนอยู่นอกเหนือคำอธิบาย มันอาจจะบอกได้ว่าคนพวกนั้นเหมือนปีศาจหรือคนเลวทราม

 

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เฟยหวู่จี้ก็เดินทางมาถึง ในวังเทวโลกสำหรับพวกเขานั้นมันเหมือนกับการรวมตัวกันของสมาชิกในครอบครัว แม้ว่าชิงสุ่ยจะเคยพบกับพวกเขาเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยยังคงเต็มไปด้วยความเคารพต่อ เฟยหวู่จี้ ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่สายตาของเขาดูเหมือนจะสามารถมองเห็นถึงหลายสิ่งหลายอย่างได้เช่นเดียวกับชางหวู่ย่า มันให้ความรู้สึกถึงความรอบรู้และสายตาอันกว้างไกลที่ใกล้เคียงกับการถูกปีศาจจ้องมอง

 

"ชิงสุ่ย เจ้าได้ไปทุบตีทำร้ายคุณชายสามแห่งตระกูลกงซุนหรือไม่?" เฟยหวู่จี้หัวเราะเบาๆ

 

“อืมมมมม ท่านลุงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?" ชิงสุ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 

"คุณชายสามแห่งตระกูลกงซุนเป็นหนึ่งในคนที่มักจะมีเรื่องราวเช่นนี้เสมอ การที่เจ้าไปทุบตีคนของเขานั้นก็เปรียบเหมือนการทุบตีเขาด้วย ข่าวดังกล่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนเปลวไฟที่ลุกลาม ทุกคนต่างกำลังรอชมการแสดงอยู่" เฟยหวู่จี้ดูเหมือนจะมีความสุขมากในขณะที่เขาพูดแบบนี้

 

ชิงสุ่ยไม่เข้าใจความรู้สึกของเฟยหวู่จี้ เขาได้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง แต่ทำไมลุงของเขาดูเหมือนจะมีความสุขมาก?

 

"ท่านลุง ท่านไม่โกรธข้าหรือ?" ชิงสุ่ยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงถามไปแบบงุนงง

 

คำพูดของชิงสุ่ยทำให้เฟยหวู่จี้และชางหวู่ย่าหัวเราะออกมา หลังจากนั้นชางหวู่ย่าก็เริ่มพูดออกมา

 

"ชางห่าย หวู่จี้ และบุตรชายของข้าเคยเป็นคนที่เกเร โดยเฉพาะตอนที่พวกเขายังเด็กๆนั้นได้คอยสร้างปัญหาอยู่บ่อยๆ ชายชราผู้นี้เป็นคนที่คอยขัดเกลาพวกเขา เมื่อนึกถึงมัน สิ่งที่ข้าชอบที่สุดคือการขัดเกลาพวกเขาหรือแม้แต่การพยายามปลูกฝังถ้อยคำดีๆให้กับพวกเขา มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กๆจะรักการต่อสู้ ดังนั้นข้าถึงมีความสุขแม้ว่าข้าจะถูกดึงให้ต่ำลงต่อหน้าผู้อื่น มันแสดงให้เห็นว่าเด็กๆและสาวกของข้าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด"

 

คำพูดของชางหวู่ย่าทำให้หัวใจของชิงสุ่ยรู้สึกอบอุ่นและแม้แต่ชางห่ายหมิงเยวี่ยที่ฟังอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินเกี่ยวกับพ่อของเธอ เธอก็ถึงกับรู้สึกมึนงงมาก

 

"จนเมื่อถึงวันหนึ่งที่ลูกชายของข้าถูกสังหารอย่างตั้งใจโดยใครบางคน ในฐานะของพ่อ ข้าไม่มีทางเลือกอื่นเมื่ออีกฝ่ายเข้ามากล่าวคำขอโทษแล้ว ใครจะสามารถรับได้กับการตายของลูกชาย? ความสามารถของอีกฝ่ายทำให้ข้าไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ ในท้ายที่สุดชางห่ายก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองเอาไว้ได้และได้ลงมือสังหารชายผู้ซึ่งฆ่าลูกชายของข้า ข้าพยายามอย่างที่สุดแล้วเพื่อรั้งเขาไว้ที่นี่ แต่เขาก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นจึงได้ออกจากวังเทวโลกไป" ชางหวู่ย่าเล่าเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาอย่างเคร่งขรึมและบอกพวกเขาถึงเหตุผลที่ชางห่ายออกจากนิกายไป

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมชางห่ายหมิงเยวี่ยถึงได้รับการปฏิบัติเหมือนกับเป็นหลานสาวของเขา ชางห่ายถูกเลี้ยงดูจนเติบโตเหมือนดั่งลูกแท้ๆของเขา!

 

"นั่นคือตอนที่หวู่จี้และชางห่ายยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่หวู่จี้เท่านั้น ลุงหวู่จี้ของเจ้ามีทักษะการต่อสู้ที่พิเศษ กระดูกกระเดี้ยวของข้าผุพังลงและไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลานานมากแล้ว พวกเรานั้นก็เปล่าเปลี่ยวมานาน ไม่รู้ว่าพวกเรานั้นจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับพวกเจ้าทั้งสามคนได้อีกครั้งหรือไม่ หากเจ้ามีปัญหาใดๆ ชายชราผู้นี้จะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากพวกมันเอง พวกเจ้าจะต้องมั่นใจและทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ"

 

ในขณะนั้นกลิ่นอายของชางหวู่ย่าได้แผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณโดยรอบถึงมันจะไม่ได้อันตราย แต่ก็น่าตกใจมาก!

 

"ชิงสุ่ย ฝ่ายอื่นๆนั้นรู้อยู่แล้วว่าเจ้าอยู่กับท่านอาจารย์และคนที่จะสามารถต่อกรกับเจ้าได้ก็มีเพียงพวกคนหนุ่มสาวรุ่นเจ้าเท่านั้น ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ เพียงแค่รู้สึกปลอดโปร่งเมื่อเห็นเจ้าจัดการกับพวกเขา" เฟยหวู่จี้หัวเราะ

 

"ขอบคุณท่านอาจารย์อาวุโส ขอบคุณท่านลุง!" ชิงสุ่ยยืนขึ้นเพื่อคำนับ

 

"พวกเราเป็นครอบครัว ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก ในอนาคตเมื่อพวกเจ้าแต่งงานกัน เจ้าจะต้องให้ข้าดื่มเหล้ากับข้ามากขึ้น!" เฟยหวู่จี้หัวเราะขณะที่เขากล่าวลาอาจารย์และพยักหน้าให้กับคนที่เหลือและจากไป

 

ชิงสุ่ยรู้สึกท้อแท้และกล่าวลาหลังจากเฟยหวู่จี้กลับไป

 

เขาไม่ได้กลับไปยังที่พักของเขา เขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์ดุจปีศาจ เรือนร่างอันโค้งงอน ดวงตาอันมีเสน่ห์ ขนตาหนา ผมดำยาว และจมูกขนาดเล็กที่ดูเย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง

 

นี่คือหญิงสาวคนหนึ่งที่ชวนให้นึกถึงเรื่องราวบนเตียงนอน เธอมีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไปเป็นเหมือนกับชิงห่าน

 

"ยังเด็กอยู่?" หญิงสาวพึมพำ!

 

ชิงสุ่ยมองไปที่หญิงสาวด้วยความงงงวยและไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร

 

"เจ้าไม่สนใจที่จะมาเล่นกับข้าหรือ?" หญิงสาวคนนั้นกระพริบตามาทางชิงสุ่ย มันมีเสน่ห์มากจนอาจจะทำให้จมูกถึงกับเลือดกำเดาไหลออกมา

 

ชิงสุ่ยจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวในความว่างเปล่าและร่างกายของเขาเริ่มมีปฏิกิริยา การแสดงออกที่น่ารักของเธอนั้นทำให้อาจจะทำให้ผู้คนอยากที่จะพาเธอขึ้นไปบนเตียงและกอดรัดดูดดื่มเธอไว้บนนั้น อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่น่าไว้ใจและการฝึกตนของเธอก็อยู่ในระดับปราณเทวะกษัตริย์ขั้นแรก แขนและขาทั้งสองขาอันเรียวยาวของเธอคล้ายกับกระบี่ยาวๆสองเล่ม

 

"เจ้าไม่สบายเช่นนั้นหรือ!" ชิงสุ่ยฝืนพูดคำเหล่านี้ออกไปพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย เขาเดินออกมาและกำลังจะจากไป

 

เมื่อเธอได้รับการตำหนิ หญิงสาวก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา รอยยิ้มอันงดงามของเธอทำให้ดอกไม้ที่กำลังบานอยู่ในบริเวณใกล้เคียงดูหมองลงไปในทันที

 

"เจ้าหัวเราะอะไร" ชิงสุ่ยพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่มองใบหน้าของเธอ

 

"ข้าหัวเราะเพราะเจ้าพูดไร้สาระกับซือเยี่ย!"

 

"เจ้ามันบ้า..."

 

"ขอบคุณพระเจ้าที่เจ้าไม่ได้พูดดีกับข้า ขอบคุณ!" หญิงสาวยังคงยิ้มอย่างงดงามเหมือนดอกไม้

 

ชิงสุ่ย : "..."

 

"พูดมา ถ้าไม่เช่นนั้นข้าก็จะไป" ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจะจัดการกับหญิงสาวแบบนี้อย่างไร

 

"ข้าจะหยุดเย้าแหย่เจ้า ข้าแค่มาส่งจดหมายแก่เจ้าแทนผู้อื่น" หลังจากส่งหนังสือให้ชิงสุ่ยแล้วเธอก็ยิ้มและเดินจากไป

 

ชิงสุ่ยมองไปที่อกอันงดงามและกลมกลึงซึ่งมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดอย่างร้ายแรง ขณะที่มันเคลื่อนไหวไปมาเล็กน้อยเมื่อเธอเดินจากไป เอวของเธอเรียวงามจนทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าอยากที่จะสัมผัสมัน

 

ชิงสุ่ยลดศีรษะลงและเห็นว่าจดหมายมีคำพูดที่เขียนไว้ชัดเจนว่า 'จดหมายท้าประลอง'!

 

"ดูสิ นั้นคือ กงซุนเจี้ยนหวู่!" ชิงสุ่ยได้ยินเสียงที่พูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

"โอ้ ผู้นำสาวกแห่งคฤหาสน์ดาราจันทราของพวกเราช่างงดงามยิ่งนัก!"

 

………………………..

 

ชิงสุ่ยประหลาดใจมาก เขาไม่คาดคิดว่าหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์ดุจปิศาจอันเยี่ยมยอดเช่นนั้นจะเป็นผู้นำสาวกแห่งคฤหาสน์ดาราจันทราซึ่งโดดเด่นที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์รุ่นที่ 3 ของตระกูลกงซุนและเธอก็เป็นหญิงสาวที่สวยงามมากเป็นอันดับต้นๆ

 

ชิงสุ่ยตกอยู่ในความงุนงงเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะมองลงไปที่ตัวอักษรในมือของเขา มีเพียงบรรทัดเดียวเท่านั้น "สามวันต่อจากนี้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่สนามประลองในตอนเช้า!" จดหมายฉบับนี้ลงนามโดยกงซุนเจี้ยนหยุ่น!

 

“อืมมมมมม? มันไม่ใช่เรื่องของนาง?" ชิงสุ่ยรู้แล้วว่าหญิงสาวที่จากไปก่อนหน้าคือกงซุนเจี้ยนหวู่ แต่กงซุนเจี้ยนหยุ่นก็คือหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์รุ่นที่ 3 ของตระกูลกงซุน เนื่องจากชื่อของเขาเริ่มต้นด้วย 'เจี้ยน' เช่นเดียวกับกงซุนเจี้ยนหวู่

 

มันเป็นแค่เรื่องที่เขาไม่รู้ว่าใครคือกงซุนเจี้ยนหยุ่น อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กังวลและเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่เขากลับยิ้มที่มีคนมาท้าประลองกับเขาไม่ใช่กงซุนเจี้ยนหวู่ เป็นไปได้ว่าเพราะพวกเขาไม่ต้องการข่มเหงผู้ที่มาใหม่

 

เมื่อชิงสุ่ยกลับมาที่ห้องพัก เขาก็ไม่ได้เจอเยียนหลิงเก้อและซือเยี่ยเลย เขาเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะและสิ่งแรกที่เขาทำก็คือนอนลงบนเตียง

 

หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา เขาก็ยังคงฝึกฝนตามเดิมอย่างไม่เคยเปลี่ยนไป ชิงสุ่ยไม่ต้องการที่จะละเลยอะไรไป เพราะเขารู้ว่าทุกสิ่งที่เขาฝึกฝนสามารถใช้งานได้ มันจะไร้ประโยชน์ก็ต่อเมื่อมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา

 

หลังจากที่สงบเงียบแล้ว ชิงสุ่ยก็ปล่อยให้จิตใจของเขาหลุดลอยไป เขามองไปที่ภาพอังดงามของฉากกั้นห้องที่มีเทือกเขาและสายน้ำตั้งตระหง่าน ชิงสุ่ยตระหนักว่าเขาไม่ค่อยได้จ้องมองไปที่มันเท่าไหร่ มันเป็นความงามที่ไม่ได้สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้

 

เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อคิดถึงเรื่องของกงซุนเจี้ยนหวู่อีกครั้ง ทำไมเธอจึงเป็นคนที่มาส่งจดหมาย? ในตอนแรกที่เธอพูดเธอหมายถึงอะไร? ทำไมเธอถึงทำท่าทางเย้ายวนอันมีเสน่ห์เช่นนี้?

 

"นางทำมันด้วยความตั้งใจที่จะทำให้ข้าดูโง่หรือ? หรือมันเป็นเพียงเพื่อความสนุกสนาน? ไม่ว่านางจะเป็นใคร จริงๆแล้วนางก็ไม่ได้คิดที่จะมีความสุขสำราญกับข้าหรอก!" ชิงสุ่ยคิดถึงเรื่องนี้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ยิ้มอยู่เล็กน้อย

รีวิวผู้อ่าน