px

เรื่อง : The Dark King
The Dark King – Chapter 1 ถูกแช่แข็งมา 300 ปี [อ่านฟรี]


ฤดูฝน…

 

เมฆดำก้อนใหญ่ได้เคลื่อนที่เข้ามาปกคลุมท้องฟ้าจนไร้ซึ่งแสงแดด ผู้คนในชุมชนแออัดแห่งนี้รีบทิ้งสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่และกลับไปยังบ้านของตนเองทันทีเพราะกลัวว่าฝนจะตกลงมาอย่างหนัก

 

น้ำฝนเริ่มตกลงมาอย่างรวดเร็วภายในชุมชนแออัดและเริ่มท่วมขังอยู่ในที่แห่งนี้ ท่อระบายน้ำที่ไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานานทำให้ชุมชนแออัดแห่งนี้กลายเป็นที่รองรับและกักเก็บน้ำเอาไว้จนไม่อาจระบายออกไปได้

 

ในบ้านเด็กกำพร้าเหมยซาน

 

ใกล้ๆประตูของที่นี่มีหญิงสาวอายุประมาณ 30 ปีพร้อมด้วยเด็กๆหลายคนอายุตั้งแต่ 7 ถึง 11 ขวบกำลังอุ้มกระสอบทรายที่ได้เตรียมเอาไว้มาที่นี่ พวกเขาวางมันซ้อนกันเอาไว้ที่หน้าประตูเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำฝนไหลเข้ามาภายในนี้ได้

 

“เทียน มาช่วยกันหน่อย!”

 

“ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะเรียกเขา เขามันโง่”

 

“ใช่ๆ!”

 

เหล่าเด็กหนุ่มที่เหนื่อยล้าจากการขนกระสอบทรายเห็นเด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ไม่ไกลจากหน้าต่าง แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกโกรธแต่พวกเขาก็รู้ว่ามันคงไม่มีประโยชน์อะไร และทำได้เพียงแบกกระสอบทรายไปวางไว้ที่ประตูเหมือนเดิม

 

เด็กชายตัวน้อยผู้นี้ดูแล้วมีอายุประมาณ 7-8 ขวบ เขามีร่างกายที่ผอมบาง แต่ความสูงของเขาทำให้เขาดูราวกับเด็กที่มีอายุประมาณ 11 ปี สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุดนั่นก็คือสีผิว เขามีผิวที่ขาวอย่างยิ่ง บางทีมันอาจจะถือว่าขาวซีดเลยก็ได้ สีผิวของเขาทำให้เด็กคนอื่นๆได้แต่อิจฉา เพราะทุกๆคนต่างมีผิวสีเข้มเพราะโดนแดดเผาจากการทำงาน

 

ฟู่เทียนได้แต่ถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะออกจากแคปซูลแช่แข็งมากว่า 3 เดือนแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงอ่อนแรงจนไม่อาจยกอะไรได้เลย

 

มันเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกินสำหรับเขาที่จะไปแบกกระสอบทรายในยามฝนตกเช่นนี้

 

แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังถือว่าโชคดี ในตอนนั้นสถาบันของเขาเพิ่งจะสร้างแคปซูลขึ้นมาเมื่อภัยพิบัติได้ลุกลามเข้ามาถึงประเทศจีนแล้ว พวกเขาไม่มีเวลามากพอแม้แต่จะทดลองใช้มัน ไม่มีใครรู้ว่าจะล้มเหลวหรือไม่ มันคงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เขาสามารถนอนหลับในแคปซูลแช่แข็งมาได้กว่า 300 ปี

 

แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย

 

เขารอดมาได้แต่พ่อแม่และพี่สาวของเขาต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งนั้น แม้ว่าพวกเขาจะโชคดีมากพอจนรอดพ้นภัยพิบัติครั้งนั้นมาได้ พวกเขาก็คงจะกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้วในระยะเวลา 300 ปีที่ผ่านมา

 

ในโลกใบใหม่อันกว้างใหญ่ใบนี้เขาไม่เหลือคนที่เขารักเลย เขาต้องเผชิญหน้ากับโลกใบใหม่นี้อย่างโดดเดี่ยว

 

แม้ว่าเขาจะเสียใจ แต่เขาก็ไม่สิ้นหวังเพราะรู้ว่าพ่อแม่ของเขาให้โอกาสเขาใช้ชีวิตเป็นครั้งที่สอง เขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอย่างแน่นอน เขาไม่เพียงแต่ต้องใช้ชีวิตแต่ยังต้องทำให้ครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วของเขารู้สึกภาคภูมิใจด้วยเช่นกัน

 

โชคดีที่พระเจ้ายังคงมอบหนทางรอดให้แก่เผ่าพันธ์ของมนุษย์ เมื่อฟู่เทียนได้ออกมาจากแคปซูลแช่แข็งความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นมานั่นก็คือเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือรอดในโลกใบนี้ เพียงแต่เมื่อเขาได้เดินออกจากแคปซูลแช่แข็งที่ตอนนี้ได้เป็นพื้นที่กองขยะเขาพบว่ามนุษย์ยังไม่สูญพันธุ์ไป มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนั้นได้ แต่ประชากรมนุษย์มีจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆหลังจากได้พัฒนามากว่า 300 ปี

 

น่าเสียดายที่เทคโนโลยีและอารยธรรมได้ถูกทำลายไปเพราะภัยพิบัติครั้งนั้น ฟู่เทียนเองก็ไม่พบร่องรอยของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อยู่ในยุคสมัยนั้นเลย การสูญเสียความรู้ในเรื่องการใช้ไฟฟ้าไปทำให้การดำเนินชีวิตนั้นยากยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า

 

พายุฝนข้างนอกหน้าต่างค่อยๆหยุดลง ฟู่เทียนได้เหม่อลอยไปกับความคิดของเขา

 

ทุกๆคนในบ้านรู้สึกโล่งใจขณะเฝ้ามองระดับน้ำที่อยู่หลังกระสอบทรายตรงหน้า ความเหนื่อยล้าได้ถาโถมเข้าสู่พวกเขาราวกับว่าพวกเขาได้สู้ศึกที่ไม่มีวันจบสิ้น หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองเมฆดำที่ค่อยๆสลายไปบนท้องฟ้าและกล่าวว่า “เตรียมตัวไปกินมื้อค่ำที่โรงอาหารกัน”

 

ดวงตาของพวกเด็กๆต่างเบิกกว้างขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า “กิน” ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้เหมือนหายไปทันทีเมื่อพวกเขารีบวิ่งกลับไปเข้าไปในบ้านพร้อมสวมรองเท้าหญ้าเคลือบด้วยขี้ผึ้งของพวกเขาที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ

 

“เทียน ไปกินข้าวกัน” ในตอนนี้มีเสียงเรียกฟู่เทียน เสียงที่เรียกเขานั้นมาจากเด็กที่มีอายุประมาณ 7 ขวบ เขาตบลงบนบ่าของฟู่เทียนและชี้ไปทางโรงอาหาร

 

ฟู่เทียนจำได้ว่าเด็กชายคนนี้มีนามว่าบาร์ตัน บาร์ตันเป็นหนึ่งในเด็กน้อยในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้ที่มีจิตใจดี การใช้ภาษาได้เปลี่ยนแปลงไปในเวลา 300 ปีที่ผ่านมา ฟู่เทียนไม่เข้าใจมันและยังคงเงียบมาโดยตลอด การที่เขาได้เข้ามายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ทุกๆคนนั้นคิดว่าเขาเป็นไอ้โง่หรือไม่สมองของเขาก็คงมีปัญหา

 

ดังนั้นปกติแล้วเขาจึงมักจะถูกให้รวมกลุ่มกับเหล่าเด็กพิการและบาร์ตัน

 

เด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกนั่นคือเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ของตนเองทอดทิ้ง กลุ่มที่ 2 นั้นคือเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ของตนเองทอดทิ้งเพราะความผิดปกติทางร่างกาย

 

ฟู่เทียนพยักหน้าและตามบาร์ตันไปต่อแถว เพียงแต่บาร์ตันนั้นได้บอกกับฟู่เทียนให้สวมรองเท้าของเขาก่อน เขามองลงไปที่เท้าของตนเองทันที เมื่อมองลงไปฟู่เทียนก็เห็นว่าเขาสวมรองเท้าแตะสีเขียวอ่อนอยู่ มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาเหมือนกับเด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่ง

 

พลาสติกยังไม่ถูกคิดค้นขึ้นในโลกใบนี้ รองเท้าหญ้าเคลือบด้วยขี้ผึ้งและเสื้อผ้านั้นเป็นสิ่งที่สวมใส่เพื่อป้องกันแดดลมฝน หญ้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติสามารถพบได้ในทุกๆที่ เมื่อผสานกับขี้ผึ้งที่เคลือบลงไปมันสามารถป้องกันกัมมันตภาพรังสีที่ปนเปื้อนมากับน้ำฝนได้ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งสำคัญของทุกๆคน

 

ทุกๆคนเดินอย่างรอบคอบไปตามทางที่ปูด้วยหินที่สูงประมาณครึ่งเมตร แม้ว่าน้ำฝนที่อยู่บนพื้นจะลึกเพียงข้อเท้าของพวกเขาเท่านั้น แต่แม้แต่คนที่แข็งแรงที่สุดในหมู่พวกเขาก็อาจจะป่วยอย่างรุนแรงได้หากตกลงไปในน้ำ

 

เนื่องจากที่นั่งมีจำนวนจำกัดโรงอาหารจึงถูกพวกเด็กๆที่มีสุขภาพดีแย่งชิงที่นั่งไป ฟู่เทียน บาร์ตัน และเด็กคนอื่นๆที่พิการต้องนั่งอยู่ที่มุมห้องด้านหลังซึ่งเป็นพื้นหินที่ซ้อนกันหลายชั้น

 

“ฉันได้ยินมาว่าคุณหมอและพวกช่างก่อสร้างจะมาที่นี่เพื่อมารับลูกบุญธรรมไปเลี้ยง”

 

“ป้าไดอาน่าบอกว่าพวกเราต้องรีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้”

 

“มันจะยอดไปเลยนะพวก ถ้านายได้พวกคุณหมอรับไปเลี้ยง”

 

“ฉันอยากจะเป็นลูกบุญธรรมของพวกช่างก่อสร้าง เพื่อที่จะได้มีโอกาสปีนข้ามผ่านกำแพงแห่งซิลเวียไปและได้เห็นโลกภายนอก”

 

บาร์ตันและเด็กคนอื่นต่างพูดคุยกันเงียบๆ เด็กพวกนี้ไม่มีคนไหนเลยที่ดูปกติ บางคนไม่มีหู บางคนก็มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้า

 

ดวงตาของฟู่เทียนเปล่งประกายขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาแต่เขาก็ยังคงเงียบอยู่

 

“น่าเสียดายที่สมองของเทียนนั้นไม่ดี ไม่อย่างนั้นเขาก็จะต้องได้รับการรับเลี้ยงไปเพราะรูปร่างและหน้าตาเช่นนี้” บาร์ตันถอนหายใจออกมาเมื่อเขามองไปยังฟู่เทียนด้วยสายตาที่เสียดาย

 

เด็กคนอื่นๆก็มองไปยังฟู่เทียนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ด้วยความสงสารและส่ายศีรษะ

 

ไม่นานมานี้พวกเขาตกลงกันว่าไม่ว่าใครจะถูกรับไปเลี้ยงคนๆนั้นจะต้องพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อจะกลับมาช่วยเหลือเด็กคนอื่น หากมองเพียงผิวเผินฟู่เทียนนั้นมีโอกาสที่จะถูกรับไปเลี้ยงมากที่สุดแต่เพราะด้วยสมองของเขาทำให้โอกาสนั้นเหลือเพียงน้อยนิดยิ่งนัก สภาพของเขาในตอนนี้แย่ยิ่งกว่าเหล่าเด็กพิการ เช่นเด็กบางคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยก้อนเหนือ แม้ว่าเขาอาจจะดูน่ากลัว แต่อย่างน้อยด้วยสภาพร่างกายและจิตใจของเขา เขาย่อมสามารถหางานได้ในอนาคต

 

ในตอนนี้เหลิงเฮง เด็กร่างผอมที่นั่งอยู่ใกล้ๆได้ยินคำพูดของบาร์ตันกล่าวออกมาด้วยความเหยียดหยันว่า “พวกมันเป็นเพียงของชำรุดที่ถูกทิ้งเอาไว้ แต่ยังคิดว่าตนเองจะมีโอกาสถูกรับไปเลี้ยง”

 

คำพูดของเขานั้นได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆทันที สายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามของเขานั้นมองไปยัง ฟู่เทียน บาร์ตัน และเด็กคนอื่นๆ

 

เมื่อเทียบกับพวกเด็กพิการ เขานั้นเป็นเด็กปกติเพียงแต่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งเท่านั้น

 

ฟู่เทียนไม่ได้พูดอะไรออกมาเมื่อเขามองไปยังเด็กพวกนี้ แม้ว่าเขาจะยังเป็นเด็กแต่หัวใจของเขานั้นก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใหญ่หลายๆคน

 

สายตาของโม่หยางนั้นมองมายังฟู่เทียน

 

“ดูเจ้าโง่นี่สิ มันยังไม่รู้เรื่องเลยแม้ว่านายจะด่ามัน”

 

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมมันถึงถูกทิ้ง ไอ้โง่!”

 

“แกอยากจะถูกรับไปเลี้ยงหรอ? ทำไมแกไม่รอจนกว่าแกจะอายุ 13 ปีแล้วส่งตัวเองไปเป็นแรงงานในเมืองล่ะ!”

 

เด็กๆเหล่านี้ไม่ได้ปิดบังความเกลียดชังและความเหยียดหยามของพวกเขาเลย กลับกันมันได้สร้างความสุขให้แก่พวกเขา

 

เมื่ออาหารมาถึงหญิงวัยกลางคนก็ตะโกนออกมาเบาๆ “เงียบๆหน่อย! ไม่อยากกินอาหารกันหรอ?”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ความเหยียดหยามบนใบหน้าของพวกเขาก็หายไปเหลือไว้แต่เพียงความไร้เดียงสาราวกับไม่มีอะไรได้เกิดขึ้นเลย

 

 

ในวันถัดมา

 

เมฆสีเทาค่อยๆแผ่กระจายออกจนบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังชุมชนแออัดแห่งนี้

 

ในฤดูฝนเช่นนี้วันที่มีอากาศดีๆนั้นหาได้ยากยิ่งนัก

 

วันนี้ก็เป็นวันที่รอคอยมานานสำหรับเด็กๆบ้านเด็กกำพร้าเหมยซาน – วันรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม!

 

ทุกๆครอบครัวที่ติดต่อมาล่วงหน้าจะมายังบ้านเด็กกำพร้าในวันนี้และจะเลือกรับลูกบุญธรรมไป

 

แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาที่เช้ายิ่งนัก ฟู่เทียนก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว โลกใบนี้ยังไม่มีนาฬิกาปลุกแต่นาฬิกาภายในร่างกายของเขานั้นไม่เคยผิดพลาด หลังจากตื่นนอนเขารีบทำความสะอาดผ้าปูที่นอนและล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดที่ผ่านการกรองแล้ว ขณะที่เขาหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาจากข้างหมอนเพื่อที่จะแต่งตัวเขาก็พบผ้าเช็ดหน้าสีม่วงอยู่ในเสื้อผ้า

 

ฟู่เทียนรู้สึกประหลาดใจแต่ก็คิดว่าในวันนั้นเขาได้มาที่บ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้เพราะเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง น่าเสียดายที่ท้องฟ้าในวันนั้นมืดเกินกว่าที่จะได้เห็นหน้าตาของกันและกัน ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานั้นเขาได้รู้ว่าเฉพาะผู้ที่อยู่ด้านนอกของกำแพงเท่านั้นที่สามารถซื้อผ้าชนิดนี้ได้

 

ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คงมอบให้แก่เขาเพื่อที่จะได้เช็ดสิ่งสกปรกบนใบหน้าของตนเอง

 

ฟู่เทียนเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาตากไว้บนพื้นที่โล่งภายนอกบ้านเด็กกำพร้า

 

แม้ว่าพ่อแม่ที่อยู่ในใจของเขานั้นคือพ่อแม่ที่แท้จริงเท่านั้นแต่เขาก็ต้องการให้ตนเองถูกรับเลี้ยงโดยเร็วที่สุด หากเขายังไม่ถูกรับเลี้ยงจนถึงอายุ 13 ปี บ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ก็จะไม่ดูแลเขาอีกต่อไปและเขาจะถูกส่งไปยังหอการค้าเหมยซานเพื่อถูกใช้เป็นแรงงานตลอดชีวิต หอการค้าเหมยซานนั้นดูแลในด้านการขุดเหมือง สำหรับพวกแรงงานจะถูกบังคับให้ทำงานเหมืองไปจนเหนื่อยตายหรือไม่ก็แก่ตาย หากเป็นเช่นนั้นเขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกต่อไป

 

ในวันนี้เด็กๆทุกคนของบ้านเด็กกำพร้าต่างทำความสะอาดตนเองให้ดีที่สุด สวมเสื้อผ้าที่ตนเองคิดว่าดีที่สุด และยืนเรียงกันเป็นแถว

 

คงไม่มีใครอยากจะอยู่ใกล้เธอหากร่างกายของเธอนั้นไม่สะอาด

 

นี่เป็นสิ่งที่ป้าไดอาน่าได้บอกแก่พวกเขาทุกๆคน

 

ทันทีที่เด็กทุกๆคนได้เรียงแถวกันแล้ว ก็มีเหล่าผู้ใหญ่เดินออกมาเพื่อมองหาเด็กที่ตนเองต้องการรับไปเลี้ยงภายใต้การดูแลของป้าไดอาน่าและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ

 

ด้วยการแนะนำของป้าไดอาน่า เด็กๆและเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าทุกๆคนรู้ว่าไม่ควรที่จะพูดถึงเรื่องความพิกลพิการ สายตาของหวู่อวี้หลิวนั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ความต้องการ และความปรารถนาว่าพวกเขาจะได้เติบโตขึ้น ดวงตาของเธอนั้นเริ่มมีหยาดน้ำตาเอ่อขึ้นเพราะกลัวว่าจะไม่มีใครรับเธอไปเลี้ยง

 

ในไม่ช้าฟู่เทียนที่มีร่างกายผอมบางและสูงก็เริ่มเป็นที่สนใจของผู้ใหญ่ทุกๆคน ผิวหนังของเขาที่ซีดขาวนั้นเป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง ท่าทีของเขานั้นแตกต่างออกไปจากเด็กๆที่อยู่โดยรอบ เด็กคนนี้มีเพียงกลิ่นอายที่สงบนิ่งที่เขาได้ปลดปล่อยออกมา

 

ผู้ใหญ่ทุกคนต่างประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าบ้านเด็กกำพร้าในชุมชนแออัดแห่งนี้จะมีต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ซ่อนอยู่

 

ในตอนนี้ใครหลายๆคนต่างก็รู้สึกสนใจเขาเป็นอย่างยิ่ง

 

รีวิวผู้อ่าน