px

เรื่อง : เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
AST บทที่ 298 –จารึกพยัคฆ์หมอบบนอนุสรณ์สถานศิลาหิน สงบนิ่งดังภูผา


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 298 –จารึกพยัคฆ์หมอบบนอนุสรณ์สถานศิลาหิน สงบนิ่งดังภูผา

"ว้าว  ดูนั้นสิ มีมีใครบางคนไม่สนใจ กงซุน เจี้ยนหวู่ด้วย  นี้เป็นข่าวใหม่เลย! "

 

"ข้าละสงสัยจริงๆ ว่าทำไม.."

 

...

 

"อาวุโสโม่ ท่านแน่ใจหรือไม่ว่า ชายหนุ่มจากตระกูลชิงจะสามารถเอาชนะกงซุย เจี้ยนหวู่?" ชายวัยกลางคนที่มีผมสีขาวถาม เขานั้นมีกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ซึ่งดุดคลื่นมหาสมุทร

 

"ท่านประมุข ข้าเชื่อว่าข้านั้นสามารถตัดสินได้อย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งกว่ากงซุน เจี้ยนหวู่  เขาไม่มีทางแพ้ผู้นำสาวกของคฤหาสน์อื่น ๆด้วยซ้ำ "อาวุโสโม่ ยิ้มและพูด

 

ถ้าชิงสุ่ยอยู่ที่นี่เขาคงจะสังเกตได้ว่าอาวุโสโม่ คือชายชราที่ได้รับมอบหมายให้สอนเพลงกระบี่เทวโลกในก่อนหน้า

 

"แน่นอน ข้าเชื่อว่าอาวุโสโม่ไม่มีทางมองคนผิด ข้าตระหนักถึงความมั่นใจจากดวงตาสีทองนี้"

 

"ดูเหมือนว่าท่านจะชื่นชมเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมากสินะ" ชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาซึ่งเป็นประมุขของคฤหาสน์ดาราจันทรากล่าวอย่างนุ่มนวล

 

“ชื่นชม? แน่นอนว่าข้านั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม  แต่เขาอยู่กับอาวุโสชาง หวู่ย่าและน้องชายเฟย "อาวุโสโม่กล่าวมองดูราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

 

"โอ้ เป็นแบบนั้นรึ ดูเหมือนคฤหาสน์ดาราจันทราของเราจะแข็งแกร่งขึ้นได้แน่นในอนาคต "ประมุขคฤหาสน์ดาราจันทรา หัวเราะออกมาด้วยโทนเสียงที่ต่ำ  แต่ทรงพลัง มันเป็นเสียงที่สามารถรับฟังได้เป็นเวลานาน

 

"แล้วในการแข่งขันปีหน้าเราควรให้เจี้ยนหวู่หรือชิงสุ่ยเป็นผู้นำสาวกของคฤหาสน์ดาราจันทรา กันละ?"

 

"เกี่ยวกับเรื่องนี้ , อืมมม, ข้าจะพูดคุยกับหญิงสาวคนนั้นดูก่อน ข้าจะไปถามดูว่าเธอนั้นมีความคิดที่จะก้าวลงจากต่ำแหนงหรือไม่หรือไม่ ถ้าไม่เราจะปล่อยให้พวกเขานั้นประลองกัน " ประมุขราชคฤหาสน์ดาราจันทรา ให้ความคิดเห็นบางอย่างก่อนที่เขาจะพูดกับอาวุโสโม่

 

"อืม ถ้าเราผู้นำสาวกผู้ชายของคฤหาสน์ดาราจันทราหมดสิ้นความหวัง ก็เหมือนว่าเรานั้นทำให้ตาเฒ่านั้นเสียหน้าเช่นกัน" อาวุโสโม่พูดและหัวเราะเบา ๆ

 

"ถึงข้าจะเป็นถึงประมุขคฤหาสน์ดาราจันทรา  แต่มันก็คงไม่ต่างกัน ข้าต้องถูกคนของคฤหาสน์ดาราจันทราด่าทอเป็นแน่ "

 

 

ชิงสุ่ยได้ฝึกซ้อมที่ลานประลองเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะจากไป มันเป็นช่วงเที่ยงวันพอดีหลายๆ คนได้ไปรับประทานอาหารกลางวันของพวกเขา  แต่ชิงสุ่ยได้เข้าสู่ ดินแดนหยกยุพราชอมตะ โดยตรงจากบริเวณที่ไม่มีใครอยู่

 

มันเรื่องที่สะดวกสบายมากในการจัดเตรียมอาหารของเขา ดินแดนหยกยุพราชอมตะ เนื่องจากมันมีทุกสิ่งทุกอย่างที่พร้อมใช้งานในนั้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งของที่อยู่ภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ห่างนี้ จะไม่เน่าเสีย แม้ว่าจะทิ้งไว้เป็นเวลานาน

 

แม้ว่าชิงสุ่ยจะต้มปลาแล้วทิ้งไว้ในที่นั่นเป็นเวลานานถึงหกสิบถึงเจ็ดสิบวัน แต่มันก็ยังคงสดและอร่อยเหมือนเก่า

 

ชิงสุ่ยรู้ดีว่านี่คือเอกลักษณ์เฉพาะของดินแดนหยกยุพราชอมตะของเขา  ตั้งแต่เริ่มต้นชิงสุ่ยได้ต้มปลาทุกๆครึ่งเดือน แต่หม้อของปลาของเขานั้นไม่เคยเน่าเสียภายในระยะเวลาครึ่งเดือน และหลังจากที่ร้อุ่นมันๆก็จะไม่แตกต่างจากการต้มปลาสดใหม่อีกครั้ง

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ชิงสุ่ยไม่สามารถจัดการกับอาหารทั้งหมดของเขา เขานั้นถูกไล่ออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ ไป แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะอีกครั้งใน ขณะที่มันได้ผ่านไปถึงเจ็ดสิบห้าวันในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เกิดสิ่งที่น่าประหลาดใจขึ้นคือปลาที่เหลืออยู่และที่ซุปให้คุณค่าทางโภชนาการทั้งหมดไม่ได้เน่าเสียเลยแม้แต่น้อย หลังจากให้ความร้อนแก่พวกมัน เขาได้ชิมมัน รสชาติของมันนั้นยังดีเหมือนก่อนหน้านั้น

 

ทุกคนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชิงสุ่ยนั้นจะน้ำซุปปลา เต่าและซุปสรรพสิ่งบำรุงกำลัง ทุกอย่างทิ้งไว้ วิธีนี้มันจะสะดวกกว่าสบายมาก เมื่อเขาเข้ามารับประทานมัน

 

หลังจากทานอาหารของเขา ชิงสุยเดินไปรอบๆ ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ แต่ในช่วงเวลานั้นที่เขาไม่คาดฝันมาก่อน เขาสังเกตเห็นว่าต้นอโศกพันปีได้งอกขึ้นมาแล้ว

 

เช่นเดียวกับกิ่งก้านนิรนามนั้น ชิงสุ่ยมีความหวังสูงที่อยากจะให้มันงอกขึ้นมา แต่ในความทรงจำของเขาไม้อโศกพันปีเป็นเพียงวัสดุที่ใช้สำหรับสร้างศาสตราวุธวิเศษ และซึ่งเขามีมันเพียงเล็กน้อยในตอนนี้ เขาจึงตัดสินใจปลูกมันขึ้นมา เขามีความหวังเพียงเล็กน้อยว่ามันจะงอกขึ้นมาจริงๆ

 

กิ่งก้านอ่อนสีเขียวซึ่งยาวประมาณหนึ่งนิ้ว งอกออกมาจากส่วนปลายของไม้อโศกพันปี  มันนั้นเป็นสีเขียวที่มีชีวิตชีวามาก สีเขียวจึงเป็นสีที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก แต่มันก็ยังได้ปล่อยกลิ่นอายที่เป็นอันตรายออกมาด้วย

 

ยิ่ง ชิงสุ่ยเข้าใกล้เคียงกับมันมากเท่าใด เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่หนาวเย็นที่ถูกปล่อยออกมา กลิ่นอายที่ส่งออกมามันสามารถทำให้กระดูกสันหลังของเขาสั่นสะท้านด้วยความเย็น มันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า มันเป็นสิ่งที่งดงาม และเป็นอันตรายอย่างมากมากเนื่องจากพิษของมัน  แต่กลิ่นอายหนาวเย็นที่แข็งแกร่งของมันในตอนนี้นั้นไม่ได้แข็งกว่าเหล็กกล้าเหมันต์พันปีเลย

 

แต่ถ้ากิ่งก้านของมันงอกเงยขึ้นมากกว่าหนึ่งนิ้ว กลิ่นอายที่หนาวเย็นนี้มันคงจะแข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้าเหมันต์พันปี แล้วมันจะเป็นเช่นไรในอนาคต? เมื่อถึงเวลานั้นเขาสามารถตัดต้นอโศกพันปีเพื่อเอาไม้ออกมาได้หรือ?

 

ชิงสุ่ยพบว่านี้เป็นปัญหาที่ยุ่งยาก อย่างไรก็ตาม มันควรจะมีวิธีการอื่นๆสำหรับมัน  เช่นการป้องกันความหนาวเย็น ในการเตรียมในการตัดต้นไม้นี้ลงมา เขาควรทำอย่างไรกับต้นอโศกพันปีนี้

ถ้ามันออกผลละ?

 

ในตอนนี้เขาไม่อาจที่จะไม่นึกถึงค้อนสะท้านสวรรค์ของเขาทำจากเหล็กกล้าเหมันต์พันปี

ในตอนแรกที่ชิงสุ่ยได้รับมันเขานั้นไม่รู้สึกกลิ่นอายที่หนาวเย็นของมันเลย  แต่เมื่อพิจารณาว่ามันเป็นอาวุธที่ทำจาก เหล็กกล้าเหมันต์พันปีแล้วมันไม่ควรเป็นเช่นนั้น เขาไม่สามารถรู้สึกถึงกลิ่นอายที่หนาวเย็นจากมันได้เลย

 

ชิงสุ่ยก้มศีรษะลงและมองไปที่ต้นอ่อนของต้นอโศกพันปี สีเขียวที่กำลังส่องประกายแสงน้อยทำให้มันดูสวยงามมาก!

 

ในตอนนี้มันยังไม่พร้อมที่จะใช้สร้างศาสตราวุธวิเศษ เขาได้ปล่อยมันให้เติบโตไปอย่างช้าๆ ในอนาคตเขาจะไม่มีทางขาดแคลนไม้อโศกพันปี บางทีมันอาจจะมีสิ่งตอบแทนที่เขาคาดไม่ถึงก็ได้ในอนาคต แค่นึกถึงมันก็ทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขมากแล้วในตอนนี้

 

เขาเดินไปทางที่ภาพอันงดงามของภูเขาและแม่น้ำ เขาหยิบค้อนสะท้านสวรรค์ขึ้นมาและมองดูมันอีกครั้งด้วยทักษะเนตรสวรรค์ของเขาเพื่อดูให้แน่ชัดว่ามันยังคงเพิ่มพละกำลังของเข้าขึ้น20เปอร์เซ็นต์ของพละกำลังของเขา

 

อาจเป็นเพราะว่าฝีมือของช่างตีเหล็กที่ขาดฝีมือ จึงทำให้ค้อนสะท้านสวรรค์นี้ ไม่สามารถที่จะปลดปล่อยกลิ่นอายที่หยาวเย็นออกมา? เมื่อเขาคว้ามันไว้ในมือของเขา เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเย็นแต่อย่างใด มันเป็นเพียงเย็นกว่าโลหะปกติเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

เมื่อเขาควงมันไปรอบ ๆ เขาจะรู้สึกได้ถึงพลังและกลิ่นอายที่แข็งแกร่งเท่านั้น มันไม้ได้ปล่อยกลิ่นอายที่หนาวเย็นออกมาไม่มีแม้ความเย็นที่กระดูกเข้าสั่นสะท้าน ...

 

เพื่อพิสูจน์ว่าความคิดของเขาถูกต้อง ชิงสุ่ยได้ไปที่จุดที่ว่างเปล่า ซึ่งเขามักจะใช้มันในฝึกฝนของเขา เมื่อเขาเข้ามาในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขาได้เพิ่มกลิ่นอายและพละกำลังของเขาเข้าไปในค้อนสะท้านสรรค์ ค้อนสีดำในตอนนี้มันนั้นดูคล้ายกลุ่มเมฆสีดำ และเมื่อเขาใสปราณของเขาเพิ่มลงไป ผิวของมันจะแผ่กระจายออกเป็นหมอกสีดำ

 

เขาควงมัน และฟาดมันลงไป!

ชิงสุ่ยังได้เพิ่มความแข็งแกร่งของเขาลงไปอย่างต่อเนื่อง ค้อนของเขากำลังสั่น มันเป็นอะไรที่น่าตะลึง เมื่อเขาฟาดมันไปในแนวนอน.

 

เหล็กกล้าเหมันต์พันปีนั้นให้ความรู้สึกจะเป็นเหมือนก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ แต่ค้อนสะท้านสวรรค์ในมือของ ชิงสุ่ยนั้นซึ่งได้ทำมาจากเหล็กกล้าเหมันต์พันปีกลับเป็นสีดำและส่องสว่าง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้

หลังจากใช้เวลาคิดอย่างยาวนาน แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้ เขาตัดสินใจที่จะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก จากนั้นเข้าได้ออกจากที่นั้น และมุ่งหน้าไปยังอนุสรณ์สถานศิลาหินที่อยู่ด้านหลังของภูเขา มันเป็นเวลากว่าหลายวันที่เขาไม่ได้ไปที่นั้นอีกเลยจากครั้งสุดท้าย

 

พรุ่งนี้เขายังต้องเรียนรู้เรื่องฝ่ามือสังหารเทวอัสนีจากชาง หวู่ย่า แค่คิดถึงมันก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ทุกคนในที่นี้เทิดทูนความแข็งแกร่งของทักษะของราชวังเทวโลกเป็อย่างมากซึ่ง ชิงสุ่ยปรารถนาที่จะรับทักษะที่ดีที่สุดคือทักษะฝ่ามือสังหารเทวอัสนีอันล้ำค่า ซึ่งจะเพิ่มความรุ่นแรงขึ้นสามสิบเปอเซ็นในการโจมตี

 

ในตอนบ่ายชิงสุ่ยไม่ค่อยมีอะไรทำมากนัก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงคิดจะไปที่จะไปอนุสรณ์สถานศิลาหิน เขากลัวว่าถ้าความเสียหายใดๆกับอนุสรณ์สถานศิลาหินในตอนนี้  เขาคงจะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมา

 

บริเวณที่อนุสรณ์สถานศิลาหินยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินไปมา มันจะไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามถ้ามีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือถ้ามีความงามที่ปรากฏขึ้นของอนุสรณ์สถานศิลาหินและคนส่วนมากที่ยืนอยู่ที่นั้นที่เป็นเพียงผู้ชายเท่านั้น

 

เขามองไปที่อนุสรณ์สถานศิลาหิน ซึ่งเขาก็ค้นพบรูปจารึกพยัคฆ์และที่ตรงนั้นเป็นที่ไม่ไม่มีใครยื่นอยู่

เมื่อชิงสุ่ยมองไปไปที่ภาพนั้น เขารู้สึกประหลาดใจกับมัน อนุสรณ์สถานศิลาหินนั้นได้แกะสลักด้วยรูปพยัคฆ์ มันเป็นรูปพยัคฆ์ที่กำลังหมอบอยู่ มันนั้นกำลังหรี่ตาอยู่ด้วยความรู้สึกขี้เกียจ มันนั้นให้ความรู้สึกที่สงบเป็นอย่างมาก

เมื่อเขาจ้องไปที่ภาพแกะสลัก ผมของเขาได้ตั้งชันขึ้น เพราะมันนั้นไม่ให้ความรู้สึกที่เป็นมิตรกับเขาเท่าไรกับการแสดงออกของพยัคฆ์นี้ที่กำลังสงบนิ่งดังภูผา และแน่นอนว่าครั้งจะไม่เสียป่าวเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง คนที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับมันก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้

 

ชิงสุ่ยจ้องมองพยัคฆ์ที่ดุร้ายบนอนุสรณ์สถานศิลาหินและในขณะที่พยัคฆ์นั้นกำลังนอนหมอบลงบนพื้น

ชิงสุ่ยรู้ว่ามันนั้นพร้อมที่เปิดจู่โจมเข้ามาในทันที

 

 

ชิงสุ่ยจ้องมองที่อนุสรณ์สถานศิลาหิน มันนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้การไหลเวียนของปราณ ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลเคลื่อนตัวช้าลง แต่มันได้เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น ชิงสุ่ยจ้องที่พยัคฆ์ เขาจ้องมองในรายละเอียดทั้งหมดของมัน

 

ในที่สุดชิงสุ่ยก็เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรเกี่ยวกับท่าทางที่ที่กำลังสงบนิ่งดังภูผาของมัน มันเหมือนกับเสาเก่าๆในราชวังเทวโลก ซึ่งแต่ละต้นนั้นได้ดำรงอยู่และไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งต่างๆเหมือนภูเขา

 

จะพูดให้ถูกก็คือผู้ที่ได้สะสมมานานความเข้าใจและประสบการณ์หลายร้อยปีจะสามารถไปถึงแดนจิตสงบ

 

สงบนิ่งดังภูผา เพียงยืนนิ่งสงบดังกำแพงภูผา ,ปล่อยกลิ่นอายและแรงกดดันเพื่อใช้หยุดสิ่งที่เข้ามาใกล้ ...

 

นี้เป็นแนวความคิดเกี่ยวกับอนุสรณ์สถานศิลาหินเพียงแค่สิ่งส่วนหนึ่งสำหรับสงบนิ่งดังภูผา ในหมู่สัตว์ทุกชนิด มีเพียงพยัคฆ์ท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ พยัคฆ์เป็นนั้นสัตว์ที่ดุร้าย ท่าทีของมันนั้นสามารถแสดงได้ถึงศักดิ์ศรีของราชันแห่งสัตว์ทั้งปวง

 

ช่วงเวลาที่ชิงสุ่ยเข้าใจเรื่องนี้ปราณของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลที่กำลังหมุนเวียนอยู่ในร่างกายของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนได้รับการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับชิงสุ่ย

 

การเข้าใจอย่างลึกซึ้ง!

 

นี่คือการยกระดับมุมมองและความคิดของคนคนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ยากที่จะมาก เช่นเดียวกับอารม อารมนั้นมักจะเปลี่ยนไปตามเวลาและสิ่งแวดล้อม แนวคิดก็เช่นเดียวกันกัน

 

ชิงสุ่ยรู้สึกว่าปราณของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลแบบได้เคลื่อนไหวไปทั่วร่างกายของเขาและของเหลวที่อยู่ในตันเถียนของเขาถูกกลั่นตัวเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวพวกมันเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากและมีความหนาแน่นในเส้นพลังปรานและตันเถียนของเขา มันทำให้เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา

 

ย๊า!

 

ในขณะนั้นเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของเขาได้หมุนเวียนไปถึง 95 รอบ 96 รอบ และยังจะก้าวไปสู่รอบที่ 97

 

ในขณะนี้เขารู้สึกว่าเขานั้นมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกว่าครั้งก่อนหน้านี้ เขาสำหรับเรื่องนี้มันทำให้เขาเกิดความประหลาดใจอย่างมาก

 

"ฮ่า ๆ ในที่สุดมันก็ใกล้จะไปถึงรอบ 97   เร็วๆนี้ ข้าจะทำให้มันเข้าสู่ระดับสุดท้ายของชั้น 4 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลหลังจากผ่านรอบ 98 ไปตราบใดที่ข้าสามารถผ่านรอบที่99ไปได้ และเข้าสู่รอบที่ 100 ข้าจะสำเร็จชั้นที่ 5 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลและฉันจะสามารถมุ่งหน้าไปยังตระกูลเยียนได้แล้ว "ชิงสุ่ยยิ้มอย่างมีความสุขและ แม้แต่หัวเราะออกมาดัง ๆออกมา

 

หลาย ๆ คนในบริเวณรอบๆ ทุกคนมองไปที่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาซึ่งยืนอยู่ในจุดเดิมตลอดบ่ายและตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังยิ้มแย้มอย่างมาความสุข

 

“คนเสียสติ ...”

 

"ใครจะไม่ชอบเขาละ?แล้วใครจะยอมละทิ้งชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้ไป?นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ที่ข้านั้นมีคนรักอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นข้าจะแต่งงานกับเขา "ผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาๆมองไปที่ชิงสุ่ยแล้วรู้สึกเสียใจกับเขา

 

"ท่านป้า ท่าน? เขานั้นมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ตั้งมากมาย ถ้าเขาต้องจะคบกับใครสักคนจริงๆอะนะ "ชายคนหนึ่งพูดและหัวเราะเบา ๆ

 

"เจ้าคนใจร้าย เจ้าคิดว่าข้าจำเจ้าไม่ได้ใช่ไหม?

 

ชายคนนั้นแอบวิ่งหนี้ไป!

 

ชิงสุ่ยถูที่จมูกและส่ายหัวของเขา "คิดว่าตัวข้านั้นจะก้าวหน้าไปด้วยตัวเอง!"

 

ชิงสุ่ยไม่เคยคาดหวังว่าจะสามารถเข้าใจภาพจากจารึกสงบนิ่งดังภูผานี้ ไม่เพียงแค่เพิ่มกลิ่นอายของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ การควบแน่นของปราณเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเปอร์เซ็น ซึ่งมีผลมากกว่ายาฟื้นฟูขนาดเล็ก และที่สำคัญที่สุดคือมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจต่อกลิ่นอายของเขา

 

ชิงสุ่ยตระหนักดีถึงความสำคัญของแรงกดดัน ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกดีใจที่ได้เพิ่มมันขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์? "สงบนิ่งดังภูผา, ฮ่าๆ, สงบนิ่งดังภูผา!"a

รีวิวผู้อ่าน